12 ต.ค. 2019 เวลา 05:00 • ประวัติศาสตร์
“ไมเคิล แจ็กสัน (Michael Jackson) ราชาเพลงป๊อปผู้สร้างประวัติศาสตร์วงการดนตรี” ตอนที่ 3
จุดสูงสุดและอุบัติเหตุ
ภายหลังออกจาก Motown มาได้ไม่นาน ไมเคิลก็ได้รับการติดต่อจากไดอาน่า รอสส์ให้มาแสดงภาพยนตร์ร่วมกับเธอ
รอสส์จะแสดงภาพยนตร์เรื่อง “The Wiz” ซึ่งสร้างมาจากนิทานเรื่อง “พ่อมดแห่งออซ (The Wizard of Oz)” โดยจะถ่ายทำที่นิวยอร์ก
ไมเคิลได้รับบทเป็น “หุ่นไล่กา” ซึ่งเขาก็ดีใจมาก เนื่องจากเป็นประสบการณ์แปลกใหม่ และเขายังได้แสดงความสามารถในการเต้นในภาพยนตร์เรื่องนี้อีกด้วย
1
ไมเคิลในบทหุ่นไล่กา
รอสส์บ่นว่าไมเคิลนั้นเรียนรู้ท่าเต้นได้รวดเร็วเกินไป ทำให้คนอื่นๆ ดูแย่ แต่นั่นก็ไม่ใช่ความผิดของไมเคิล
นอกจากการร้องเพลงแล้ว เรื่องเต้นนั้นเขาก็ทำได้ดีมาก
เมื่อภาพยนตร์เรื่อง “The Wiz” ออกฉายในปีค.ศ.1978 (พ.ศ.2521) ภาพยนตร์เรื่องนี้ไม่ประสบความสำเร็จ เรียกว่าเจ๊งเลยก็ได้ แต่ไมเคิลก็สนุกกับการแสดงภาพยนตร์มาก
1
โปสเตอร์ภาพยนตร์เรื่อง “The Wiz” (1978)
อีกคุณูปการที่ The Wiz ได้ให้กับไมเคิลก็คือ ในกองถ่ายทำภาพยนตร์เรื่องนี้ ไมเคิลได้รู้จักและเป็นเพื่อนกับชายที่จะเปลี่ยนชีวิตเขาในหลายๆ ด้าน
ชายคนนั้นชื่อ “ควินซีย์ โจนส์ (Quincy Jones)”
ควินซีย์ โจนส์ (Quincy Jones)
โจนส์เป็นโปรดิวเซอร์มือทองเช่นเดียวกับกอร์ดี้ แต่โจนส์นั้นเป็นโปรดิวเซอร์อิสระ ไม่ได้ทำงานให้บริษัทไหน และโจนส์นั้นก็คอยช่วยเหลือไมเคิลในหลายๆ เรื่อง
ครั้งหนึ่ง ระหว่างถ่ายทำภาพยนตร์ The Wiz
ไมเคิลนั้นออกเสียงบทของตัวเองผิด โจนส์จึงช่วยกระซิบบอกไมเคิล ซึ่งทำให้ไมเคิลรู้สึกขอบคุณมาก และไมเคิลกับโจนส์ก็ได้กลายเป็นเพื่อนสนิทกันมานับแต่นั้น
ไมเคิลนั้นรักและนับถือโจนส์เสมือนกับพ่อแท้ๆ เลยทีเดียว
ไมเคิลและโจนส์
เวลานี้นับเป็นเวลาที่เหมาะเจาะ ไมเคิลนั้นออกมาจาก Motown แล้ว และในเวลานี้เขาก็โตพอที่จะมีแนวทางดนตรีของตนเองได้แล้ว และโจนส์คือคนที่เหมาะที่สุดที่จะช่วยไมเคิลสร้างตำนาน
10 สิงหาคม ค.ศ.1978 (พ.ศ.2521) อัลบั้มเดี่ยวของไมเคิลที่มีโจนส์เป็นโปรดิวเซอร์ก็ได้ออกวางจำหน่าย
นั่นคือ “Off the Wall”
อัลบั้ม “Off the Wall”
ในอัลบั้มนี้ โจนส์ได้ชวนให้นักร้องระดับซุปตาร์หลายคนมาช่วยเขียนเพลงให้อัลบั้มนี้ หนึ่งในนั้นคือ “พอล แม็กคาร์ตนีย์ (Paul McCartney)” หนึ่งในสมาชิกของ The Beatles ก็ได้ร่วมแต่งเพลงให้อัลบั้มนี้ด้วยเช่นกัน
พอล แม็กคาร์ตนีย์ (Paul McCartney)
ในเดือนที่ Off the Wall ออกวางจำหน่าย เป็นเดือนเกิดของไมเคิล ไมเคิลมีอายุครบ 20 ปี ซึ่งในตอนนี้เขาก็โตพอที่จะตัดสินใจเรื่องต่างๆ ได้เองแล้ว
การตัดสินใจแรกของไมเคิลนั้นเป็นการตัดสินใจครั้งสำคัญ
ไมเคิลตัดสินใจไล่ผู้จัดการส่วนตัวออก และผู้จัดการส่วนตัวของไมเคิลก็ไม่ใช่ใครที่ไหน นั่นคือโจ แจ็กสัน พ่อของไมเคิลนั่นเอง
1
ไมเคิลรู้ดีว่าพ่อของเขานั้นทำหน้าที่ผู้จัดการได้ดี ที่ผ่านมาก็เป็นฝีมือของโจที่ปลุกปั้น The Jackson 5 จนโด่งดังและทำให้ The Jackson 5 เข้าไปอยู่ในสังกัด Motown ได้
แต่อย่างไรก็ตาม ไมเคิลไม่ต้องการให้โจมาบงการชีวิตเขาอีกต่อไป ไมเคิลต้องการจะดำเนินชีวิตของตนเองโดยไม่มีใครมาชี้นิ้วสั่งอีกต่อไป
ไมเคิลและโจ ผู้เป็นพ่อ
ในเมื่อตอนนี้ไมเคิลได้ไล่โจออกจากการเป็นผู้จัดการส่วนตัวแล้ว เขาก็จำเป็นต้องหาใครซักคนมาช่วยเขาบริหารเรื่องเงินๆ ทองๆ รวมถึงเรื่องการทำสัญญากับบริษัทต่างๆ
คนแรกที่ไมเคิลจ้างคือทนายความชื่อ “จอห์น บรานกา (John Branca)”
จอห์น บรานกา (John Branca)
ในเวลาต่อมา บรานกาผู้นี้จะเป็นคนที่คอยช่วยเหลือไมเคิลในการทำสัญญาดีๆ หลายครั้งและช่วยให้ไมเคิลประสบความสำเร็จ
1
Off the Wall อัลบั้มแรกที่ไมเคิลออกกับ CBS ประสบความสำเร็จอย่างมาก เพลงของไมเคิลในอัลบั้มนี้ติดหนึ่งในสิบเพลงยอดนิยมในมิวสิคชาร์ต
2
ค.ศ.1980 (พ.ศ.2523) ไมเคิลได้รับรางวัลแกรมมี (Grammy Award) ซึ่งเป็นรางวัลที่สูงสุดในวงการดนตรี
ไมเคิลในวันที่รับรางวัลแกรมมี
แต่ถามว่าไมเคิลพอใจหรือไม่?
คำตอบคือไม่ ไมเคิลไม่พอใจเนื่องจากเขาได้รับรางวัลแกรมมีสาขานักร้องชาย ผู้ขับร้องเพลงอาร์แอนด์บียอดเยี่ยมเท่านั้น
2
นักร้องอาร์แอนด์บีส่วนมากเป็นคนผิวสี ไมเคิลจึงรู้สึกเหมือนตนกำลังโดนเหยียด เหมือนกับคณะกรรมการแกรมมีกำลังบอกเขาว่า
“อัลบั้มของไมเคิลนั้นยอดเยี่ยม แต่ก็ยอดเยี่ยมสำหรับนักร้องผิวสีเท่านั้น แต่ยังไม่ดีพอสำหรับวงการดนตรีป๊อป”
ไมเคิลจึงตั้งใจจะชนะรางวัลแผ่นเสียงแห่งปีให้ได้
ไมเคิลเข้าห้องอัดอีกครั้งในปีค.ศ.1982 (พ.ศ.2525) โดยมีโจนส์เป็นโปรดิวเซอร์เช่นเดิม
ในอัลบั้มใหม่นี้ มีเพลงที่ไมเคิลแต่งเองถึงสี่เพลง และหนึ่งในนั้นเป็นเพลงที่เขาร้องคู่กับแม็กคาร์ตนีย์
นั่นคือเพลง “The Girl Is Mine”
ผมขออนุญาตลงเพลง The Girl Is Mine ให้ลองฟังดูนะครับ
ภายหลังจากอัดเสียงเสร็จ อัลบั้มใหม่ของไมเคิลก็ได้ออกวางจำหน่ายในปีค.ศ.1983 (พ.ศ.2526)
อัลบั้มนั้นชื่อว่า “Thriller”
อัลบั้ม Thriller
ในอัลบั้ม Thriller มีเพลงฮิตมากมาย ทั้งเพลงที่ไมเคิลแต่งเองอย่าง “Billie Jean” และ “Beat It” ซึ่งพุ่งขึ้นอันดับหนึ่งอย่างรวดเร็ว รวมถึงเพลง Thriller ซึ่งเป็นเพลงชื่อเดียวกับอัลบั้ม
แค่เพียงออกวางจำหน่าย Thriller ก็กลายเป็นอัลบั้มที่ขายดีที่สุดตลอดกาล โดยสามารถขายได้มากกว่า 10 ล้านแผ่นในปีแรกที่ออกวางจำหน่าย ก่อนที่ในปีต่อมาจะขายได้มากกว่า 100 ล้านแผ่น ซึ่งไม่เคยมีใครทำได้มาก่อน
ภายในเวลาเพียงสี่ปี ไมเคิลทำเงินไปมากกว่า 190 ล้านดอลลาร์ (เกือบ 6,000 ล้านบาท)
สาเหตุที่ Thriller ประสบความสำเร็จอย่างถล่มทลายก็มาจากหลายเหตุผล หนึ่งคือไมเคิลกับโจนส์นั้นทำงานเข้าขากันได้ดีมาก ทำให้งานดนตรีออกมายอดเยี่ยม
1
สองก็คือไมเคิลกำลังอยู่ในช่วงพีค เขาอยู่ในวงการดนตรีมาแล้วเกือบ 20 ปี เขาจึงรู้ดีว่าต้องทำยังไงให้เพลงออกมาดี
ไมเคิลจะใช้เวลาทั้งคืนท่องเนื้อเพลง และเมื่อถึงเวลาอัดเสียง เขาก็จะปิดไฟในสตูดิโอให้มืด สร้างบรรยากาศให้เป็นส่วนตัวที่สุด เพื่อที่ไมเคิลจะได้ร้องเพลงโดยถ่ายทอดอารมณ์ออกมาอย่างเต็มที่
2
ไมเคิลกับโจนส์ใช้เวลาร่วมกันเป็นเดือนๆ ในการอัดเพลง ก่อนจะรีมิกซ์นับร้อยรอบเพื่อให้เพลงออกมาดีที่สุด
ไมเคิลกับโจนส์ในห้องอัด
อีกเหตุผลที่สำคัญคือเอ็มวี ซึ่งไมเคิลมองเอ็มวีของตนเองเป็นเหมือนหนังสั้น และทุ่มพลังให้กับการทำเอ็มวี
ในตอนแรก เอ็มวีของไมเคิลไม่สามารถออกอากาศทางโทรทัศน์ได้ เหตุผลก็คือ MTV ช่องเพลงชื่อดังซึ่งเพิ่งถือกำเนิดขึ้นมาไม่นาน ได้ลงความเห็นว่าผู้ชมน่าจะอยากดูเอ็มวีของนักร้องผิวขาวมากกว่า MTV จึงไม่ยอมเปิดเอ็มวีของไมเคิล
ประธาน CBS Records จึงโทรศัพท์สายตรงหา MTV พร้อมขู่ว่าหาก MTV ไม่ยอมเปิดเอ็มวีของไมเคิล ก็จะไม่ยอมให้ MTV เปิดเอ็มวีของศิลปินผิวขาวในสังกัดของ CBS คนอื่นๆ ทำให้ MTV ต้องยอมเปิดเอ็มวีของไมเคิล
MTV ได้เปิดเอ็มวีเพลง “Billie Jean” ของไมเคิล ส่งให้อัลบั้ม Thriller กลายเป็นอัลบั้มอันดับหนึ่งในทุกมิวสิคชาร์ต ไม่เพียงแค่เฉพาะมิวสิคชาร์ตของคนผิวสีเท่านั้น
นี่คือเอ็มวีเพลง “Billie Jean” ครับ
และจากเพลง Billie Jean นี้เอง ที่ไมเคิลได้สร้างตำนานอีกครั้งด้วยการแนะนำท่าเต้น “มูนวอล์ค (Moonwalk)” จนโด่งดังไปทั่วโลก
ไมเคิลได้ขึ้นคอนเสิร์ตและแสดงเพลง Billie Jean ในปีค.ศ.1983 (พ.ศ.2526) และได้เปิดตัวท่าเต้นนี้ ทำให้แฟนๆ ต่างคลั่งไคล้และส่งชื่อเสียงของไมเคิลให้กึกก้องยิ่งกว่าเดิม
1
ผมขออนุญาตลงคลิปคอนเสิร์ตครั้งประวัติศาสตร์นี้นะครับ
ไมเคิลยังมีเอ็มวีเจ๋งๆ ออกมาอีกสองเพลง นั่นคือ “Beat It” ซึ่งเป็นเรื่องราวของแก๊งอันธพาล ซึ่งในเอ็มวีนี้ ไมเคิลก็ได้นำแก๊งอันธพาลตัวจริงมาเล่นในเอ็มวีด้วย
นี่คือเอ็มวี Beat It ครับ
เอ็มวีอีกตัวคือ Thriller ซึ่งเป็นเอ็มวีที่แพงที่สุด และไมเคิลก็เล่นใหญ่ที่สุดด้วย โดยเอ็มวีนี้มีความยาวเกิน 10 นาที และไมเคิลต้องแปลงโฉมตัวเอง เป็นทั้งมนุษย์หมาป่าและผีดิบ
นี่คือเอ็มวี “Thriller” ครับ
ความสำเร็จจากยอดขายและความโด่งดังของ Thriller ยังไม่สิ้นสุด เมื่อถึงเวลาประกาศรางวัลแกรมมี อัลบั้ม Thriller ก็ได้รับการเสนอชื่อกว่า 12 รางวัล
1
ในค่ำคืนของรางวัลแกรมมี อัลบั้ม Thriller ได้รับรางวัลถึงแปดรางวัล รวมทั้งรางวัลแผ่นเสียงแห่งปีและอัลบั้มแห่งปีอีกด้วย
ดูเหมือนในช่วงพีคจะไม่มีใครดังไปกว่าไมเคิล แจ็กสันจริงๆ
ต่อมาไม่นาน ไมเคิลก็ได้รับเชิญให้ไปทำเนียบขาวเพื่อพบกับประธานาธิบดี “โรนัลด์ เรแกน (Ronald Reagan)”
ไมเคิลขณะเข้าพบโรนัลด์และแนนซี เรแกน
ดูเหมือนตอนนี้ไมเคิลกำลังอยู่ในช่วงที่เรียกได้ว่ารุ่งโรจน์ที่สุดในชีวิต แต่เขาพอใจกับความสำเร็จนี้หรือ?
ภายหลังจากออกอัลบั้ม Thriller ไมเคิลก็ได้กลายเป็นนักร้องที่ดังที่สุดในโลก แต่ถึงอย่างนั้น เขาก็ยังคงมีความเหงาอยู่ลึกๆ เป็นความเหงาที่เกิดจากความขาดหายในช่วงวัยเด็ก
ไมเคิลรู้สึกโดดเดี่ยว เขารู้สึกเหมือนไม่มีใครเข้าใจเขา
สำหรับโลกภายนอก ไมเคิล แจ็กสันคือซูเปอร์สตาร์ดัง เขาขึ้นเวทีคอนเสิร์ตในชุดที่หรูหราอลังการ มีแฟนๆ ตามกรี๊ดและคลั่งไคล้
1
แต่ลึกลงข้างใน เขายังคงเป็นคนขี้อายและไม่มั่นใจในหน้าตาของตนเอง ในเวลานั้น ไมเคิลเริ่มเป็นโรคผิวหนัง ซึ่งเขาต้องเมคอัพปกปิดไว้ ก่อนที่ต่อมาภายหลังจะพบว่านั่นคือโรคด่างขาว ซึ่งเปลี่ยนสีผิวของเขาให้เป็นสีขาว
นอกจากนั้นไมเคิลก็ยังทำจมูก เนื่องจากเขามีปมด้อย คิดว่าตนเองนั้นจมูกโตเกินไป
ต่อมา มกราคม ค.ศ.1984 (พ.ศ.2527) ขณะที่ไมเคิลถ่ายทำภาพยนตร์โฆษณาให้เป๊ปซี่ (Pepsi) ที่ลอสแอนเจลิส เขาก็ได้ประสบอุบัติเหตุร้ายแรง
ขณะเดินขึ้นมาบนเวที เอฟเฟคท์ไฟได้เกิดระเบิดขึ้นและติดที่ผมของไมเคิล ซึ่งในทีแรกไมเคิลยังไม่รู้ตัว ก่อนที่เขาจะรู้ตัวและถูกนำตัวส่งโรงพยาบาล
นี่คือคลิปเหตุการณ์ที่ว่านี้ครับ
1
ไมเคิลนั้นบาดเจ็บมากและต้องรับการผ่าตัด และเนื่องจากความเจ็บปวด แพทย์ได้ให้ยาแก้ปวดกับไมเคิล
ไมเคิลนั้นไม่เคยใช้ยามาก่อน แต่เขาจำเป็นต้องใช้ยาเพื่อระงับอาการเจ็บปวด ซึ่งต่อมา เขาก็ได้ติดยาที่ว่าและไม่อยากเลิกใช้
แต่จากอุบัติเหตุในครั้งนี้ ก็ได้มีสิ่งดีๆ ตามมาถึงสองอย่าง
หนึ่งคือเป๊ปซี่ได้มอบเงินปลอบขวัญให้ไมเคิลเป็นจำนวน 1.5 ล้านดอลลาร์ (ประมาณ 45 ล้านบาท) ซึ่งไมเคิลก็ได้บริจาคเงินจำนวนดังกล่าวให้แก่แผนกไฟไหม้ของโรงพยาบาลที่ไมเคิลเข้ารับการรักษา
อีกข้อก็คือเป๊ปซี่ได้ทำสัญญามูลค่า 5.2 ล้านดอลลาร์ (ประมาณ 156 ล้านบาท) กับไมเคิลเพื่อถ่ายทำภาพยนตร์โฆษณาของเป๊ปซี่ตัวอื่นๆ อีก
ในเวลานี้ ไมเคิลเป็นนักร้องที่โด่งดังและมีแฟนๆ ทั่วโลก
แต่เขากำลังจะก้าวขึ้นมาเป็นหนึ่งในบุคคลที่รวยที่สุดในวงการดนตรี
ก้าวต่อไปของไมเคิลจะเป็นอย่างไร ติดตามได้ตอนต่อไปนะครับ
โฆษณา