3 ต.ค. 2019 เวลา 15:07 • ความคิดเห็น
ขออภัยที่หายไปอีกแล้วครับ 5555
พอดีช่วงนี้กำลังหาเงินครับ
แต่...
วันนี้ผมจะมาโม้ให้ฟังกันนะครับ
วันนี้จะมาโม้เกี่ยวกับพี่โน้ตอุดม ขออนุญาติหยิบมาพูดบางหัวข้อ (และคาดว่าจะมีต่อๆ ไปสำหรับเดี่ยวต่างๆ)
เนื่องจากพี่โน้ตปล่อยลงยูทูปให้ดูฟรี เลยกลับไปดูอีกรอบ ไม่รู้รอบที่เท่าไหร่ละ 555
มาเริ่มกันเลยดีกว่า
จากวาไรตี้โชว์
ตอนละครชาวเสินเจิ้น
เนื้อหาแบบย่อในละครประมาณว่า พี่ตูน ไปโรงเตี้ยมแห่งหนึ่งแล้วโต๊ะไม่ว่างเพราะมีคนนั่งอยู่ เลยเข้าไปถามเพื่อที่จะขอนั่งด้วย (ไม่ใช่สาระสำคัญอะไรนะครับ 55)
หลังจากนั้นก็ไปนั่งด้วย แล้วคุยกันนิดๆ หน่อยๆ จนรู้ว่า พี่โน้ส และ พี่ตูน เป็นคนบ้านเดียวกัน คือมาจาก “เสินเจิ้น” ก็เลย “กรีดเลือดดื่มร่วมสาบาน” เพื่อเป็นพี่น้องกัน ร่วมทุกข์ร่วมสุขกันจนวันตาย อะไรแนวนั้นแหละครับ ตามธีมหนังจีนแหละ จากนั้นก็มีตามมาอีก 3 คน แล้วก็ทำแบบเดิม มันเป็นมุขเอาฮาเฉยๆ
แบบว่าแต่ละคนมีเข็มในการเจาะเพื่อดื่มร่วมสาบาน แต่พี่ตูนเป็นดาบทำให้ต้องกรีดเลือดเยอะกว่าชาวบ้าน 5555
ซึ่งระหว่างเล่าเรื่องเนี่ย ก็มีมุขสอดแทรกมากมายไม่เบื่อ เป็นมุขกรีดเลือดร่วมสาบานเนี่ยแหละ ฮาดี
พอจบมุขแล้ว ก็ถึงบทสรุปของบทละคร คือเด็กรับใช้ของพี่ตูนเนี่ยมาบอกว่า “นายท่านใหญ่” เสียชีวิต แล้วแบบว่ามีแต่คนมาทวงหนี้ จนทำให้ไม่มีเงินจัดงานศพ ซึ่งต้องขออธิบายเพิ่มว่า เนื้อเรื่องได้สื่อถึงว่า “ความเป็นพี่น้องร่วมสาบาน” อ่ะครับ ต้องให้เข้าใจตรงนี้ก่อน เพราะว่าตอนพี่ตูนได้ขอความช่วยเหลือพี่น้องร่วมสาบาน แต่ละคนจะมีเหตุผลที่ใช้อ้าง
เพื่อเลี่ยงการช่วยเหลือ (เหมือนต้องไปช่วยเคลียร์หนี้อะไรเงี้ย)
จนแบบเหมือนเหลือตัวคนเดียว จนมีประกันมาบอกว่าเคลียร์หนี้ให้หมดแล้ว แถมเหลือเงินนิดหน่อยประมาณ 100 ล้านตำลึง ทีนี้แหละครับพี่น้องชาวเสินเจิ้นก็กลับมาหาพี่ตูน แล้วก็จบพร้อมเสียงหัวเราะและปรบมือ
ที่ผมต้องมาโพสต์เนี่ยมันได้ข้อคิดนะครับ ถ้าคนดูเอาฮาอย่างเดียวก็ได้ เพราะตลกจริง พี่โน้ส อุดม นี่เก่งนะครับ
เอาเรื่องที่พบได้ในสังคมทั่วไปมาเล่าเรื่อง และทำให้มันตลกและไม่น่าเบื่อได้ขนาดนี้ แต่ผมดูรอบแรกก็ตลก แต่พอได้ตกผลึกทางความคิดแล้ว รู้สึกว่ามันน่าเศร้านะครับ
สังคมในปัจจุบัน เราจะรู้ได้ไงว่าเขาจริงใจกับเราขนาดไหน ตอนมีสุขร่วมแชร์กัน แต่พอตอนมีทุกข์หายหมด บางท่านอาจคิดว่าบางคนมันนิสัยไม่ดี โอเคตรงนั้นเข้าใจ แต่ผมขอพูดถึงคนที่ “เสแสร้ง” แล้วกันนะครับ
แต่ผมก็เข้าใจในสังคมวัยเด็กจนถึงวัยเรียน ผมทราบดีว่าทำไมต้องใส่หน้ากากเข้าหากันดี 5555 ผมเข้าใจว่ามันพูดยากครับ กับสถานการณ์แบบนี้ และผมคิดว่าผู้อ่านที่อยู่ในสังคมทำงานก็ต้องมีหน้ากากเข้าหากันบ้าง
บางทีผมใช้คำว่าใส่หน้ากากเนี่ย ผมหมายถึงต่อหน้าดี ลับหลังอีกเรื่อง ซึ่งผมมองว่าการทำแบบนี้ มันมีแต่จะส่งผลแย่ให้กับตัวคุณเองเท่านั้น เขาก็ต้องเอาคุณไปด่าลับหลังสักวันอยู่ดีแหละครับ
ผมขอให้ทุกท่านให้คำว่า “ปรับเข้าหากัน” มากกว่าใส่หน้ากาก เพื่อให้ได้คนที่จริงใจต่อเราเพิ่มมาอีกสักหนึ่งคน แม้มันจะได้มายาก และใช้เวลานานก็ตาม แต่มันก็คุ้มนะครับ ระหว่าง “ปริมาณ” กับ “คุณภาพ”
ซึ่งหลักการก็ไม่ได้ยากอะไร คือ “ใจ-ใจ” หรือ “ใจแลกใจ” จริงใจต่อกันแหละครับ โอเคแรกๆ อาจจะเพราะอย่างอื่น แต่พอเราคบกันได้สักพักเราเริ่มรู้สึกว่าคนนี้นิสัยดี เหมาะสมกับเรา เราก็ควรจะรักษาเขาไว้นานๆ ใช่ไหมครับ
แต่ถ้าเกิด อ้าวแล้วถ้า เราโดนหลอกล่ะ ? อันนี้ถือว่า “ซวย” ไปนะครับ อาจจะปีชงของท่านก็เป็นได้ 5555 แต่ผมคิดว่าหลังจากเรารู้สึกว่าเราเนี่ยโดนหลอก (ไม่จริงใจต่อกัน) เราควรจะทำไงต่อล่ะ ?
เราก็แค่ “ให้อภัย” ครับ พูดง่ายแต่ทำยากอีกแล้วใช่ไหมครับ ? 555 ผมเข้าใจครับ คุณต้องมีใจที่กว้างมากพอที่จะมองข้ามเรื่องนี้ไปให้ได้ ผมเชื่อว่าคนเลว (คำนิยาม) เนี่ย ต่อให้คุณคิดว่าเขาจะเลวแค่ไหน แต่ถ้าเขาได้รับการอภัยที่มากพอ จริงใจมากพอ ผมเชื่อว่าเขาจะสามารถรับรู้ และเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีได้แน่นอนครับ
ขอจบการนำเสนอเพียงเท่านี้ละกันครับ 55555 ผมอยากบอกว่าอันนี้กลั่นมาจากประสบการณ์ของตัวผมเอง ผมเป็นทั้งบท “คนเลว” และ “คนที่ให้อภัย” ทั้งคู่เลยครับ 555
ผมอยากบอกว่าต้องลองเป็น “ผู้ให้” ดูครับ แล้วท่านจะรู้ได้ว่าการให้เป็น “ความสุข” อีกอย่างนึง ที่ทำได้ง่าย แต่ก็ทำได้ยากในเวลาเดียวกัน แต่ก็อย่างว่าแหละครับ “ครั้งแรกมักจะยากเสมอในทุกๆ เรื่อง” แต่อย่าลืมนะครับ “มีครั้งแรกก็(น่าจะ)มีครั้งต่อๆ ไป”
สำหรับวันนี้สวัสดีครับ

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา