13 ต.ค. 2019 เวลา 03:09 • ประวัติศาสตร์
“ไมเคิล แจ็กสัน (Michael Jackson) ราชาเพลงป๊อปผู้สร้างประวัติศาสตร์วงการดนตรี” ตอนที่ 4
แค็ตตาล็อกของ “The Beatles”
ในเวลานี้ ไมเคิลอยู่ในวงการดนตรีมานานพอที่จะรู้ถึงกระบวนการต่างๆ แล้ว
โดยปกติ บริษัทแผ่นเสียงหรือบริษัทเพลงจะได้กำไรเป็นเงินจำนวนมาก ในขณะที่นักร้องและผู้แต่งเพลงไม่ได้รับเงินตอบแทนมากนัก
ถึงแม้นักร้องจะได้รับส่วนแบ่งจากยอดขายแผ่น แต่เปอร์เซ็นต์ที่ได้ก็น้อยมาก บางทีได้รับแค่แผ่นละไม่ถึงหนึ่งเพนนี (ไม่ถึงหนึ่งบาท)
The Jackson 5 เองก็ไม่ได้เป็นเจ้าของลิขสิทธิเพลงของตนเอง ส่วนหนึ่งก็เพราะว่าเพลงที่พวกเขาร้อง พวกเขาไม่ได้เป็นคนแต่ง อีกเหตุผลก็เพราะ Motown ต้นสังกัดแรกของพวกเขาบังคับให้ศิลปินทุกคนเซ็นสัญญาว่าลิขสิทธิเพลงเป็นของ Motown
ศิลปินใหญ่อีกรายที่ประสบชะตากรรมเดียวกับ The Jackson 5 คือ The Beatles
The Beatles เป็นวงดนตรีระดับตำนานอีกวงของอังกฤษที่มาก่อน The Jackson 5
The Beatles นั้นได้แต่งเพลงดีๆ ไว้หลายเพลง แต่ก็ได้เซ็นมอบสิทธิเพลงทั้งหมดให้กับต้นสังกัด เนื่องจากในช่วงแรกพวกเขายังเด็ก และใหม่ต่อโลกดนตรี
The Beatles
The Beatles นั้นทำเงินได้มหาศาลจากยอดขายแผ่น รวมถึงค่าตั๋วคอนเสิร์ต และยังมีรายได้จากการแสดงภาพยนตร์และรายการโทรทัศน์อีกด้วย
แต่ลิขสิทธิเพลงซึ่งทำรายได้ให้มากมายมหาศาลกลับไม่ได้เป็นของพวกเขา ทั้งๆ ที่เพลงเหล่านั้น พวกเขาเป็นคนแต่งเอง
2
ไมเคิลได้พบกับ “พอล แม็กคาร์ตนีย์ (Paul McCartney)” อดีตสมาชิกของ The Beatles ในปีค.ศ.1981 (พ.ศ.2524) ซึ่งแม็กคาร์ตนีย์ได้มาช่วยร้องเพลงคู่กับไมเคิลในอัลบั้มของเขา อีกทั้งยังเคยแต่งเพลงให้ไมเคิลอีกด้วย
1
ไมเคิลและแม็กคาร์ตนีย์
วันหนึ่ง แม็กคาร์ตนีย์ได้บอกความลับบางอย่างแก่ไมเคิล แม็กคาร์ตนีย์ได้กว้านซื้อลิขสิทธิเพลงดังๆ ของศิลปินคนอื่นมากมาย
แม็กคาร์ตนีย์มีรายชื่อเพลงดังๆ ที่เขาซื้อมาแล้วมากมาย ซึ่งแม็กคาร์ตนีย์เรียกเพลงเหล่านี้ว่า “แค็ตตาล็อก (Catalog)”
แม็กคาร์ตนีย์นั้นร่ำรวยจากการซื้อลิขสิทธิเพลงของนักร้องคนอื่น และเขาก็แนะนำไมเคิลให้ทำตาม
1
ไมเคิลนั้นฟังนิ่งๆ ไม่แสดงความสนใจออกมาอย่างชัดแจ้ง แต่ในหัวของเขานั้นกำลังประมวลผลอยู่
“เดี๋ยวผมจะได้เป็นเจ้าของเพลงของคุณ” คือคำพูดที่ไมเคิลพูดกับแม็กคาร์ตนีย์ ซึ่งแม็กคาร์ตนีย์ก็หัวเราะ เนื่องจากคิดว่าไมเคิลเพียงแต่พูดเล่นเท่านั้น
ไมเคิลและแม็กคาร์ตนีย์
ไมเคิลได้พูดคุยกับบรานกา ผู้ที่ไมเคิลจ้างมาให้ทำหน้าที่เสมือนผู้จัดการส่วนตัว
ไมเคิลบอกให้บรานกาคอยจับตามองเพลงที่ไมเคิลน่าจะซื้อได้และน่าจะทำเงินได้ดี
ค.ศ.1984 (พ.ศ.2527) บรานกาบอกกับไมเคิลว่าตอนนี้มีแค็ตตาล็อกเพลงที่เพิ่งนำออกขาย แค็ตตาล็อกนี้เป็นแค็ตตาล็อกเพลงของ The Beatles
ไมเคิลหูผึ่งทันที เขาอยากได้เพลงของ The Beatles
จะจ่ายเท่าไรเขาก็ยินดี
ไมเคิลและบรานกา
แต่การจะซื้อแค็ตตาล็อกเพลงของ The Beatles จำเป็นต้องมีเล่ห์เหลี่ยม หากว่าแม็กคาร์ตนีย์สนใจอยากจะซื้อเพลงของตนเองล่ะ?
บรานกาจึงได้ลองถามทนายของแม็กคาร์ตนีย์ว่าแม็กคาร์ตนีย์สนใจจะซื้อเพลงของ The Beatles กลับไปหรือไม่ แต่ทนายของแม็กคาร์ตนีย์ปฏิเสธ พร้อมบอกว่ามันแพงไป
แต่ในเวลานั้นแม็กคาร์ตนีย์ไม่ทราบว่าไมเคิลกำลังวางแผนจะซื้อเพลงของตัวเอง หากเขาทราบ แม็กคาร์ตนีย์อาจจะเปลี่ยนใจ
บรานกาจึงได้เสนอเงินซื้อแค็ตตาล็อกเพลงของ The Beatles เป็นจำนวนถึง 30 ล้านดอลลาร์ (ประมาณ 900 ล้านบาท) ซึ่งก็มีผู้สนใจรายอื่นเสนอราคาสูงกว่านี้
ราคาของแค็ตตาล็อกนี้พุ่งสูงขึ้นเรื่อยๆ ในไม่ช้า ทั้งนักธุรกิจ ทั้งเหล่าคนในฮอลลีวู้ดต่างต่อว่าไมเคิลว่าเขาบ้าไปแล้ว เขาให้ราคาสูงเกินไปแล้ว
ไมเคิลกับจอร์จ แฮร์ริสัน (George Harrison) อีกหนึ่งสมาชิก The Beatles
ไมเคิลไม่สนใจว่าคนอื่นจะพูดอย่างไร เขายังคงเสนอราคาที่สูงขึ้นต่อไป จนในเวลาต่อมา บรานกาก็สามารถเอาชนะสงครามการประมูลและนำแค็ตตาล็อกเพลงของ The Beatles มาเป็นของไมเคิลจนได้
ไมเคิลจ่ายเงินสำหรับแค็ตตาล็อกของ The Beatles เป็นจำนวนถึง 47.5 ล้านดอลลาร์ (ประมาณ 1,425 ล้านบาท)
ดูเหมือนไมเคิลจะไม่ได้บ้าอย่างที่หลายๆ คนว่าเขาในตอนแรก การซื้อแค็ตตาล็อกของ The Beatles กลายเป็นสิ่งที่ฉลาดที่สุด และเป็นการลงทุนที่คุ้มค่าที่สุดของไมเคิล
ภายในเวลา 10 ปี แค็ตตาล็อกของ The Beatles ก็มีมูลค่าพุ่งสูงขึ้นไปกว่า 150 ล้านดอลลาร์ (ประมาณ 4,500 ล้านบาท) และทำเงินให้ไมเคิลอีกปีละ 10 ล้านดอลลาร์ (ประมาณ 300 ล้านบาท)
ปัจจุบัน แค็ตตาล็อกนี้มีมูลค่าถึง 1,000 ล้านดอลลาร์ (ประมาณ 30,000 ล้านบาท)
เมื่อแม็กคาร์ตนีย์ทราบว่าไมเคิลได้เป็นเจ้าของลิขสิทธิเพลงของ The Beatles แม็กคาร์ตนีย์ก็หัวเสียมาก
แม็กคาร์ตนีย์เรียกไมเคิลมาคุย และขอให้เห็นแก่ความเป็นเพื่อน เนื่องจากที่ผ่านมา ทั้งคู่ก็เป็นเพื่อนที่ดีต่อกันมาโดยตลอด
แม็กคาร์ตนีย์บอกกับไมเคิลว่า The Beatles เองก็ไม่ต่างอะไรกับ The Jackson 5
ในช่วงแรกที่ The Beatles ทั้งสี่เข้าวงการ พวกเขายังเด็ก ยังด้อยประสบการณ์ และต้องยอมโดนเอาเปรียบ ยอมเซ็นยกลิขสิทธิเพลงให้บริษัท ทั้งๆ ที่หลายๆ เพลง พวกเขาเป็นคนแต่ง
แม็กคาร์ตนีย์บอกกับไมเคิลว่า ในเมื่อตอนนี้ไมเคิลเป็นเจ้าของลิขสิทธิเพลงแล้ว ไมเคิลจะช่วยให้ส่วนแบ่งกำไรที่สมน้ำสมเนื้อมากกว่าเดิมแก่แม็กคาร์ตนีย์ได้หรือไม่?
คำตอบของไมเคิลคือ “ไม่”
ถึงแม้ไมเคิลจะมีบุคลิกขี้อาย พูดเสียงเบาๆ แต่ไมเคิลก็เป็นนักธุรกิจที่เคี่ยวเอาการ
และทั้งหมดนี้ก็คือดีลธุรกิจดีลหนึ่งเท่านั้น อีกอย่าง เขาก็ได้ให้บรานกาถามทนายของแม็กคาร์ตนีย์ตั้งแต่ทีแรกแล้วว่าแม็กคาร์ตนีย์สนใจจะซื้อแค็ตตาล็อกของ The Beatles กลับไปหรือไม่
1
ไมเคิลเริ่มจะร่ำรวยยิ่งกว่าเดิม แต่ชีวิตของเขาจะเป็นอย่างไรต่อ เขาจะสร้างตำนานอะไรอีกบ้าง
ติดตามต่อในตอนหน้านะครับ
ปิดท้ายบทนี้ด้วยคำถามที่น่าสนใจ ท่านผู้อ่านคิดว่าการกระทำของไมเคิลในครั้งนี้ผิดหรือไม่ หรือมองว่านี่ก็คือธุรกิจอย่างหนึ่ง เป็นเรื่องธรรมดาของโลกธุรกิจ
ท่านผู้อ่านมีความเห็นว่ายังไงครับ?
1
โฆษณา