25 พ.ย. 2019 เวลา 09:00 • บันเทิง
ดูมาแล้ว - MIDWAY หนังสงครามย้อนยุค ทั้งเรื่องราวและการเล่าเรื่องของโรแลนด์ เอ็มเมอริช
MIDWAY: ว่ากันว่าเป็นโปรเจ็คท์ในฝันของโรแลนด์ เอ็มเมอริชตั้งแต่ยุค ‘90s หากโดนทางโซนีเบรคเนื่องจากทุนสร้างมหาศาลระดับร้อยล้านเหรียญ (ซึ่งในยุคนั้นถือว่ามโหฬารมาก) เจ้าตัวเลยต้องเก็บเข้ากรุ ไปทำ The Patriot หนังเมล กิบสันแสดงนำ ที่กลายเป็นงานแจ้งเกิดฮีธ เล็ดเจอร์ในฐานะนักแสดงคุณภาพ หลังเป็นขวัญใจสาวๆ มาแล้วจาก 10 Things I Hate About You
 
หลายคนอาจจะกำลังคิดว่ามันใช่เรื่องเดียวกับ Midway หรือ ยุทธภูมิมิดเวย์ ตอนเข้าฉายบ้านเรา ซึ่งเป็นหนังรวมดาวไม่แพ้หนังเรื่องนี้ที่สร้างขึ้นตอนปี 1976 หรือเปล่า คำตอบก็คือคนละเรื่องเดียวกัน ด้วยความที่หนังทั้งสองเรื่องมีเหตุการณ์จริงคือ การศึกที่มิดเวย์ในสงครามโลกครั้งที่สอง ระหว่างสหรัฐอเมริกาและญี่ปุ่นเป็นพื้นฐานเหมือนกัน ตัวละครหลายๆ รายที่มีตัวตนจริงๆ ในเหตุการณ์ครั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็น นายพลเชสเตอร์ นิมิทซ์, เวด แม็คคลูสกี, จิมมี ดูลิทเทิล, ผู้บัญชาการกองเรือ – วิลเลียม ฮัลซีย์, นักถอดรหัส – โจเซฟ รอชฟอร์ด รวมไปถึงผู้บัญชาการกองเรือ เรย์มอนด์ สปรูนซ์, นายพลยามาโมโต ต่างก็มีบทบาทในหนังทั้งสองเรื่อง แต่กับการเล่าเรื่องแล้ว หนังของผู้กำกับแจ็ค สไมท์ มีการเล่าเรื่องผ่านตัวละครสมมติ ซึ่งผิดจากงานของเอ็มเมอริชที่ตัวละครแกนหลัก คือตัวละครที่มีอยู่จริง แล้วก็เสริมด้วยตัวละครเล็กๆ ที่อาจไม่มีตัวตนจริงๆ อีกหลายราย เพื่อทำให้หนังมีการเร้าอารมณ์มากขึ้น
 
พูดง่ายๆ ก็คือ เป็นหนังที่พูดถึงเหตุการณ์เดียวกันแต่ต่างมุมมองและคนละรายละเอียดในการเล่าเรื่อง ซึ่งก็คล้ายๆ กับ Pearl Harbor ที่ฉบับใครก็ฉบับมัน แต่แบ็คกราวนด์หลักของหนังก็คือ การโจมตีกองทัพเรืออเมริกันโดยกองทัพญี่ปุ่นนั่นเอง
 
แต่ถึงจะวางตัวละครมากระตุ้นอารมณ์ของผู้ชม โดยเฉพาะในเรื่องของการเสียสละ ความผูกพัน ทั้งหลาย Midway ก็ไม่ต่างไปจากหนังเรื่องอื่นๆ ของเอ็มเมอริชที่ไม่สามารถลงลึกในระดับที่ทำให้ซาบซึ้งหรือประทับใจได้สักเท่าไหร่ แล้วก็ยังมีลักษณะของสูตรสำเร็จเช่นเดียวกับหนังเรื่องก่อนๆ หน้า หากที่แย่ยิ่งกว่าก็คือ ด้วยรายละเอียดต่างๆ ที่หนังใส่เข้ามาตลอดความยาวถึงสองชั่วโมงยี่สิบนาที บทของเวส ทูเคไม่สามารถปั้นอารมณ์ให้รู้สึกฮึกเหิมขึ้นมา ในระดับเดียวกับคำพูดปลุกใจก่อนไปรบกับมนุษย์ต่างดาวของบิลล์ พูลล์แมนใน Independence Day ได้เลย
 
มองกันสองมุมถึงสาเหตุที่ทำให้เป็นแบบนี้ มุมแรกคงไม่พ้น ศักยภาพของคนทำงานไม่ถึง ส่วนมุมที่สองก็คงเพราะหนังมีเรื่องที่อยากจะเล่าเยอะเกินไป ทำให้ไม่มีเวลาสร้างความผูกพันทั้งระหว่างตัวละครด้วยกัน และระหว่างตัวละครกับผู้ชม ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดก็คือ ฉากชุมนุมบรรดาแม่บ้านทหารเรือ ที่ไม่ทำให้ผู้ชมรู้สึกอะไรเลย นอกจากรับรู้ว่าบรรดานางๆ ล้วนเป็นห่วงสามีที่อยู่แนวหน้า แต่ไม่สามารถสร้างความสะเทือนใจไปกับพวกเธอได้เลยจริงๆ
 
หากมองในแง่ดี ก็คงไม่พ้นอย่างหลัง หนังมีสารพัดเรื่องราวให้เล่าเยอะเกินไปจริงๆ เอ็มเมอริชและทูเค ไม่เลือกที่จะเน้นเหตุการณ์ใดเหตุการณ์ให้เป็นเรื่องเป็นราวอย่างจริงๆ จังๆ ส่งผลให้หนังนอกจากจะทำได้ไม่ดีในแง่ของการเร้าอารมณ์ ก็ยังสอบไม่ผ่านสำหรับการลงลึกถึงเหตุการณ์ ด้วยความที่หนังพยายามเก็บสิ่งที่เกิดขึ้นในช่วงเวลานั้นมานำเสนอให้หมดหรืออย่างน้อย… มากที่สุด
 
สถานการณ์ทุกอย่างที่เคยรับรู้ รับทราบมาก่อนหน้าจากการอ่าน จึงเป็นได้เพียงการแตะแล้วก็ผ่านไป คล้ายๆ การเอาหัวข้อเรื่องมาทำเป็นภาพให้ปรากฏ โดยปราศจากทั้งความเป็นมาและเป็นไป มีเหตุการณ์ที่ละไว้ ในฐานที่เข้าใจ หรือ ในฐานที่ไม่ต้องเข้าใจ เต็มไปหมด ไม่ว่าจะเป็น เรื่องของดูลิทเทิล, แผนบุกทะเลคอรัลของญี่ปุ่น, กองถ่ายหนังบนเกาะมิดเวย์, กระทั่งแผนโจมตีของญี่ปุ่น รวมถึงการถอดรหัสของหน่วยข่าวกรองกองทัพเรือ ที่สามารถเอามาใช้ประโยชน์สร้างความเข้มข้นให้กับเรื่องราวได้ ก็ถูกนำเสนอแบบผิวๆ
 
ไม่แปลกที่จะรู้สึกว่า นี่คืองานที่บางเบาในเนื้อหา ปราศจากความจริงจัง หนักแน่น
 
บรรดานักแสดงที่ขนกันมามากมาย ในแบบหนังรวมดาว ส่วนใหญ่ไม่น่าจะได้เครดิทเพิ่มเติมจากบทที่เล่นสักเท่าไหร่ เพราะไม่ได้มีอะไรให้เล่นมากนัก แต่อย่างน้อยกับนักแสดงบางคน ก็เติมความเป็นมนุษย์ให้กับตัวละครที่ตัวเองรับบทได้ ไม่ใช่ตัวละครที่แบนทั้งปูมหลังทั้งการแสดงออก ไม่ว่าจะเป็น วูดี ฮาร์เรลสัน, แพทริค วิลสัน หรือ ลูค อีแวนส์ กับ เดนนิส เควด
 
หากบางคนอย่าง เอ็ด สไครน์ ที่ถือว่าได้บทเป็นเนื้อเป็นหนังไม่น้อย ก็ฉวยโอกาสไว้ได้ในระดับมากพอจะทำให้เห็นเสน่ห์บางอย่างในตัว และโดดเด่นออกมาจากงานที่ดูแบนๆ เรื่องนี้อยู่บ้าง หลังเป็นตัวร้าย ตัวประกอบอดทนในหนังหลายต่อหลายเรื่องมาก่อนหน้า และนับจากนี้อาจจะถึงเวลาที่เขาควรได้รับบทที่เป็นจริงเป็นจังมากขึ้น หลังแจ้งเกิดใน The Transporter Refueled ตั้งแต่ปี 2015
 
Midway ของเอ็มเมอริช อาจจะดูไม่ต่างไปจากหนังบันทึกเหตุการณ์อีกเรื่องหนึ่ง
 
แต่กับการเล่าเรื่องที่เดินหน้าไปอย่างรวดเร็ว มีฉากแอ็คชันแทรก และวางปมเรื่องได้ดีเป็นระยะๆ ก็ช่วยให้หนังไม่ถึงกับน่าเบื่อ โดยเฉพาะคอหนังสงคราม ที่ห่างเหินงานในสไตล์เก่าๆ แบบนี้มาพักใหญ่ Midway จะดึงภาพและความรู้สึกที่หายไปนานกลับมา แน่นอนว่าอาจจะดูเชยๆ อยู่บ้าง แต่ก็ทำให้รู้สึกบางอย่างจากภาพการต่อสู้ทางทหารในอดีตที่มีความเป็นลูกผู้ชาย หรือใช้ศักยภาพ ความสามารถ ความกล้าหาญ ที่น่าจะมากกว่าในยุคนี้ที่ไม่ต่างไปจากสงครามกดปุ่ม ตั้งแต่การถอดรหัส ตีความข้อความต่างๆ การทำหน้าที่ของหน่วยบินทิ้งระเบิด ที่ต้องกล้าหาญและบ้าบิ่น เพื่อนำระเบิดไปหย่อนยังจุดหมายโดยไม่พลาดเป้าด้วยตัวเอง ไม่ใช่นั่งบังคับโดรนอยู่ในห้องควบคุมที่ไหนก็ไม่รู้ หรือทิ้งระเบิดซึ่งตั้งโปรแกรมไว้เรียบร้อยให้พุ่งไปหาเป้าหมาย
 
แล้วหนังซึ่งทุนสร้างหลักเป็นของอเมริกันกับจีน ก็ไม่ได้ป้ายสีให้ฝ่ายญี่ปุ่นเป็นพวกใจทมิฬหินชาติจนเกินไป พวกเขามีความเป็นมนุษย์ปุถุชนในตัว รักศักดิ์ศรี เกียรติยศและหน้าที่ แม้จะไม่ถึงกับมีความสมดุลย์กับตัวละครฝ่ายอเมริกัน หากก็ไม่ใช่ตัวละครที่ไร้มิติโดยสิ้นเชิงอย่างที่เคยเป็นในอดีต
 
บางทีหากหนังสามารถสร้างสมดุลย์ให้กับเรื่องที่ตัวเองเล่า ได้แค่พอๆ ที่ทำกับตัวละครฝ่ายอเมริกันและญี่ปุ่น Midway ก็น่าจะเป็นงานที่คนดูให้ใจและได้ใจผู้ชมมากกว่านี้
โดย นพปฎล พลศิลป์ คอลัมน์ ชำแหละแผ่นฟิล์ม นิตยสารเอนเตอร์เทน ฉบับที่ 1292 ปักษ์หลังพฤศจิกายน 2562
อ่านแล้วชอบ อย่าลืมกดติดตาม และยังมีเรื่องราวมากมายให้อ่านได้ที่ www.sadaos.com และทำความรู้จักกันได้มากกว่านี้ด้วยการกดไลค์เพจ www.facebook.com/Sadaos
ดูมาแล้ว - THE BEAST หนังดรามา สืบสวน สอบสวน ตำรวจดี ตำรวจเลว จากเกาหลี อ่านวิจารณ์กันได้ที่นี่ > https://www.blockdit.com/articles/5dae147bf2d47a08e6a2e23d
โฆษณา