6 ธ.ค. 2019 เวลา 14:00 • บันเทิง
ดูมาแล้ว - PEAKY BLINDERS SEASON 1 ซีรีส์หนังเจ้าพ่อจากเกาะอังกฤษ เข้มทั้งการแสดง ข้นทั้งเรื่องราว
PEAKY BLINDERS SEASON 1: คงไม่ช้าเกินไป สำหรับการหยิบเอาซีรีส์ฝั่งอังกฤษ ที่มีให้ชมกันในเน็ทฟลิกซ์เรื่องนี้มาพูดถึง เพราะตอนนี้เรื่องราวก็เดินหน้ามาถึงฤดูฉายที่ห้าแล้วเรียบร้อย และทางสตีเวน ไนท์ผู้สร้างสรรค์ซีรีส์ชุดนี้ ก็ออกมาบอกแล้วว่า จะเดินหน้าทำฤดูฉายที่หกต่อ และบางทีอาจจะลากยาวไปจนถึงเจ็ด
 
เพราะเรื่องราวที่นำเสนอนั้น แม้จะแตกต่างไปจากความเป็นจริงไม่น้อย หากก็เชื่อมโยงสิ่งต่างๆ ที่เป็นไปในสังคมยุคหลังสงครามโลกครั้งแรก เข้ามาเกี่ยวพันกันได้เป็นอย่างดี ทำให้เรื่องราวมีความซับซ้อนมากขึ้น ทั้งแง่มุมการเมือง, เรื่องความรัก, การหักเหลี่ยมเฉือนคมกันระหว่างแก๊งต่างๆ รวมไปถึงการเล่นเอาล่อเอาเถิดระหว่างเจ้าหน้าที่ตำรวจกับแก๊งนักเลง, บทบาทของกลุ่มฝักใฝ่คอมมิวนิสต์บนเกาะอังกฤษ และความสัมพันธ์ในครอบครัว ที่ทำออกมาได้อย่างซาบซึ้ง, อบอุ่น แล้วก็มีฉากแอ็คชันใส่เข้ามาได้อย่างถูกที่ถูกทาง มีจังหวะจะโคน ให้ได้ลุ้น ตื่นเต้น จนกลายเป็นซีรีส์ที่ดูสนุก น่าติดตาม พาลให้ผู้ชมเอาใจช่วยมาเฟียครอบครัวนี้ ไม่ต่างไปจากที่เคยรัก แก๊งอิตาเลียนใน The Sopranos หรือปลื้มไปกับตระกูลคอร์ลีโอเนใน The Godfather
แต่หนนี้เป็นแกงสเตอร์ติดดิน มาเฟียบ้านๆ ที่เบอร์มิงแฮม บนเกาะอังกฤษ
กับการเป็นเรื่องราวในฤดูฉายแรก สตีเวน ไนท์ เล่าเรื่องราวของแก๊งพีคี ไบลน์เดอร์ของตระกูลเชลบี โดยแทบไม่เสียเวลาไปกับการปูความเป็นมาของตัวละคร แต่เดินหน้ากันตั้งแต่ต้น ด้วยสถานการณ์ที่นำไปสู่ความขัดแย้ง การปล้นปืนของกองทัพโดยไม่ได้ตั้งใจของโธมัส เชลบี ที่ทำให้วินสตัน เชอร์ชิลล์ ส่งสารวัตรแคมป์เบลล์มาหาตัวการ รวมไปถึงเปิดหน้าตัวละครสำคัญๆ ให้ได้รู้จักกันก่อน จากนั้นก็ค่อยๆ เผยสิ่งต่างๆ ที่เป็นปูมหลังของทั้งเรื่อง ทั้งตัวละคร ไปเรื่อยๆ พร้อมๆ กับการวางปมใหม่ๆ ที่ทำให้เรื่องราวซับซ้อนมากขึ้น ทั้งความรักระหว่างเพื่อนของโธมัสที่เป็นพวกนิยมคอมมิวนิสท์กับน้องสาวของเขา ที่ทำให้การทำงานของตระกูลวุ่นวายไปกันใหญ่ เพราะเหมือนกับการพาครอบครัวไปเกี่ยวข้องกับการเมืองโดยตรง, การมาพัวพันกับเรื่องปืนของพวกไออาร์เอ, แผนที่จะทำธุรกิจถูกกฎหมายของโธมัส รวมถึงความพยายามที่จะทำให้พี่น้องญาติๆ ได้อยู่ดีกินดี ที่บางตอนก็มาพร้อมกับการเปิดตัวละครใหม่ๆ และให้โอกาสกับตัวละครอื่นๆ ได้มีบทบาทมากขึ้น เช่น ตอนที่เปิดตัวพ่อของบ้านเชลบีผู้ละทิ้งครอบครัวไป ซึ่งเผยให้เห็นความอ่อนแอของอาร์เธอร์ พี่ชายคนโตของบ้านไปพร้อมๆ กัน
 
นอกจากการเล่าเรื่องจะทำถึง การสร้างตัวละครต่างๆ ในเรื่องก็มาดี แต่ละคนมีลักษณะเฉพาะตัว ที่สำคัญไม่มีใครที่เป็นตัวละครในแบบขาวจัด-ดำจัด ทุกคนเป็นตัวละครสีเทา แม้กระทั่งเด็กๆ ในบ้านของของแก๊งพีคี ไบลน์เดอร์ ที่เต็มไปด้วยความซับซ้อน แล้วพอได้นักแสดงมือดีมาสวมบทบาท ตัวละครต่างๆ นอกจากจะมีเสน่ห์ คุณภาพที่บรรดานักแสดงเหล่านี้มอบให้ ก็กลายเป็นจุดแข็งอีกอย่างของหนัง
 
ตั้งแต่คิลเลียน เมอร์ฟี ที่รับบทโธมัส เชลบี มันสมองของแก๊งพีคี ไบลน์เดอร์ ซึ่งไม่ต่างไปจากหัวใจของเรื่อง เมอร์ฟีทำให้ตัวละครรายนี้ขึ้นจอโดยมีมิติอารมณ์ครบในเรื่องการแสดงออก สมกับปูมหลังที่บทปูเอาไว้ ไม่ว่าจะเป็น ทหารผ่านศึกที่พบเหตุการณ์เลวร้ายในสงคราม, ชายหนุ่มผู้เปลี่ยวเหงา, ลูกผู้ชายที่ฆ่าได้หยามไม่ได้, นักเลงหัวไม้ที่มีความเฉลียวฉลาดอยู่ในตัว, ผู้ชายที่เก็บทุกอย่างเอาไว้ข้างใน, สมาชิกของครอบครัวที่รักและดูแลทุกคนในบ้าน เรียกว่ามีทั้งด้านที่อบอุ่นและแข็งกร้าวในตัว รวมทั้งมีทั้งด้านมืดและด้านที่สดใส
 
ถือเป็นตัวละครที่มีความซับซ้อนไม่น้อยเลย
 
ขณะที่สารวัตรเชสเตอร์ แคมป์เบลล์ คู่ปรับคนสำคัญในขั้วตรงข้ามของโธมัส ก็ได้แซม นีลมาเล่น และมอบการแสดงที่สมน้ำสมเนื้อมาให้ นี่คือผู้รักษากฎหมายที่พร้อมจะเล่นใต้โต๊ะเพื่อฬห้บรรลุเป้าหมาย ขณะที่โธมัสเป็นคนคำไหนคำนั้น แคมป์เบลล์ต่างออกไป เขาพร้อมจะตระบัดสัตย์เพื่อประโยชน์ของตัวเอง รวมถึงเป็นคนเจ้าคิดเจ้าแค้น
 
แล้วเมื่อดูบรรดาตัวละครที่อยู่รายรอบทั้งคู่ ไม่ว่าจะเป็นพี่น้องตระกูลเชลบี หรือเกรซ สายสืบที่แคมป์เบลล์ส่งตัวมาสืบความลับของพวกพีคี ไบลน์เดอร์ ทุกรายล้วนได้การแสดงที่สมตัว และเล่นรับ-ส่งกันได้เป็นอย่างดี ต่อให้บางรายอาจจะมีบทบาทที่ไม่มากนัก เช่น แดนนี ลูกน้อง-เพื่อนร่วมชีวิตและร่วมรบของโธมัส ก็มีความสำคัญกับเรื่อง ทั้งในแง่การเป็นบาดแผลจากสงครามของโธมัส และการเป็นกุญแจสำคัญสำหรับการกระทำบางอย่างของเจ้านายตัวเอง
 
ถึงมีเวลาในหนังไม่มาก หากก็ไม่ใช่ตัวละครที่ถูกละเลยหรือลืมเลือนไปได้
 
หนังปิดจบฤดูฉายแรกในแบบที่ให้ความรู้สึกว่า ไม่ทำต่อก็ถือว่ามีบทสรุปที่ชัดเจนในตัว จบไปเลยก็ค้างคาใจ เพราะมีทั้งสิ่งที่ถูกคลี่คลายและสิ่งที่สามารถสานต่อออกไปได้ แต่อย่างน้อยครอบครัวเชลบีก็น่าจะได้อยู่อย่างสงบสักพัก
 
ถือว่าเป็นการจบเรื่องราวได้สวย แล้วก็เรียกน้ำย่อยให้ติดตามต่อไปด้วย โดยเฉพาะการเปิดหน้าศัตรูรายใหม่ที่น่าจะมีบทบาทมากขึ้นในปีต่อๆ ไป และกับสารวัตรแคมป์เบลล์ แม้จะได้สิ่งที่ต้องการตามความตั้งใจแรก แต่ก็มีบางสิ่งที่สูญเสียไปและน่าจะวางแผนเอาคืนกับโธมัส ที่คราวนี้ไม่น่าจะใช่เรื่องงานอย่างที่เคยเป็น แต่เป็นเรื่องส่วนตัวมากกว่า
 
ดูแล้วก็ไม่แปลกใจที่ซีรีส์ชุดนี้เดินหน้ามาถึงปีที่ 5 และกำลังจะไปถึงปีที่ 6 ได้อย่างที่เป็น
 
ที่สำคัญ ความบันเทิงของ Peaky Blinders ไม่ได้ยืดยาวเลย เพราะหนึ่งฤดูฉายใช้เวลาเพียงแค่ 6 ตอนเท่านั้นเอง
โดย นพปฎล พลศิลป์ คอลัมน์ ชำแหละแผ่นฟิล์ม นิตยสารเอนเตอร์เทน ฉบับที่ 1291 ปักษ์แรกพฤศจิกายน 2562
ดูมาแล้ว - HUSTLERS งานโชว์ฝีมือของเจ.โล อ่านวิจารณ์กันได้ที่นี่ >>> https://www.blockdit.com/articles/5dbbc155b072d10d067ec123
อ่านแล้วชอบ อย่าลืมกดติดตาม และยังมีเรื่องราวมากมายให้อ่านได้ที่ www.sadaos.com และทำความรู้จักกันได้มากกว่านี้ด้วยการกดไลค์เพจ www.facebook.com/Sadaos
โฆษณา