กับการเป็นเรื่องราวในฤดูฉายแรก สตีเวน ไนท์ เล่าเรื่องราวของแก๊งพีคี ไบลน์เดอร์ของตระกูลเชลบี โดยแทบไม่เสียเวลาไปกับการปูความเป็นมาของตัวละคร แต่เดินหน้ากันตั้งแต่ต้น ด้วยสถานการณ์ที่นำไปสู่ความขัดแย้ง การปล้นปืนของกองทัพโดยไม่ได้ตั้งใจของโธมัส เชลบี ที่ทำให้วินสตัน เชอร์ชิลล์ ส่งสารวัตรแคมป์เบลล์มาหาตัวการ รวมไปถึงเปิดหน้าตัวละครสำคัญๆ ให้ได้รู้จักกันก่อน จากนั้นก็ค่อยๆ เผยสิ่งต่างๆ ที่เป็นปูมหลังของทั้งเรื่อง ทั้งตัวละคร ไปเรื่อยๆ พร้อมๆ กับการวางปมใหม่ๆ ที่ทำให้เรื่องราวซับซ้อนมากขึ้น ทั้งความรักระหว่างเพื่อนของโธมัสที่เป็นพวกนิยมคอมมิวนิสท์กับน้องสาวของเขา ที่ทำให้การทำงานของตระกูลวุ่นวายไปกันใหญ่ เพราะเหมือนกับการพาครอบครัวไปเกี่ยวข้องกับการเมืองโดยตรง, การมาพัวพันกับเรื่องปืนของพวกไออาร์เอ, แผนที่จะทำธุรกิจถูกกฎหมายของโธมัส รวมถึงความพยายามที่จะทำให้พี่น้องญาติๆ ได้อยู่ดีกินดี ที่บางตอนก็มาพร้อมกับการเปิดตัวละครใหม่ๆ และให้โอกาสกับตัวละครอื่นๆ ได้มีบทบาทมากขึ้น เช่น ตอนที่เปิดตัวพ่อของบ้านเชลบีผู้ละทิ้งครอบครัวไป ซึ่งเผยให้เห็นความอ่อนแอของอาร์เธอร์ พี่ชายคนโตของบ้านไปพร้อมๆ กัน
นอกจากการเล่าเรื่องจะทำถึง การสร้างตัวละครต่างๆ ในเรื่องก็มาดี แต่ละคนมีลักษณะเฉพาะตัว ที่สำคัญไม่มีใครที่เป็นตัวละครในแบบขาวจัด-ดำจัด ทุกคนเป็นตัวละครสีเทา แม้กระทั่งเด็กๆ ในบ้านของของแก๊งพีคี ไบลน์เดอร์ ที่เต็มไปด้วยความซับซ้อน แล้วพอได้นักแสดงมือดีมาสวมบทบาท ตัวละครต่างๆ นอกจากจะมีเสน่ห์ คุณภาพที่บรรดานักแสดงเหล่านี้มอบให้ ก็กลายเป็นจุดแข็งอีกอย่างของหนัง
ตั้งแต่คิลเลียน เมอร์ฟี ที่รับบทโธมัส เชลบี มันสมองของแก๊งพีคี ไบลน์เดอร์ ซึ่งไม่ต่างไปจากหัวใจของเรื่อง เมอร์ฟีทำให้ตัวละครรายนี้ขึ้นจอโดยมีมิติอารมณ์ครบในเรื่องการแสดงออก สมกับปูมหลังที่บทปูเอาไว้ ไม่ว่าจะเป็น ทหารผ่านศึกที่พบเหตุการณ์เลวร้ายในสงคราม, ชายหนุ่มผู้เปลี่ยวเหงา, ลูกผู้ชายที่ฆ่าได้หยามไม่ได้, นักเลงหัวไม้ที่มีความเฉลียวฉลาดอยู่ในตัว, ผู้ชายที่เก็บทุกอย่างเอาไว้ข้างใน, สมาชิกของครอบครัวที่รักและดูแลทุกคนในบ้าน เรียกว่ามีทั้งด้านที่อบอุ่นและแข็งกร้าวในตัว รวมทั้งมีทั้งด้านมืดและด้านที่สดใส
ถือเป็นตัวละครที่มีความซับซ้อนไม่น้อยเลย
ขณะที่สารวัตรเชสเตอร์ แคมป์เบลล์ คู่ปรับคนสำคัญในขั้วตรงข้ามของโธมัส ก็ได้แซม นีลมาเล่น และมอบการแสดงที่สมน้ำสมเนื้อมาให้ นี่คือผู้รักษากฎหมายที่พร้อมจะเล่นใต้โต๊ะเพื่อฬห้บรรลุเป้าหมาย ขณะที่โธมัสเป็นคนคำไหนคำนั้น แคมป์เบลล์ต่างออกไป เขาพร้อมจะตระบัดสัตย์เพื่อประโยชน์ของตัวเอง รวมถึงเป็นคนเจ้าคิดเจ้าแค้น
แล้วเมื่อดูบรรดาตัวละครที่อยู่รายรอบทั้งคู่ ไม่ว่าจะเป็นพี่น้องตระกูลเชลบี หรือเกรซ สายสืบที่แคมป์เบลล์ส่งตัวมาสืบความลับของพวกพีคี ไบลน์เดอร์ ทุกรายล้วนได้การแสดงที่สมตัว และเล่นรับ-ส่งกันได้เป็นอย่างดี ต่อให้บางรายอาจจะมีบทบาทที่ไม่มากนัก เช่น แดนนี ลูกน้อง-เพื่อนร่วมชีวิตและร่วมรบของโธมัส ก็มีความสำคัญกับเรื่อง ทั้งในแง่การเป็นบาดแผลจากสงครามของโธมัส และการเป็นกุญแจสำคัญสำหรับการกระทำบางอย่างของเจ้านายตัวเอง
ถึงมีเวลาในหนังไม่มาก หากก็ไม่ใช่ตัวละครที่ถูกละเลยหรือลืมเลือนไปได้
หนังปิดจบฤดูฉายแรกในแบบที่ให้ความรู้สึกว่า ไม่ทำต่อก็ถือว่ามีบทสรุปที่ชัดเจนในตัว จบไปเลยก็ค้างคาใจ เพราะมีทั้งสิ่งที่ถูกคลี่คลายและสิ่งที่สามารถสานต่อออกไปได้ แต่อย่างน้อยครอบครัวเชลบีก็น่าจะได้อยู่อย่างสงบสักพัก
ถือว่าเป็นการจบเรื่องราวได้สวย แล้วก็เรียกน้ำย่อยให้ติดตามต่อไปด้วย โดยเฉพาะการเปิดหน้าศัตรูรายใหม่ที่น่าจะมีบทบาทมากขึ้นในปีต่อๆ ไป และกับสารวัตรแคมป์เบลล์ แม้จะได้สิ่งที่ต้องการตามความตั้งใจแรก แต่ก็มีบางสิ่งที่สูญเสียไปและน่าจะวางแผนเอาคืนกับโธมัส ที่คราวนี้ไม่น่าจะใช่เรื่องงานอย่างที่เคยเป็น แต่เป็นเรื่องส่วนตัวมากกว่า
ดูแล้วก็ไม่แปลกใจที่ซีรีส์ชุดนี้เดินหน้ามาถึงปีที่ 5 และกำลังจะไปถึงปีที่ 6 ได้อย่างที่เป็น
ที่สำคัญ ความบันเทิงของ Peaky Blinders ไม่ได้ยืดยาวเลย เพราะหนึ่งฤดูฉายใช้เวลาเพียงแค่ 6 ตอนเท่านั้นเอง