15 พ.ย. 2019 เวลา 01:25 • ความคิดเห็น
บทความต่อไปนี้ ต้องออกตัวก่อนเลยนะคะว่าจริงๆแล้วไม่ค่อยอยากเปิดเผยต่อสาธารณะเท่าไหร่
เพราะเป็นข้อมูลเฉพาะในกลุ่ม การเผยแพร่ออกมาแล้วคนที่ขาดความเข้าใจหรือไม่ได้ติดตามต่อเนื่องอาจจะนำไปใช้ผิดๆได้ (ขอให้ใช้วิจารณญาณมากๆ)
แต่เห็นว่ามีเพื่อนๆสมาชิกหลายๆคนที่ติดตามสนใจ เลยตัดสินใจเผยแพร่เผื่อจะเป็นประโยชน์ต่อเพื่อนๆได้บ้าง
เคทเคยออกแบบระบบเทรด โดยใช้ชื่อว่า
ทฤษฎี MEWMEW
(ที่สามารถสร้างอัพไซด์ระดับ 85% ภายใน 3 เดือน !!)
ระบบเทรด MEW คืออะไร
M = management การจัดการ ในที่นี้คือการจัดการด้านการเงินลงทุน โดยใช้หลักการลงทุนแบบ
พีรามิดกลับหัว
E = equity ส่วนของผู้ถือหุ้น โฟกัสจำนวนหุ้นที่เหลือในตลาด
W = waiting win ! รอ...อดทนรออย่างใจเย็น
ในระบบเทรดที่ทรงประสิทธิภาพ เคทพิสูจน์แล้วว่า เราสามารถตัดรายละเอียดปลีกย่อยต่างๆที่ไม่จำเป็นออกไปได้ โดย โฟกัสเพียงแค่องค์ประกอบ 3 ข้อพอ!!
2
ซึ่ง3ข้อหลักๆนี้ ก็เพียงพอที่จะทำให้เราสามารถ ชนะ ตลาดได้แล้วค่ะ !! (โฟกัสเยอะปวดหัว😅😅)
และต่อให้คุณเทรดด้วยระบบไหนก็ตาม ก็ไม่สามารถละเลย องค์ประกอบข้อใดข้อหนึ่งเหล่านี้ไปได้
นี่คือ key success เลยค่ะ !!
1
เมื่อช่วงปีที่แล้วเคทแนะนำเพื่อนนักลงทุนในกลุ่มบูลฟิน ให้ Focus หุ้น Bec ตั้งแต่ช่วงราคา 6 บาท เมื่อราวๆเดือน ตุลาคมปีที่แล้ว และ ให้ทยอยซื้อสะสม จนราคาหลุด ที่ 5 บาท และเมื่อถึงจุดต่ำสุด หุ้นก็ค่อยๆปรับตัวขึ้นมา จนกระทั่งมันขึ้นไปแตะที่ 9 บาท !!
อัพไซด์ระดับ 85% !!
วิธีการแบบคร่าวๆง่ายๆ
โดยเราแบ่งการลงทุนเป็น 3-4 ช่วงราคา และ ลงทุนโดยใช้ หลัก พีรามิดกลับหัว ซึ่งในส่วนนี้ เราสามารถแบ่งการลงทุนได้มากกว่า 3 ช่วง จะเป็น 4ช่วง หรือ 5 ช่วงก็ได้ แล้วแต่ความชอบและความถนัด
พีรามิดกลับหัว คือ อะไร \/
คือ การลงทุนจาก สัดส่วนที่น้อย -> ไปหามาก
ตามฐานของพีรามิด เช่น เริ่มจาก 5% แล้วขยับขึ้น ในไม้ต่อไปที่ 15% , 35% และ 45% ตามลำดับ หรือ จะ เป็น 10%,20%30%40% ก็ได้
เนื่องจากอารมณ์ของมนุษย์มีความผันผวนตามการเคลื่อนไหวของหุ้น วิธีการที่จะลดหรือซัพความผันผวนในจิตใจได้ ก็ คือ การ manage
เคยสังเกตุไหมว่า
แม้คุณจะอ่านกราฟ วิเคราะห์กราฟ ได้แม่นยำหรือดีขนาดไหนก็ตาม แต่ก็ยังคงเกิดความผิดพลาดได้ นั่นเพราะอะไร คำตอบง่ายๆคือ มันไม่มีอะไรแม่นยำจริง 100% ยังไงล่ะคะ และเมื่อเกิดความผิดพลาด สิ่งที่กระทบคือ สภาพจิตใจ
1
โดยการ manage นี้แหละคือ การแสดงให้เห็นถึงว่าคุณมีแผนในการลงทุนที่เป็นระบบ
บางคนอาจจะมองว่า ระบบนี้คล้าย การ DCA ใช่รึไม่??
มองภายนอกจะดูคล้ายๆค่ะ แต่มันแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงในการปฏิบัติ เพราะการ Dca คือ การ ซื้อเฉลี่ยโดยสม่ำเสมอ ซึ่งเอาจริงๆถือว่าค่อนข้างผิดหลักการและไม่ตอบโจทย์ (และจะเห็นว่าเคทไม่เคยแนะนำเลย) คน DCA จึงมักได้ผลตอบแทนที่น้อย และบางครั้งก็ไม่ได้อะไร ติดลบ ด้วยในบางที
เช่น ในยุคสมัยนึงเคยมีนักเทรดระดับเซียนคนนึงใช้ dca กับ 7หุ้นใหญ่ ผลปรากฏว่าแป๊กค่ะ เพราะในนั้นมี banpu 😐😐
1
สิ่งที่เพิ่มเข้ามาคือ การอ่านจำนวนหุ้น อ่านวอลุ่ม ซึ่งจำนวนหุ้น เป็นสิ่งที่หลอกเราได้ยากที่สุด เมื่อวอลุ่มเหลือน้อย การขยับการลงทุน เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เป็นเรื่องที่ เมกเซ้นต์ จริงไหมคะ เพราะเมื่อหุ้นเหลือในตลาดน้อย สุดท้ายมูลค่ามันย่อมสูงขึ้น ตามกลไก ดีมานและซัพพลาย
แต่ การ DCA ไม่ได้ตอบโจทย์ตรงนี้ DCA จะว่าคือการซื้อมั่วๆโดยสม่ำเสมอ ก็ไม่ผิด เพราะไม่ได้อิงอะไรเลย แล้วที่สำคัญ การ DCA ไม่มีกรอบเวลาที่ชัดเจน !!
เรา DCA ได้ถึงระยะไหน แม้แต่ตัวเรายังตอบไม่ได้เลยค่ะ จริงไหม แต่ทฤษฎี mewmew ตอบชัดในเรื่องกรอบเวลาตรงนี้
1
ทำไมเราถึงแบ่งสัดส่วนการลงทุน เพราะมันคือความสอดคล้องกับจำนวนหุ้นในตลาด!!
และสิ่งสำคัญคือ กันความผิดพลาดที่จะเกิด ได้มากที่สุดโดยให้ผลตอบแทนที่สูงที่สุด
.
.
2
จริงๆแล้ว ทุกระบบการซื้อขาย มาจากการกำหนดเป้านะคะ นักลงทุนห้ามลืมข้อนี้เลย
ยกตัวอย่าง แบบคร่าวๆง่ายๆนะคะ ในทฤษฎี mewmew
3
แนะนำ centel 36 บาท ทุน 100,000 แบ่งเป็น 4 ไม้ตามทฤษฎี ที่ 10% 20% 30% 40%
36 บาทไม้แรก กรอบ10%= 300 หุ้น ประมาณ 10,900บาท
34.25 ไม้ 2 กรอบ20% = 500 หุ้น ประมาณ 17,200 บาท
32.5 ไม้ 3 กรอบ 30% = 900หุ้น ประมาณ 29,300 บาท
30.5 ไม้ 4 กรอบ 40% = 1,300 ประมาณ 40,000
เท่ากับทุนราวๆ 98,000
ขายที่เป้าหมาย 42 บาท เราจะกำไรราวๆ 29%
ทฤษฎีนี้ยังไม่เคยแพ้ตลาด
ในช่วงขาขึ้นก็เช่นกัน จำตอนราคาทองได้ไหมคะ เคทได้แนะนำซื้อที่ 18,500 เราก็สะสมขาขึ้นเช่นกันโดยมีเป้าหมายที่ 21,000
ซึ่งถ้านักลงทุน ลงทุน70%-100% ของงบ จะทำให้โอกาสติดหุ้นในราคาสูง และการปรับแก้พอร์ทจะยากมาก เพราะไม่มีกระสุนเหลือแล้ว
โอกาสกำไรถึงจะเยอะแต่มาด้วยความเสี่ยงที่สูงเช่นกันค่ะ
ในทางกลับกัน ต่อให้ซื้อที่ราคา 36บาท เป้า 42 ลงทุนไป 70% ไม้แรก สุดท้ายก็ได้กำไรที่ 15% อยู่ดี ก็ยังไม่ชนะตลาด โดยเพิ่มความเสี่ยงขึ้นมา
ทฤษฎีนี้ออกแบบมาเพื่อ หลักการที่ว่า เราไม่อาจซื้อได้ในราคาต่ำสุด และขายได้สูงสุด !!
แต่....เราสามารถซื้อได้ในราคาต่ำกว่าเฉลี่ยของตลาด โดยอยู่ในกลุ่มที่ ซื้อได้ราคาดีที่สุดและขายได้กำไรที่สุด ในกลุ่มคน 20% (ดูจากช่วงวอลุ่ม)
1
ดังนั้นเวลาราคาหุ้นตกเคทจะไม่เคยตื่นเต้นหรือกลัวเลย เพราะเรามีกรอบราคาในการลงทุน ต่อให้ผิดทาง ยังไงคุณก็เสียเต็มที่แค่ 5% ของพอร์ททั้งหมด ในการคัท(ซึ่งส่วนมาก เกิดกับกรณีเล่นสั้น)
แต่ถ้าพิจารณาดีๆตามหลักการแล้ว เมื่อคุณมีหุ้นที่คุณชอบ โดยพื้นฐาน ถ้าราคาลดลงมาต่ำลง ราคาถูกลง
เราต้องซื้อเพิ่มใช่ไหม?
แล้วเพราะเหตุใดเราถึงไม่สะสมเพิ่ม
นั่นก็เพราะ 1) คุณเกิดความกลัว 2) เพราะไม่มีทุน
ถ้าแบบหนึ่งแบบใด นั่นคือ คุณ ประเมินมูลค่าหุ้นผิดและไม่ได้วางแผนตั้งแต่แรก ซื้อโดยไม่อิงพื้นฐานใดๆเลย
กรณีที่เห็นได้บ่อยคือ นักลงทุนทั่วไป จะกล้าถือตอนหุ้นลง (แต่ไม่ค่อยกล้าซื้อเพิ่ม) แต่จะขายออกไวเมื่อหุ้นขยับรีบาวน์ขึ้นมา โดยไม่รอเป้าหมาย จริงไหม
หรือกรณีนึงคือ ขายเมื่อเท่าทุน กับยอมติดดอย ภาวะถอดใจ
คีย์สำคัญนอกจากเรามีระบบเทรดที่ดีแล้ว เราต้องไม่มีความกังวล ความกลัวด้วยค่ะ
ความกังวลและความกลัวจะขจัดออกไปได้ด้วย
คือ ความพอใจในราคา ในมูลค่า ความเข้าใจพื้นฐานกิจการ และเช่นกัน ในกรณีนี้เมื่อหุ้นรีบาวน์เราก็สามารถแบ่งขายได้เช่นกัน เมื่อเห็นว่าตัวอื่นๆ ดูน่าสนใจกว่าในกรอบเวลาเดียวกัน
มีหุ้นหลายตัวมากที่ลงหนักๆ นักลงทุนก็จะเสพติดข่าวร้าย โดยที่ละเลยพื้นฐานในการคำนวณ
ยกตัวอย่าง sawad จากราคา 45 ลงมา 29 ตอนนั้น นักลงทุนก็จะไปเอาบทความเลวร้ายของหุ้นที่ออกโดยโบลกหรือกูรู มาดู กูรูต่างๆก็บอกว่าหุ้นไม่ดี ตอนนั้นเคทให้ซื้อสะสม(ตอน29บาท ที่ทั้งตลาดกลัวกันหมด) เพราะยังไงก็กลับไปยืน 50บาทได้แน่นอน สุดท้าย หุ้นยืนเหนือ 50ด้วยค่ะ ใช้เวลาไม่นานด้วยในการทำกำไรระดับ40% !!!! (ปัจจุบันsawad ทะลุไป60กว่าละ)
จุดนี้เราจะเห็นได้บ่อยๆในตลาด ในนักลงทุนมือใหม่ ล่าสุดก็ตอนที่ทองลง กูรูและกูไม่รู ส่วนใหญ่บอกว่า หมดรอบแล้ว อาจลงไปที่ 15,000 ถึงแม้ขึ้นมาก็ไม่ถึง 1,400 สุดท้ายขึ้นไป1,500/ออนซ์
2
จะเห็นว่ามันเป็นการวิเคราะห์โดยอาศัยความรู้สึกและความเชื่อหรือความไม่เข้าใจใน สินทรัพย์
หรือกิจการนั้นๆค่ะ จึงทำให้มันผิดพลาด และที่สำคัญคือ นักลงทุนมองข้าม กลไกตลาด และ จิตวิทยาการลงทุน !! อันนี้สำคัญมากเพราะ เรากำลังสู้กับ นักลงทุนรายใหญ่ นักลงทุนที่มากประสบการณ์
ดังนั้น เราต้องอ่านคู่ต่อสู้ให้ออก และอ่านตัวเราให้ขาดนะคะ
กับกรณีเร็วๆนี้ที่ตลาดแพนิคกับ sisb ก็เช่นกัน หรือ osp zen bgc ทั้งหมดนี้ มันคือ คำตอบ ที่เคท ตอบสมาชิกมาเสมอ ยิ่งตอน osp เป็นอะไรที่ทุกคนได้ราคาดีกันหมดแต่น้อยคนจะซื้อ 😂😂
วันนี้พอแค่นี้เนอะ
มิ้วๆค่ะ
โฆษณา