26 ต.ค. 2019 เวลา 11:27 • บันเทิง
สวัสดีค่ะทุกคน สุขใดไหนเล่าจะเท่า ศุกร์ เสาร์ อาทิตย์ วันหยุดนี้แอดจะมาเล่านิทานให้ฟังกันค่ะ
1
ก่อนอื่นต้องบอกก่อนว่า ในบทความก่อนหน้า 2 บทความที่ผ่านมาของแอด(ไม่นับเรื่องเฮฮาประสาคนขี่ GRAB เมื่อวานนะคะ ความจริงเมื่อวานถ้าต้องลงบทความก็ควรเป็นบทความนี้แหละแต่เขียนไม่เสร็จ) แลดูเศร้าประกอบกับภาพวาดของแอดที่ดูเศร้าจนพี่มูฟวี่แอดมินเพจ MovieTalk มูฟวี่ชวนคุย คอมเมนต์ว่า “รูปภาพเซ้า เศร้านะติดกันสองโพสต์แล้ว” (ความจริงแอดแฮปปี้ปกติดี ขอบคุณนะคะที่เป็นห่วง)
เนี่ย ก็ดูเศร้าจริงๆนั่นแหละ. Cr. Manoot_Si
ไม่ใช่แค่นี้แต่จะเห็นได้เลยว่าทั้งผู้เขียนและผู้อ่านในBlockdit จะคอยแวะเวียนถามไถ่ ห่วงใย ส่งกำลังใจให้กันเสมอไม่ว่าจะในเพจหรือในแอคเคาน์ส่วนบุคคลก็ตามที่ลงบทความ ใครหายไปนานก็จะมีคนคอมเมนต์หา เนี่ยมันน่ารักมากเลยนะคะ
นี่คือสิ่งที่ทำให้เห็นว่าในสังคม Blockdit ใส่ใจกันเสมอแม้ไม่รู้จักกันเป็นการส่วนตัว
“เป็นคนแปลกหน้าที่คอยส่งพลังบวกให้แก่กัน”
Cr. Manoot_Si
ยาวละเริ่มยาวละบทความนี้ยาวอีกแน่ๆค่ะ
ผู้อ่านคงคิดว่า “เมื่อไหร่จะเล่าซะที”
ใจเย็นๆนะคะ ทำใจร่มๆก่อนเนอะ
นิทานที่แอดจะเล่าเป็นนิทานสุดคลาสสิกของคนอีสานเลยก็ว่าได้ค่ะนั่นคือ “นิทานก้อม”นั่นเอง แอดเชื่อว่าคนอีสานรู้จักดี เป็นนิทานที่แอดได้ยินมาตั้งแต่เด็กๆ ฟังทีไรก็อดหัวเราะตามไม่ได้ มันสนุกมากเลยนะคะยิ่งคนเล่าดัดเสียงใส่อารมณ์ไปด้วยนี่ยิ่งได้อรรถรสในการฟังค่ะ
ก่อนอื่นมาทำความรู้จักกันก่อนว่า นิทานก้อม
คือ อะไร
นิทานก้อม คือ นิทานสั้นค่ะ เกิดจากการผสมคำระหว่างคำว่า “นิทาน”( คำนี้ทุกคนคงรู้ความหมายดี) กับคำว่า “ก้อม” แปลว่า สั้น, ไม่ยาว, เตี้ย, หด ตัวอย่างเช่น สากสั้นเรียก สากก้อม ไก่หางสั้นเรียก ไก่หางก้อม อายุสั้นเรียก อายุก้อม เทียนแท่งสั้นๆ เรียก เทียนก้อม หนังสือใบลานใบสั้นๆ เรียก หนังสือก้อม ถ้าสั้นมากเรียก ก๊อมก้อม ก้อมก้อม ก็ว่า นิทานสั้น จึงเรียกว่า นิทานก้อม
นิทานก้อมจะมีเนื้อเรื่องสั้นๆ กระชับ อาจจะเป็นในรูปนิทานที่มีคติสอนใจ สอดแทรกคำสอนหรือสะท้อนวิถีชีวิต หรือตลกขำขัน ประโลมโลก นิทานก้อมอาจเล่าในทีมีงานรื่นเริง หรือพบปะเฮฮากัน หรือเล่าสู่กันฟังในตอนเย็น หลังจากกินข้าวเย็นเสร็จ เพราะว่าสมัยก่อน ไม่มีโทรทัศน์โทรศัพท์ อินเทอร์เน็ตหรือ สื่อสิ่งบันเทิง นอกจากมีการมีงานบุญ ถึงจะได้ดูสิ่งมหรสพ เช่น หมอลำ หรือว่าหนังกลางแปลง เป็นต้น
การอบรมสั่งสอนบุตรหลาน ผู้เฒ่าผู้แก่จะใช้นิทานนี่แหละค่ะ ในการถ่ายทอดให้ลูกหลาน นอกจากนิทานก้อมแล้วยังมีนิทานขนาดยาวที่เป็นวรรณคดี ที่เป็นวรรณกรรมท้องถิ่น อ่านหรือเล่าเรื่องให้ลูกหลานฟัง ในเวลาว่างหลังจากรับประทานอาหารเย็น เพราะในเวลาเย็นเป็นเวลาพักผ่อน หลังจากที่ทำงานเหนื่อยมาทั้งวัน สมัยก่อน อยู่กันเป็นครอบครัวขนาดใหญ่ มีพ่อแม่ ปู่ย่าตายาย หรือน้าอา อยู่ร่วมกัน อย่างอบอุ่น
เรือนอีสานแต่ก่อน จะมีชานตากอากาศ เวลาร้อนไม่มีพัดลม ก็ออกมานั่งพูดคุยกัน ผู้เฒ่าเล่านิทานให้ลูกหลานฟัง ดังคำว่า "นิทานๆผู้เฒ่าหูยาน ตกชานตายจ้อย" ก็เพราะว่าเล่านิทานกันอยู่นอกชานนี้แหละ
นิทานที่ผู้เฒ่าผู้แก่เล่า ส่วนมากจะเป็นนิทานสอนใจ มีคติ ส่วนนิทานก้อมประเภทขำขันล้อเลียน หรือตลกออกแนวหยาบๆหน่อย ก็จะเล่ากันในวงเหล้า หรือในงานชุมนุมมีงานต่างๆ ออกไปในแนวนิทานผู้ใหญ่ นิทานแบบนี้ คนเล่าหรือพูดก็ต้องรู้จักว่าเวลาไหนควรเล่านิทานแบบไหน คนเล่าจะรู้ดี พูดง่ายๆคือรู้กาลเทศะ
"เฮือนเกย" บ้านตองโขบ อำเภอโคกศรีสุพรรณ จังหวัดสกลนคร  (ภาพจากหนังสือ "เรือนไทย" โดยสำนักงานเสริมสร้างเอกลักษณ์ของชาติ, สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
นิทานก้อม มีหลายเรื่องอาจสะท้อนสังคม หรือกล่าวถึงไหวพริบ หรือคำสอนให้รู้จักเอาตัวรอด หรือทำดี หรือบางเรื่องก็ล้อเลียนสังคม เป็นต้น
นิทานก้อม อาจแบ่งออกในชุดหรือท้องเรื่อง ดังนี้
1. ญาพ่อกับเณรน้อย(หลวงพ่อกับสามเณร) เนื้อเรื่องจะกล่าวถึงความฉลาดแกมโกงของสามเณรน้อย และความไม่ทันคนทันโลกของหลวงพ่อ บางคนกล่าวว่า เณรน้อยก็คือ เซียงเมี่ยง(เป็นนิทานเช่นกันค่ะมีหลายตอนเลย ถ้าว่างแอดจะมาเล่านะคะ) ในตอนที่ไปบวช ก่อนที่จะสึกออกมา แล้วไปพนันชนะกับพ่อค้าขายเมี่ยง ได้เมี่ยงจากพวกพ่อค้า เลยได้ชื่อว่า เชียงเมี่ยง
(ญาพ่อ หมายถึง หลวงพ่อ ญาท่าน หมายถึง พระที่มีอาวุโส ญาครู ญาชา หม่อม ครูบา หมายถึง พระ ญาแม่ หมายถึง แม่ชี บางทีกะเอิ้นว่า แม่เฒ่าขาว นอกจากนี้กะมีคำว่า ญานาง ญาอ้าย ญาตา ญามหา ฯลฯ บางที่เรียก หัวพ่อ ย่อมาจาก เจ้าหัวพ่อ บางแห่งก็เรียก หลวงพ่อว่า เจ้าหัวเป็นคำเก่า ไม่ค่อยได้ใช้แล้วล่ะค่ะคำนี้ )
2.พ่อเฒ่ากับลูกเขย (พ่อตากับลูกเขย) กล่าวถึงลูกเขยกับพ่อเฒ่าที่ชิงความได้เปรียบเสียเปรียบ ที่พ่อเฒ่าอยากทดสอบว่าลูกเขยคนนี้ จะฉลาดหรือสามารถเลี้ยงดูบุตรสาวของตนหรือพาบุตรสาวของตนให้เจริญก้าวหน้าต่อไปหรือไม่ แต่สุดท้ายพ่อเฒ่าก็มักจะพ่ายแต่ความกะล่อน และฉลาดของลูกเขย
นิทานเรื่องนี้ อาจจะมีเรื่องของ แม่เฒ่า (แม่ยาย) กับลูกเขย ลูกใภ้กับย่า ร่วมด้วยเสมอ รวมทั้งลูกสาวด้วย
3. เรื่องของทิด จารย์ เซียง (บุคคลที่เคยเข้าไปบวช แล้วสึกออกมาใช้ชีวิตทางโลก) กล่าวถึงความไม่ประสีประสาของคนที่สึกออกมาใช้ชีวิตทางโลก
4.พี่อ้ายกับน้องเมีย (พี่เขยกับน้องเมีย) กล่าวถึงความไม่ประสีประสาของเมีย หรือผู้สาวขึ้นใหม่ เป็นการสะท้อนสังคมอีกแบบหนึ่ง (เรื่องนี้จะติดเรทหน่อย)
5.หัวหงอกหยอกสาว กล่าวถึงคนแก่หรือมีอายุ หยอกล้อสาวน้อย ประมาณว่า โคแก่อยากกินหญ้าอ่อน
6.สามเกลอ กล่าวถึงสามสหาย คนหนึ่งตาบอด หูดี อีกคนหูหนวกหรือหูตึง ตาดี ส่วนอีกคนตาดีแต่เป็นใบ้ เนื้อเรื่องมักจะกล่าวถึงความพิการไม่สมประกอบ แต่ชอบแสดงตัวหรืออวดฉลาดไม่สมกับสารรูปของตัวเอง
7. เรื่องเบ็ดเตล็ด อื่นๆทั่วไป อาจเป็นคำสอนหรือคติสอนใจ ปริศนา ขำขัน เช่น กระต่ายกับหอย ย่ากินปลิง กระต่ายในดวงจันทร์ เป็นต้น
ซึ่งแต่ละเรื่องก็จะมีหลายตอน อย่าถามว่ามีกี่ตอนนะคะแอดก็ตอบไม่ได้เพราะ จะมีการแต่ง การเล่าไปเรื่อยๆโดยยึดตัวละครหลักไว้แล้วเล่าตามแต่จินตนาการ
วันนี้แอดจะเล่าเรื่อง หลวงพ่อกับเณรน้อย
ตอนขี้ไก่โป่
Cr. viyoutube.co
ณ วัดแห่งหนึ่งบนพื้นที่ราบสูงของไทย มีหลวงพ่อหนึ่งรูปกับเณรน้อยอีกหนึ่งรูปอยู่ที่วัดแห่งนี้ วันหนึ่งชาวบ้านนิมนต์หลวงพ่อให้ไปฉันเพลที่บ้าน ก่อนหลวงพ่อจะไปก็สั่งเณรอย่างดิบดีว่า
“เณรหลวงพ่อจะไปฉันเพลที่บ้านโยมตามกิจนิมนต์นะ อยู่วัดก็เฝ้ากุฏิให้ดี ห้ามให้ไก่ขึ้นมาขี้ใส่บนกุฏิ ถ้ากลับมาเห็นขี้ไก่ จะให้เณรกิน”
ว่าแล้วหลวงพ่อก็ออกจากวัดไป เณรน้อยซึ่งมีอุปนิสัยขี้แกล้งก็ออกอุบาย เอาน้ำตาลอ้อยมาหยอดตั้งแต่ทางขึ้นบันได หยดแล้วหยดเล่าบนกุฏิ เมื่อพอใจในผลงานแล้วจึงแอบไปงีบหลับ
พอหลวงพ่อกลับมาเห็นน้ำตาลอ้อยเป็นขี้ไก่ก็โมโหให้เณรที่ปล่อยไก่ขึ้นมาขี้บนกุฏิ จึงเรียกเณรออกมา
“ เณรเอ้ย เณร ไปทำอะไรอยู่ที่ไหนออกมาเดี๋ยวนี้ ทำไมถึงไม่เฝ้ากุฏิให้ดี ปล่อยให้ไก่ มาขี้ใส่เต็มเลยเนี่ย”
หลวงพ่อพูดออกไปเสียงดังด้วยความโมโห ทางด้านเณรน้อยเมื่อได้ยินเสียงหลวงพ่อจึงงัวเงียลุกออกมาหาหลวงพ่อ
พอเณรน้อยมาแล้ว หลวงพ่อก็เลยบอกให้เณรกินขี้ไก่ที่อยู่บนพื้น เณรน้อยก็ทำทีเป็นอิดออด ไม่อยากกิน แต่ก็ในที่สุด
“ ฮู๊ อร่อย ๆ ฮู้ หวานดี อร่อยยยยย.. ”
หลวงพ่อ เห็นเณรน้อยกินเป็นน่าอร่อยเลยถามว่า
“ มันอร่อยจริงเหรอเณร มันไม่เหม็นเหรอ ”
“ อร่อยจริงๆครับหลวงพ่อ ลองชิมดูครับ ”
หลวงพ่อเห็นเหลืออีกกองก็เลยลองชิมดู ปรากฏว่าอร่อย จึงสั่งเณรว่า
“วันหลังก็ปล่อยให้ไก่ขึ้นมาขี้ใส่กุฏิเลยนะเณร ไม่ต้องไล่ “
เณรน้อยก็เลยหนีไปหาเล่นอยู่ที่อื่นตามประสา ปล่อยให้ไก่ ขึ้นมาขี้ใส่กุฏิ ตามคำสั่งของหลวงพ่อ พอหลวงพ่อกลับจากบิณฑบาตรมาเห็นไก่ขึ้นมาขี้บนกุฏิ ก็ดีใจเพราะยังติดใจรสชาติของขี้ไก่เมื่อวานอยู่เลย แล้วหลวงพ่อก็ไปกินขี้ไก่ แต่กินกองไหนๆ ก็เหม็นทุกกอง เลยไปถามเณรว่า
“เณร ทำไมขี้ไก่วันนี้มันเหม็นจัง ไม่หวานเหมือนวันนั้น”
เณรน้อยเลยตอบว่า “โถ จะไม่เหม็นได้ไงหลวงพ่อก็นี่น่ะขี้ไก่ ที่กินวันนั้นน่ะน้ำตาลอ้อยคร้าาาบ”
เณรน้อยตอบด้วยน้ำเสียงยียวนพร้อมกับหัวเราะคิกคัก เมื่อตนหลอกหลวงพ่อได้สำเร็จ
หลวงพ่อได้ยินดังนั้นแล้วก็โมโหที่โดนเณรน้อยหลอกให้กินขี้ไก่ ได้แต่วิ่งไล่ตีเณรน้อยไปรอบกุฏิ.
กว่าหลวงพ่อจะรู้ตัวว่าโดนหลอกก็เสียรู้เณรน้อยซะแล้ว😊
น้ำตาลอ้อยที่แสนอร่อย😁😁
Cr. เพื่อนฟาร์ม
Cr. KRUA.CO
อ่านแล้วรู้สึกยังไงกันบ้างคะคอมเมนต์ติชม แสดงความคิดเห็นได้เลยนะคะ ถ้าชอบเดี๋ยวหามาเล่าอีก
แอดคิดว่าความจริงถ้าเล่าเป็นภาษาอีสานจะสนุกและได้อรรถรสมากกว่านี้เพราะตอนที่แอดฟังมาก็เป็นภาษาอีสานแต่ถ้าให้เล่าเป็นภาษาอีสานก็กลัวคนอ่านไม่เข้าใจก็เลยเล่าเป็นภาษาไทยนี่แหละ ถ้าเล่าทั้งสองภาษาก็กลัวจะยาวไป แค่นี้ก็ยาวมากแล้ว
ฮือออ แอดพยายามให้สั้นที่สุดแล้วนะคะแต่ด้วยความที่อยากให้รู้ที่มาที่ไปของนิทานก้อมด้วยว่ามันคืออะไรมันเลยยาว ขอบคุณที่อ่านจบนะคะ😊
ขอให้มีความสุขกับวันหยุดเด้อจ้า
เรียบเรียง
~มนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตที่เข้าใจยาก~

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา