Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
ใจที่ตื่นรู้
•
ติดตาม
28 ต.ค. 2019 เวลา 12:59 • ไลฟ์สไตล์
พ่อแม่มืออาชีพ
พ่อแม่จะคู่ควรกับความรักที่เรียกกันว่าความกตัญญูกตเวทีจากลูกก็ต่อเมื่อพ่อแม่ได้ทำหน้าที่ทั้ง ๕ ประการของตนเองอย่างสมบูรณ์ ดังต่อไปนี้
๑. ห้ามปรามลูกจากความชั่ว หมายความว่า พ่อแม่จะต้องสอนลูกให้รู้จักศีลธรรมขั้นพื้นฐานของความเป็นมนุษย์ที่ดี อย่างน้อยให้ลูกได้รู้ว่า อะไรดี อะไรชั่ว ซึ่งการรู้ว่าอะไรดีอะไรชั่วนั้น เป็นความรู้ที่สำคัญมาก มนุษย์จำนวนมากในโลกนี้รู้สารพัดรู้ แต่ถ้าไม่รู้ดีรู้ชั่วก็ยากมากที่จะยกตัวขึ้นเป็นมนุษย์ที่ประเสริฐได้
ฉะนั้น ก่อนที่พ่อแม่จะสอนลูกให้รู้สารพัดรู้ จะต้องสอนให้ลูกรู้ความรู้ขั้นพื้นฐานที่สุด คือ รู้ ดี รู้ ชั่ ว ให้ได้เสียก่อน เมื่อลูกรู้ดีรู้ชั่วแล้ว เขาก็จะมีรากฐานทางจริยธรรมที่มั่นคง และนั่นเอง คือ รากฐานแห่งการเป็นคนดีในอนาคตของลูก
๒. พ่อแม่จะต้องสอนลูกให้เป็นคนดี พ่อแม่จำนวนมากในเวลานี้ เพียรพยายามอย่างเหลือเกินที่จะสอนลูกให้มีความรู้ความอ่านออกเขียนได้ ให้มีความเชี่ยวชาญในศิลปวิทยาหลากหลายสาขา แต่ทว่าเมื่อลูกมีความรู้อ่านออกเขียนได้แล้ว มีความเชี่ยวชาญในการทำมาหากินแล้วก็ยังไม่สามารถที่จะเป็นคนดีได้
เพราะฉะนั้น ผู้เป็นพ่อเป็นแม่จะต้องตระหนักรู้ว่าเมื่อเราให้ความรู้แก่ลูกก็ดี เมื่อให้ศิลปวิทยาแก่ลูกก็ดี จะต้องไม่ลืมสิ่งสำคัญที่พ่อแม่จะต้องให้ไปพร้อม ๆ กันกับการให้ความรู้ นั่นก็คือ ต้ อ ง ใ ห้ คุ ณ ธ ร ร ม แ ก่ ลู ก ด้ ว ย
ลูกจะต้องมีความรู้คู่ความดี สิ่งนี้คือภารกิจที่พ่อแม่จะต้องทำให้สำเร็จ กล่าวอีกอย่างหนึ่งว่า ก่อนจะส่งลูกไปเรียนเมืองนอก ต้องให้ลูกได้เรียนเมืองในเสียก่อน
เมืองในก็คือ ได้เรียนรู้ศีลธรรมขั้นพื้นฐานของการเป็นคนที่ดี แล้วจึงส่งไปเรียนเมืองนอกก็คือ เรียนศิลปะวิทยาการแขนงต่าง ๆ ซึ่งไกลตัวออกไปนั่นเอง
๓. ให้การศึกษาศิลปวิทยาที่เหมาะสมที่สุดแก่ลูก หมายความว่า พ่อแม่จะต้องตระหนักรู้ว่ามนุษย์นั้นเป็นสัตว์ที่พัฒนาได้ และอะไรคือเครื่องมือในการพัฒนามนุษย์ สิ่งนั้นก็คือ ก า ร ศึ ก ษ า แต่การศึกษานั้นก็มีทั้งการศึกษาที่ดี และการศึกษาที่ไม่ดี พ่อแม่จะต้องแสวงหาการศึกษาที่ดีให้ลูกได้รับการศึกษาที่ดีที่สุด เมื่อลูกได้รับการศึกษาที่ดีที่สุดแล้ว เขาก็จะเกิดความพร้อมเพื่อที่จะพัฒนาเป็นบุคคลคุณภาพในด้านต่าง ๆ ดังต่อไปนี้
(๑) เป็นลูกที่ดีที่สุดของพ่อแม่
(๒) เป็นพลเมืองที่ดีที่สุดของรัฐ
(๓) เป็นศาสนิกที่ดีที่สุดของศาสนา
(๔) เป็นมนุษยชาติที่ดีที่สุดของโลก
การให้การศึกษาจึงเป็นสิ่งพื้นฐานที่สำคัญที่สุดสำหรับลูก และพ่อแม่จะต้องทำหน้าที่ตรงนี้ของตนให้สำเร็จ
๔. พ่อแม่จะต้องเป็นหูเป็นตาเป็นธุระในการจัดหาคู่ครองให้กับลูก เนื่องจากพ่อแม่เป็นผู้ที่ผ่านโลกมาก่อน ย่อมจะรู้ดีว่าในการดำเนินชีวิตอยู่ในโลกนี้นั้น มักจะมีอุปสรรคขวากหนามอยู่ตรงไหนบ้าง ตรงไหนคือหลุมดำของการครองเรือนครองรัก คนแบบไหนหรือหญิงชายแบบใดที่ควรจะเลือกมาครองเรือนครองรัก พ่อแม่จะต้องแนะนำพร่ำสอน ตรงไหนบ้างที่เป็นจุดดีจุดเด่นของการครองเรือนครองรัก พ่อแม่จะต้องคอยจับตาดูอย่างใกล้ชิด ในการที่จะส่งเสริมหรือสนับสนุนให้ลูกประสบความสำเร็จในการสร้างสถาบันครอบครัวด้วยตัวของเขาเอง
๕. มอบทรัพย์มรดกให้แก่ลูกเมื่อถึงเวลาอันสมควร หมายถึง วันหนึ่งพ่อแม่จะต้องจากโลกนี้ไป ทรัพย์สมบัติที่สะสมมาทั้งหมด พ่อแม่จะต้องเรียนรู้ที่จะแบ่งสรรปันส่วนให้กับลูก ๆ ตามความเหมาะสม
ยิ่งในกรณีที่พ่อแม่มีลูก ๆ หลายคน พ่อแม่จะต้องแบ่งสรรปันส่วนทรัพย์สมบัติให้เกิดความเป็นธรรมแก่ลูก ๆ ทุกคน เพราะหากพ่อแม่ปล่อยปละละเลยไม่มีการแบ่งสรรปันส่วนทรัพย์สมบัติที่ตนเองหามาได้ให้กับลูก ๆ แล้ว ก็มีความเป็นไปได้สูงมากว่า บางครั้งทรัพย์สมบัติเหล่านั้นเอง อาจเป็นเหตุให้ลูก ๆ แตกความสามัคคีกัน เพราะความโลภโมโทสันอยากได้ใคร่มีในทรัพย์สมบัติที่พ่อแม่หามาไว้ จนในที่สุดกลายเป็นภยันตรายที่นำไปสู่โศกนาฏกรรม คือ ลูก ๆ วางแผนฆ่าพ่อฆ่าแม่หรือเข่นฆ่ากันเองในหมู่พี่น้อง เพื่อแย่งชิงทรัพย์สมบัติ ซึ่งสิ่งนี้มีให้เห็นอยู่ตลอดประวัติศาสตร์อันยาวนานของมนุษยชาติ
ดังนั้น พ่อแม่จะต้องไม่ประมาท ต้องคอยดูแลจัดสรรทรัพย์สมบัติที่หามาได้ให้แก่ลูก ๆ ทุกคน ให้เกิดความยุติธรรมโดยทั่วหน้ากันให้จงได้
ถ้าพ่อแม่ได้ทำหน้าที่ครบทั้ง ๕ ประการนี้แล้ว ก็ถือได้ว่าเป็นพ่อแม่ขั้นพื้นฐานที่สมบูรณ์ แต่อย่างไรก็ตาม เท่านั้นยังไม่เพียงพอ เพราะในพระพุทธศาสนาได้กล่าวไว้ว่า พ่อแม่นั้นมีหลายสถานะ เช่น พ่อแม่เป็นพระพรหม พ่อแม่เป็นบูรพาจารย์ พ่อแม่เป็นพระอรหันต์ พ่อแม่เป็นผู้แสดงโลกนี้แก่ลูก
ดังนั้น เมื่อพ่อแม่ทำหน้าที่ทั้ง ๕ ประการนี้สมบูรณ์แล้ว จึงเป็นเพียงพ่อแม่ขั้นพื้นฐานที่สมบูรณ์เท่านั้น หากจะพัฒนาขึ้นไปเป็นสุดยอดของพ่อแม่มืออาชีพแล้ว พ่อแม่จะต้องบำเพ็ญหน้าที่ของพรหม กล่าวคือ จะต้องเลี้ยงลูกโดยมีพรหมวิหารธรรม ๔ ประการ นั่นก็คือ
๑. ในยามปกติ พ่อแม่ต้องรักลูกทุกคนเสมอหน้ากัน (เมตตา)
๒. ยามมีปัญหา พ่อแม่ต้องเข้าไปคอยช่วยเหลือเกื้อกูล แก้ไขปัญหาให้กับลูก (กรุณา)
๓. ยามลูกได้ดีมีสุข มีความเก่งกาจ มีความเป็นเลิศ ประสบความสําเร็จในชีวิต พ่อแม่ต้องคอยโมทนาสาธุการให้กำลังใจ ให้รางวัลด้วยการแสดงออกทางวาจา ทางการกระทำ และให้การยอมรับในตัวลูก (มุทิตา)
๔. และในยามที่ลูกทำผิดศีลธรรม ทำผิดกฎหมาย พ่อแม่จะต้องใจแข็ง วางใจเป็นกลาง เพื่อให้ลูกได้เรียนรู้ ได้ยืนหยัดรับผิดชอบต่อความผิด ความเลวที่เขาได้กระทำขึ้นด้วยตัวของเขาเอง (อุเบกขา)
นี่เองที่ว่าพ่อแม่ทำหน้าที่เป็นพรหม คือ เลี้ยงลูกด้วยพรหมวิหารธรรมทั้ง ๔ ประการ ซึ่งถือได้ว่า พ่อแม่ได้ทำหน้าที่ของตนเองอย่างสมบูรณ์แบบขึ้นมาอีกระดับหนึ่ง ก้าวขึ้นมากกว่าการเป็นเพียงผู้ให้กำเนิด ก้าวขึ้นมากกว่าการเป็นบุพการี ก้าวขึ้นมาเป็นพรหม เป็นผู้สร้างโลก และสร้างชีวิตของลูกให้ประเสริฐเลิศล้ำ
ในการณ์กลับกัน ถ้าผู้ที่เป็นพ่อแม่ปราศจากพรหมวิหารธรรมทั้ง ๔ ประการ กล่าวคือ
ในยามปกติไม่รักลูก ( ไ ม่ เ ม ต ต า ) ก็จะทำให้ลูกเกิดมา และเติบโตท่ามกลางครอบครัวที่ขาดความรัก เมื่อเขาไม่ได้รับความรักความอบอุ่นจากครอบครัว วันหนึ่งเมื่อเขาไปสร้างครอบครัวด้วยตัวของเขาเอง เขาก็จะทำให้ครอบครัวของเขากลายเป็นครอบครัวที่ปราศจากความรัก ปราศจากความเมตตาอารี
ขณะเดียวกัน ถ้าเขาเกิดมาโดยปราศจากความช่วยเหลือเกื้อกูลจากผู้เป็นพ่อเป็นแม่ ( ไ ม่ ก รุ ณ า ) เขาจะเป็นคนที่เห็นแก่ตัว รักใครไม่เป็น ช่วยเหลือใครไม่เป็น เป็นคนใจไม้ไส้ระกำ
ต่อมา เมื่อพ่อแม่ไม่คอยโมทนาสาธุการเมื่อลูกประสบความสำเร็จ ( ไ ม่ มุ ทิ ต า ) เขาก็จะชื่นชมใครไม่เป็นเลยในชีวิตนี้ และอาจกลายเป็นคนที่อิจฉาริษยา เห็นผู้อื่นได้ดีมีสุขกว่าตนไม่ได้
และประการสุดท้าย หากพ่อแม่ไม่วางใจเป็นกลาง ( ไ ม่ อุ เ บ ก ข า ) ไม่สอนเขาให้รู้ว่า อะไรดี อะไรชั่ว ทุกครั้งที่มีปัญหา ทุกครั้งที่ตัวเขาขัดแย้งกับธรรม ขัดแย้งกับกฎหมาย พ่อแม่คอยไปแทรกแซงกฎหมาย แทรกแซงธรรมทุกครั้งไป จนเขาไม่รู้ว่า อะไรดี อะไรชั่ว ไม่รู้อะไรผิด อะไรถูก อะไรควร อะไรไม่ควร เมื่อเติบโตขึ้นมา เขาจะเป็นคนที่สูญเสียสามัญสำนึก ทำชั่ว ทำผิด โดยไม่รู้ตัวว่าทำชั่วทำผิด มนุษย์เราถ้าสูญเสียสามัญสำนึกแล้วก็พร้อมที่จะสูญเสียทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิตได้อย่างง่ายดาย
ดังนั้น คนเป็นพ่อเป็นแม่ที่ดี นอกจากจะต้องทำหน้าที่ของบุพการี ๕ ประการแล้ว ยังต้องทำหน้าที่ของพรหมทั้ง ๔ ประการ ให้สมบูรณ์อีกด้วย
นอกจากนั้นแล้ว ก็ควรจะทำหน้าที่ของพระอรหันต์ กล่าวคือ เป็นผู้เลี้ยงดูลูกด้วยจิตใจอันบริสุทธิ์ ไม่เรียกร้องการตอบแทน เหมือนดังที่พระอรหันต์โปรดสัตว์โลกโดยไม่หวังผลตอบแทนอันใดทั้งสิ้น
จากนั้น พ่ อ แ ม่ จ ะ ต้ อ ง เ ป็ น ค รู ค น แ ร ก ข อ ง ลู ก กล่าวคือ พ่อแม่จะต้องสอนศิลปะการดำเนินชีวิตให้แก่ลูกตั้งแต่เริ่มต้นชีวิต ตั้งแต่ยังไม่เข้าโรงเรียน นับแต่เรื่องพื้นฐานที่สุด เช่น การนั่ง การนอน การยืน การเดิน การคว่ำ การหงาย การเรียกพ่อเรียกแม่ การรู้จักคุณลุง คุณป้า คุณน้า คุณอา รู้จักอะไรดี อะไรชั่ว การรู้จักพูด รู้จักกิน ดื่ม หลับ นอน ทุกอย่างเหล่านี้ทั้งหมด
พ่อแม่เป็นจำนวนมากให้กำเนิดลูก แต่ไม่ยอมสอนลูกทั้งที่เขาอยากได้ลูกที่ดี แต่ในเมื่อเขาไม่สอนก็ยากมากที่จะได้ลูกเป็นคนดี
และประการต่อมาก็คือ พ่อแม่จะต้องทำหน้าที่เป็นมัคคุเทศก์ให้แก่ลูก คอยชี้นำทางให้ลูกได้รู้ว่า ทางไหนควรเดิน ทางไหนไม่ควรเดิน ทางไหนเป็นทางแห่งความดีงาม ทางไหนเป็นหนทางแห่งความเสื่อม
เมื่อไรก็ตามที่พ่อแม่ได้ทำหน้าที่พื้นฐานทั้ง ๕ ประการ และได้ทำหน้าที่เป็นพระพรหมด้วยการนำพรหมวิหารธรรมทั้ง ๔ ประการ มาเป็นแนวทางในการเลี้ยงดูลูก และได้ทำหน้าที่ขั้นสูง คือ เป็นพระอรหันต์ เป็นครูคนแรกของลูก เป็นมัคคุเทศก์ผู้ชี้ทิศนำทางให้แก่ลูกแล้ว เมื่อนั้นเอง การเป็นพ่อเป็นแม่จึงจะสมบูรณ์ เมื่อพ่อแม่ทำหน้าที่ของตนสมบูรณ์ตามที่กล่าวมาแล้วนี้ จึงจะมีเหตุผลเพียงพอที่จะเป็นที่รักของลูก ๆ อย่างถึงที่สุด
.. .. .. .. .. .. .. .. .. .. .. .. .. .. ..
ที่มา : หนังสือ "มหัศจรรย์แห่งรัก" Love Analysis | ว.วชิรเมธี
2 บันทึก
2
2
ดูเพิ่มเติมในซีรีส์
Love Analysis มหัศจรรย์แห่งรัก | ว.วชิรเมธี 🌹
2
2
2
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2025 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย