21 ต.ค. 2019 เวลา 14:03 • ธุรกิจ
หลักการวิเคราะห์หุ้นกลุ่มธนาคาร
1
By ทีมงานหุ้นพอร์ทระเบิด
“หุ้นกลุ่มธนาคาร” ถือเป็นหุ้นอีกกลุ่มนึงที่มีความสำคัญกับตลาดหลักทรัพย์ในบ้านเรา เพราะทั้งเก่าแก่ และมี Market cap หรือมูลค่าทางการตลาดที่สูงๆกันทั้งนั้น
ทำให้หุ้นกลุ่มนี้เป็นที่สนใจของนักลงทุนทั้งมือใหม่และมือเก๋าอยู่ไม่น้อย เนื่องจากหลายๆคนมองว่าเป็นธุรกิจที่มั่นคง ใหญ่โต แต่เราจะรู้ได้ยังไงล่ะว่ามันตรงกับที่เราคิดหรือเปล่า ?
วันนี้เราจะลองพาไปวิเคราะห์หุ้นใน Sector นี้กันดู ว่าจะมองจากมุมไหนและมองยังไงได้บ้าง เพราะช่วงนี้งบ Q3 ของเหล่าธนาคารก็ได้เริ่มทยอยๆออกกันมาเกือบหมดแล้ว
ปัจจัยแรกง่ายๆที่เราจะวิเคราะห์ว่าหุ้นธนาคารจะไปในทิศทางไหน ให้เริ่มดูไปที่ “สภาพเศรษฐกิจ” ก่อน เพราะว่าหากเศรษฐกิจดี ความต้องการของคนที่จะกู้ยืมเงิน ขอสินเชื่อ ก็จะมีเยอะตามไปด้วย แต่หากเศรษฐกิจไม่ดี หุ้นกลุ่มนี้ก็จะรูดลงตามไปเช่นกัน เพราะคนไม่มีเงินจ่ายหนี้ เบี้ยวหนี้ ทำให้กลายเป็น NPL หรือหนี้เสียนั่นเอง
2
ดังนั้นสภาพเศรษฐกิจและ “ยอดการเติบโตของสินเชื่อ” จึงเป็นอย่างแรกๆที่ควรมอง หากสนใจในหุ้นกลุ่มธนาคาร
ซึ่งแต่ละธนาคารก็จะมีความถนัดทางด้านสินเชื่อที่แตกต่างกันออกไป มีลูกค้าคนละกลุ่ม เช่น BBL ก็จะเด่นในด้านของสินเชื่อก้อนโตๆที่มีลูกค้าเป็นธุรกิจใหญ่ๆ ส่วน TCAP ก็จะเน้นไปที่สินเชื่อรถยนต์, รถบรรทุก เป็นต้น
ต่อมาเป็นส่วนต่างของ “ดอกเบี้ยสุทธิ” หรือ Net Interest Margin (NIM) ซึ่งมาจาก “ดอกเบี้ยเงินกู้ - ดอกเบี้ยเงินฝาก” สำหรับ NIM นี้ ถือเป็นอีกหนึ่งเครื่องชี้วัดว่าธนาคารมีฝีมือในการบริหารจัดการเพื่อ “ทำกำไร” ได้มากน้อยขนาดไหน ยิ่งส่วนต่าง(Spread) สูง ผลประโยชน์ก็จะสูงตามไปด้วย ซึ่ง NIM หรือดอกเบี้ยสุทธิ นี่แหละคือรายได้หลักของธนาคารเลย
สิ่งต่อมาที่ต้องดู คือ “หนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ หรือ NPL” ซึ่งเอาง่ายๆคือหนี้ที่ลูกหนี้เบี้ยวจ่าย ซึ่งแต่ละธนาคารก็จะต้องมีการตั้งงบสำรองค่าใช้จ่ายไว้หากลูกหนี้ไม่ยอมจ่ายเกิน 3 เดือนตามการควบคุมของธนาคารกลาง นึกภาพง่ายๆว่าธนาคารลงทุนเป็นเงินต้นไปทั้งหมดเพื่อหวังดอกเบี้ยเพียง 6% แต่ถ้าหากลูกหนี้เบี้ยว ธนาคารจะต้องจ่ายเงินเพื่อตั้งงบสำรองไว้ทั้งต้นทั้งดอก
ทีนี้ ถ้า NPL เยอะ ธนาคารก็ต้องตั้งสำรองเยอะ ซึ่งนำมาสู่รายจ่ายที่มากขึ้น ส่งผลโดยตรงกับกำไร หรืออาจจะถึงขั้นทำให้ขาดทุนเลยก็ได้หาก NPL เยอะเกินไป ซึ่งอดีตก็มีบทเรียนให้ดูกันเมื่อครั้งเกิดวิกฤตต้มยำกุ้งที่ผ่านมา ทำให้ NPL จะช่วยบ่งบอก “คุณภาพของสินเชื่อ”
1
อีกสิ่งหนึ่งที่สำคัญไม่แพ้กันเลยก็คือ “รายได้ที่ไม่ใช่ดอกเบี้ย” เช่นค่าธรรมเนียม ค่าบริการ ซึ่งถือเป็นรายได้ลำดับ 2 ของธนาคารส่วนใหญ่ ซึ่งแต่ละเจ้าก็จะมีอัตราส่วนแตกต่างกันออกไป ถึงแม้เดี๋ยวนี้ค่าบริการจะลดลงไปเยอะ แต่การเติบโตของรายได้ส่วนนี้ก็ยังสำคัญ โดยส่วนใหญ่ธนาคารจะใช้เงินส่วนนี้แหละไปจ่ายค่าน้ำ, ไฟ ค่าพนักงาน
สุดท้ายนี้สิ่งที่จะบ่งบอกว่าหุ้นกลุ่มธนาคารนั้นถูกหรือแพงนั้นจะไม่นิยมดูค่า P/E แต่จะนิยมดูที่ ราคาต่อมูลค่าทางบัญชีหรือ P/Bv เพราะมีความผันผวนน้อยกว่า ซึ่ง P/Bv ของหุ้นธนาคารต่างๆก็จะมีตั้งแต่ 1.2 - 2.5 เท่า ซึ่งหากนักลงทุนจับรอบได้และถือหุ้นกลุ่มนี้ไว้ตอน P/Bv ถูก เมื่อ ROE (กำไรสุทธิ/ส่วนผู้ถือหุ้น) สูงขึ้นแล้ว ตลาดก็จะปรับให้ P/Bv สูงขึ้นตามก็จะทำให้หากำไรได้จากช่วงนั้นๆ
1
หรือสรุปง่ายๆ ว่าหุ้นกลุ่มธนาคารเป็น Cycling stock (หุ้นวัฏจักร) ที่จะมีแนวโน้มเคลื่อนไหวไปเป็นรอบๆ ตามสภาวะเศรษฐกิจ มีรายได้หลักมาจากดอกเบี้ย มีแนวโน้มของรายได้มาจากอัตราการเติบโตของสินเชื่อ คุณภาพของสินเชื่อมาจากค่า NPL และราคาเหมาะสมจะนิยมดูที่ P/Bv นั่นเอง
คงต้องยอมรับว่าช่วงนี้เศรษฐกิจกำลังฝืดเคือง ดอกเบี้ยก็ตกต่ำ ทำให้หุ้นกลุ่มธนาคารได้รับผลกระทบกันไปหมดซึ่งก็เป็นไปตามวัฏจักรเศรษฐกิจ
หากใครที่กำลังจะลงทุนก็แนะนำให้ศึกษากันดีๆ สามารถเอาหลักการวิเคราะห์ข้างบนไปลองใช้ศึกษากันได้ ซึ่งปัจจุบันหุ้นธนาคารเจ้าใหญ่ๆในประเทศกำลังมี P/Bv ที่ต่ำมาก (>1เท่า) ใครที่มองหรือคาดเดาวัฏจักรออกก็ไปรอกันได้
แต่สุดท้ายแล้วการลงทุนก็มีทั้งกำไรและความเสี่ยง อยู่ที่ใครจะสามารถรับความเสี่ยงได้แค่ไหน หรือมองเห็นโอกาสที่ใครๆมองไม่เห็น
สุดท้ายนี้ ขอให้ทุกคนรอบคอบ และโชคดีในการลงทุน...
>>ขอกำลังใจให้ 1 ไลค์ 1 แชร์นำสิ่งดีๆแบบนี้อีกนะครับ
สนใจเรียนรู้เรื่องการลงทุน..แอดมาเลยครับ
Line ID: @Bestcom (มีตัว @ ด้วยนะครับ)
โฆษณา