10 พ.ย. 2019 เวลา 04:14 • กีฬา
ผู้อยู่รอดในทุกสงคราม : ลูซิตาโน่ อาชานักรบสายพันธุ์แรกของโลก
"ม้า" อยู่กับมนุษย์มาช้านาน มัน คือ สัตว์ที่บ่งบอกถึงความแข็งแกร่ง สง่างาม แสดงถึงฐานะ และอำนาจของผู้ครอบครอง
โดยเฉพาะม้าสายพันธุ์ "ลูซิตาโน่" ที่ถูกกล่าวถึงในฐานะวีรบุรุษในสนามรบและยืนยันอยู่ในแทบทุกสงครามตลอดหลายพันปีที่ผ่านมา ไม่ว่าผู้ที่ครอบครองมันจะเป็นผู้ชนะหรือผู้แพ้ก็ตาม
สิทธิพิเศษอะไร? พลังวิเศษแบบไหน? อะไรที่ทำให้พวกมันอยู่รอดมาได้จนถึงทุกวันนี้...
ติดตามได้ที่นี่
จับจากป่ามาใส่อาน
เนิ่นนานหลายพันปีก่อนมนุษย์เราใช้ชีวิตเหมือนกับสัตว์ป่า...กล่าวคือออกล่าเพื่อความอยู่รอด ค่ำไหนนอนนั่นใช้ชีวิตไม่เป็นหลักแหล่ง จนกระทั่งมาถึงช่วงเปลี่ยนผ่านที่มีความสำคัญต่อมนุษยชาตินั่นคือยุค "ปฏิวัติเกษตรกรรม"
การปฏิวัติเกษตรกรรม หมายถึงมนุษย์จะเปลี่ยนวิถีใหม่ ด้วยการหาที่อยู่เป็นหลักแหล่ง และเริ่มที่จะรู้จักการเพาะปลูก รวมถึงปศุสัตว์ ที่เปลี่ยนสัตว์ป่าให้เป็นสัตว์เลี้ยง ไม่ว่าจะด้วยวัตถุประสงค์เพื่อนำมาเป็นอาหาร หรือนำมาใช้เป็นแรงงานก็ตาม
"ม้า" เป็นหนึ่งในสัตว์ที่เข้ามามีอิทธิพลกับชีวิตมนุษย์ตั้งแต่ยุคนั้นเอง และมันเป็นสัตว์ที่ได้สิทธิพิเศษมากกว่าสัตว์อย่าง แกะ, แพะ, ไก่ หรือหมูอีกด้วย เพราะม้านั้นเป็นสัตว์ที่มีทั้งความเร็วและความแข็งแรง นั่นจึงทำให้มันสามารถทำประโยชน์ให้กับมนุษย์ได้มากกว่าแค่เป็นอาหารเท่านั้น
และมีม้าอยู่สายพันธุ์หนึ่งที่ถูกกล่าวขานในฐานะบรรพบุรุษของม้าทุกสายพันธุ์ มันเร็วกว่า, แข็งแกร่งกว่า, กล้าหาญกว่า และเปี่ยมไปด้วยสัญชาตญาณมากกว่าสายพันธุ์อื่นๆ นั่นคือ สายพันธุ์ลูซิตาโน...ม้าที่วนเวียนอยู่ในชีวิตมนุษย์กว่าหมื่นปี
หลักฐานที่ยืนยันถึงความเก่าแก่นั้นถูกค้นพบในถ้ำแถบคาบสมุทรไอบีเรีย ซึ่งปัจจุบันเป็นที่ตั้งของประเทศสเปนและโปรตุเกส ภายในถ้ำพบภาพวาดของม้าชนิดนี้ ซึ่งคาดว่าจะมีอายุไม่ต่ำกว่า 20,000 ปีก่อนคริสตกาล
ความยอดเยี่ยมของสายพันธุ์ทำให้ ลูซิตาโน่ ถูกจับมาใส่อานและฝึกโดยมนุษย์เป็นสายพันธุ์แรก และเมื่อยิ่งฝึกไปกลับยิ่งพบว่าพวกมันแข็งแกร่งและมีขีดจำกัดที่จะทำได้มากกว่าแค่เป็นแรงงาน และเป็นพาหนะเท่านั้น แต่ ลูซิตาโน ถูกฝึกมาเพื่อใช้ในการช่วยล่าสัตว์ และยิ่งไปกว่านั้นมันถูกฝึกให้เป็นนักรบที่แข็งแกร่งด้วย
อาชานักรบ
เมื่อเข้าสู่ยุคจักรวรรดิ สงครามก็กลายเป็นสิ่งที่เลี่ยงไม่ได้ ดังนั้นมนุษย์จึงเริ่มมีการจับมือเป็นพันธมิตรเพื่อช่วยกันเหลือกันในยามลำบาก
ในยุคที่ กรีก เฟื่องฟูหรือ 800 ปีก่อนคริสตกาล มีการสำรวจพบว่าชาวกรีกเดินทางมายัง ไอบีเรีย และพวกเขาได้รู้จักว่าม้าสายพันธุ์ “ลูซิตาโน่” นั้นยอดเยี่ยมแค่ไหนพวกเขาจึงนำมันไปขยายพันธุ์ที่กรีก และเหล่าม้า ลูซิตาโน่ นี่เองที่กลายเป็นม้าที่ใช้ในสงครามระหว่างสปาร์ตันกับเอเธนส์ นั่นเอง
เคยมีการบันทึกผ่านงานเขียนของ Xenophon กวียุคคลาสสิกที่พูดถึงความยอดเยี่ยมของ ลูซิตาโน่ ในศึกระหว่าง สปาร์ตัน และ เอเธนส์ ว่า "บนหลังม้าที่แกร่งดังเทพเจ้า ฮีโร่จะปรากฎตัว เมื่อทั้งคู่สามารถเชื่อมต่อกันเป็นหนึ่งเดียว เมื่อนั้นพวกเขาจะเป็นนักรบที่สง่างาม"
นอกจากนี้ในยุคที่จักรวรรดิโรมันกำลังรุ่งเรืองและไล่ล่าดินแดนมาจนถึง ไอบีเรีย พวกเขาพบว่าศึกในคาบสมุทรครั้งนี้ไม่อาจเอาชนะได้โดยง่าย ปัจจัยหลักไม่ใช่กำลังรบที่เป็นคน แต่ม้าของ ไอบีเรีย ต่างหากที่แข็งแกร่งและรวดเร็วจนสร้างความตกตะลึงให้กับกองทัพโรมัน จนพวกเขาต้องถอยทัพไปตั้งหลักและวางแผนกันใหม่เพื่อโจมตีอีกครั้ง ซึ่งสุดท้ายด้วยอานุภาพที่เหนือกว่าโรมัน ก็เป็นฝ่ายชนะในการศึกครั้งนี้ไป
ชัยชนะครั้งนี้มาพร้อมกับของรางวัลชิ้นใหญ่ ที่ไม่ใช่เงินทองและอาณาจักร เพราะโรมันได้เอาพันธุ์ม้า ลูซิตาโน่ ไปเพาะพันธุ์และสร้างฟาร์มเลี้ยงเป็นของตัวเอง เพื่อนำไปต่อยอดทั้งในสงคราม และการแข่งโอลิมปิกโบราณ ที่บางชนิดกีฬาที่ต้องใช้ม้าด้วย โดยชื่อเสียงเรื่องความเร็วของม้าพันธุ์ ลูซิตาโน่ นั้นยังเคยถูกเขียนไว้โดย โฮเมอร์ กวีแห่งกรีก ว่ามันคือ "บุตรแห่งสายลม"
เรียกได้ว่าทุกที่ที่มีสนามรบ ที่นั่นจะมีม้าพันธุ์ ลูซิตาโน่ หรือที่มีอีกชื่อว่า "ไอบีเรียน" อยู่เสมอ ไม่ใช่แค่ในโซนยุโรปเท่านั้น เพราะในยุคที่อาหรับขึ้นมามีอำนาจในช่วง คศ. 711 สายพันธุ์ ลูซิตาโน่ ก็ถูกรับไปผสมพันธุ์กับม้าท้องถิ่นจนได้สายพันธุ์ที่สวย, ว่องไว, แข็งแกร่ง และยังเชื่องกับเจ้าของอีกด้วย
บรรพบุรุษที่คงอยู่ถึงทุกวันนี้
ความสมบูรณ์แบบทั้งหมดที่กล่าวมา ทำให้ม้าลูซิตาโน่กลายเป็นม้าที่ถูกฝึกเอาไว้เพื่อใช้เป็นพาหนะทั้งของเหล่ากองทัพอัศวินรวมไปถึงของพระราชา นอกจากนี้มันยังถูกเพาะพันธุ์และส่งออกเป็นสินค้าจำนวนมาก เปรียบได้กับเป็นทหารรับจ้างเลยทีเดียว
ลูซิตาโน่ เป็นตัวเลือกแรกในเสมอในกองทัพที่มีแสนยานุภาพ นักรบที่มีชื่อเสียงอย่างพระเจ้าวิลเลียมที่ 1 แห่งอังกฤษ (พระเจ้าวิลเลี่ยมผู้พิชิต) ที่ใช้ม้าลูซิตาโน่สีดำเอาชนะในสงครามที่ชื่อว่า Battle of Hastings และ พระเจ้าริชาร์ดที่ 1 แห่งอังกฤษ (ริชาร์ดใจสิงห์) เป็นผู้บัญชาการกองทัพกลาง ใน สงครามครูเสด ครั้งที่ 3 และมีชัยชนะเหนือ ซาลาดิน ที่เยรูซาเร็มอีกด้วย
และจากการฝึกเพื่อความแข็งแกร่งและใช้ในสงครามแล้ว ม้าลูซิตาโน่ ก็เริ่มถูกนำมาเลี้ยงเป็นงานอดิเรกของพระราชาและขุนนางชั้นผู้ใหญ่ มีการแต่งองค์ทรงเครื่องให้ม้า และนำมาแข่งเต้นอีกด้วย
เมื่อม้าเป็นสินค้าขายดี จึงมีการสร้างศูนย์ฝึกม้าอย่างเป็นทางการครั้งแรกในโลกที่ประเทศอังกฤษโดยมีชื่อว่า Royal Stables และถึงแม้จะมีม้าจากหลากหลายสายพันธุ์ในโรงเรียนแห่งนี้ แต่ก็ไม่มีพันธุ์ไหนที่จะเอาชนะม้า ลูซิตาโน่ แห่งคาบสมุทรไอบีเรียได้เลย
"มันคือม้าที่ยอดเยี่ยมที่สุดในโลกและงดงามที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ม้าพันธุ์นี้มีจิตวิญญาณที่ดี ทั้งกล้าหาญและอ่อนน้อม มันจะวิ่งเหยาะๆ ในช่วงที่มันมีความภาคภูมิใจ มันเหมาะที่สุดและสง่างามที่สุดสำหรับราชาในวันที่ได้รับชัยชนะ" ยุคแห่งนิวคาสเซิล เขียนถึงม้าพันธุ์ดังกล่าวไว้ในช่วงปี 1667
1
ทุกวันนี้ม้า ไอบีเรียน หรือ ลูซิตาโน่ นั้นถือว่าเป็นเหมือนจุดเริ่มต้นของ DNA จากม้าสายพันธุ์ต่างๆ ทั่วโลก โดยสายพันธุ์ที่ได้อิทธิพลมาจาก ลูซิตาโน่ คือ Thoroughbred, Welsh, Friesian, Connemara, Knabstrupper และ Lippizaner
อย่างไรก็ตามที่สเปน หรือ โปรตุเกส ยังมี ลูซิตาโน่ พันธุ์แท้ที่ถูกเพาะพันธุ์ เพื่อรักษาความบริสุทธิ์ของสายเลือดอยู่ไม่น้อย และนักกีฬาศิลปะบังคับม้าชาวสเปน และโปรตุเกส ก็ยังใช้ม้าลูซิตาโน่ไม่น้อย
หากคุณสนใจเรื่องเกี่ยวกับม้าลูซิตาโน่มากขึ้นแล้ว ลองมาที่งานการแข่งขันกีฬาขี่ม้ารายการ Princess’ s Cup Thailand 2019 ภายใต้สโลแกน “Keep Working, Riding Happy with 2 Hearts, Feeling for Feeling” ณ สนามกีฬาขี่ม้า กองพลทหารม้าที่ 2 รักษาพระองค์ สนามเป้า กทม.ระหว่างวันที่ 19 - 24 พฤศจิกายนนี้ และการแข่งขันขี่ม้าชิงแชมป์เอเชีย หรือ FEI Asian Championship 2019 ที่พัทยา, จังหวัดชลบุรี วันที่ 1 - 8 ธันวาคมนี้ ซึ่งนับเป็นครั้งแรกที่ไทยรับเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันระดับเอเชีย ที่ได้รับการรับรองจากสหพันธ์ขี่ม้านานาชาติ หรือ FEI ด้วย… บางทีคุณอาจได้เห็นลีลาความสง่างาม ของม้าลูซิตาโน่ หรือม้าสายพันธุ์อื่นๆ ที่ได้รับ DNA จากม้าลูซิตาโน่ จนได้ความประทับใจกลับไป…
บทความโดย MainStand.co.th
โฆษณา