1 ธ.ค. 2019 เวลา 04:00 • ประวัติศาสตร์
“สามเหลี่ยมเบอร์มิวด้า (Bermuda Triangle) สามเหลี่ยมมรณะ” ตอนที่ 4 (ตอนจบ)
ปริศนาที่ถูกไข
ในยุค 70 (พ.ศ.2513-2522) ได้มีบรรณารักษ์ชาวอเมริกันชื่อ “แลร์รี คุสเช (Larry Kusche)” ได้สนใจในเรื่องของสามเหลี่ยมเบอร์มิวด้าและได้ตั้งใจที่จะไขปริศนาของสามเหลี่ยมเบอร์มิวด้าให้ได้
สาเหตุที่คุสเชเกิดสนใจในเรื่องของสามเหลี่ยมเบอร์มิวด้าก็เนื่องจากคนที่มาห้องสมุดได้ให้ความสนใจในเรื่องของสามเหลี่ยมเบอร์มิวด้าเป็นอย่างมาก เขาจึงสนใจที่จะทำวิจัยเรื่องสามเหลี่ยมเบอร์มิวด้า
แลร์รี คุสเช (Larry Kusche)
อันดับแรก คุสเชได้ทำการรวบรวมหนังสือและบทความทั้งหมดเกี่ยวกับสามเหลี่ยมเบอร์มิวด้า จากนั้นเขาก็ทำการติดต่อกับหน่วยป้องกันชายฝั่งสหรัฐและกองทัพอากาศสหรัฐ รวมทั้งบริษัทประกันชื่อ “Lloyd's of London” ซึ่งเรือหลายลำที่หายไปในสามเหลี่ยมเบอร์มิวด้าก็เป็นลูกค้าประกันของบริษัทนี้
จากนั้น เขาก็ทำการค้นหนังสือพิมพ์เก่าๆ เป็นตั้งๆ และเขาได้ย้อนกลับไปอ่านหนังสือพิมพ์ที่ตีพิมพ์ตั้งแต่ปีค.ศ.1840 (พ.ศ.2383)
1
ในไม่ช้า เขาก็ค่อยๆ พบความจริงที่อธิบายถึงความลี้ลับของสามเหลี่ยมเบอร์มิวด้าทีละนิดๆ
อย่างแรกก็คือ เขาค้นพบว่าในหลายๆ เคสนั้น หนังสือพิมพ์ก็ไม่ได้รายงานข่าวตามความเป็นจริง เช่น หนังสือพิมพ์รายงานข่าวว่าเรือหายสาปสูญไปในขณะที่อากาศแจ่มใส ทั้งๆ ที่ความเป็นจริงแล้ว วันนั้นมีพายุเข้า บางครั้งก็บอกว่าเรือหายไปในสามเหลี่ยมเบอร์มิวด้า ทั้งที่ความเป็นจริงแล้วเรือนั้นจมห่างจากสามเหลี่ยมเบอร์มิวด้าเป็นพันๆ ไมล์
ยกตัวอย่างฝูงบิน 19 (Flight 19) ฝูงบินที่ประกอบด้วยเครื่องบินห้าลำที่หายไปอย่างลึกลับดังที่ผมเคยนำเสนอไว้ในบทก่อนๆ
ฝูงบิน 19 (Flight 19)
กองทัพเรือได้ทำการสอบสวนผู้ที่ได้พูดคุยกับนักบินของฝูงบิน 19 ในวันนั้น และก็พบข้อมูลบางอย่างที่น่าสนใจ
นักบินคนหนึ่งเล่าว่าเขาได้บินอยู่ทางใต้ของฟลอริด้า ก่อนจะได้รับสัญญาณวิทยุจากหนึ่งในนักบินของฝูงบิน 19 ว่ากำลังหลงทาง เข็มทิศก็ใช้การไม่ได้
นักบินที่ได้ให้สัมภาษณ์เล่าว่าเขาได้แนะนำผ่านวิทยุให้นักบินของฝูงบิน 19 ใจเย็นๆ และค่อยๆ บินไปตามตำแหน่งของพระอาทิตย์
แต่เนื่องจากสัญญาณวิทยุนั้นติดๆ ขัดๆ ทำให้การสื่อสารเป็นไปอย่างยากลำบาก แต่สัญญาณจากฝูงบิน 19 ก็แจ้งว่าน้ำมันบนเครื่องใกล้จะหมดแล้ว
ปรากฎว่าในเวลาเย็น ลมเริ่มพัดแรง น้ำมันบนเครื่องก็หมด ทำให้เครื่องบินแต่ละลำของฝูงบิน 19 ต้องลงน้ำ และในที่สุด ก็ตกลงบนน้ำด้วยความเร็วสูง
ส่วนเครื่องบินลำที่ออกค้นหานั้น ผู้อยู่ในเหตุการณ์เล่าว่าภายหลังจากเครื่องบินค้นหาได้บินออกค้นหาเพียงแค่ 20 นาที ก็มีผู้พบเห็นเหตุระเบิดกลางอากาศ และก็คาดว่าเหตุระเบิดนั้นน่าจะมาจากเครื่องบินค้นหา
1
เครื่องบินลำที่ค้นหานั้นบรรทุกน้ำมันปริมาณมากและติดไฟได้ง่าย คาดว่าน่าจะเกิดเหตุขัดข้องกับเครื่องบินทำให้เครื่องบินค้นหาระเบิด
และยิ่งคุสเชทำการค้นคว้ามากเท่าไร เขาก็ยิ่งได้ค้นพบว่าปริศนาต่างๆ ในเบอร์มิวด้านั้นอาจจะมีคำอธิบาย
เริ่มจากเรือแอตาแลนต้า (Atalanta) ที่หายไปอย่างปริศนาที่ผมเคยเล่าไว้ในบทก่อนๆ เช่นกัน
แอตาแลนต้า (Atalanta)
คุสเชได้ค้นคว้าจากหนังสือพิมพ์ The Times ฉบับปีค.ศ.1880 (พ.ศ.2423) และในที่สุดเขาก็พบความจริง
ในเวลานั้นมีพายุเข้ามหาสมุทรแอตแลนติกซึ่งกินเวลานับเดือน และก็มีเรือหลายลำที่อับปางจากพายุ ซึ่งนี่ก็น่าจะเป็นเหตุผลที่แอตาแลนต้าหายตัวไป
ต่อมา เรือไซคลอปส์ (Cyclops) ที่หายไปในปีค.ศ.1918 (พ.ศ.2461)
ไซคลอปส์ (Cyclops)
คุสเชพบรายงานสภาพอากาศในช่วงเวลานั้น และก็พบว่ามีรายงานว่ามีพายุลูกใหญ่เข้ามายังเวอร์จิเนียในช่วงเวลาเดียวกับที่เรือไซคลอปส์หายสาปสูญ
หรืออาจจะมีอีกเหตุผลหนึ่ง และก็น่าจะมีความเป็นไปได้สูงซะด้วย
เรือไซคลอปส์เป็นเรือรบสหรัฐ และมันก็หายไปในระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 1
1
ในเวลานั้นสหรัฐอเมริกากำลังรบกับเยอรมนี และที่เด็ดกว่านั้นก็คือ กัปตันเรือไซคลอปส์ชื่อ “จอร์จ วอร์ลีย์ (George Worley)” เป็นชาวเยอรมัน
จอร์จ วอร์ลีย์ (George Worley)
ท่านผู้อ่านเข้าใจที่ผมจะสื่อแล้วใช่มั้ยครับ? เรือรบสหรัฐ แต่มีกัปตันเป็นชาวเยอรมัน และสหรัฐกับเยอรมนีก็กำลังรบกันอยู่
1
มีความเป็นไปได้ว่ากัปตันเรือไซคลอปส์อาจจะทรยศสหรัฐ และนำเรือไปยังเยอรมนี
ต่อมา ช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ก็ได้มีเรือหายไปในสามเหลี่ยมเบอร์มิวด้าอีก แต่ก็ไม่น่าใช่เรื่องลึกลับอะไร แต่น่าจะถูกเรือดำน้ำของเยอรมันโจมตีมากกว่า
รายต่อไปที่ผมจะพูดถึงคือรายของ “โจชัว สโลคัม (Joshua Slocum)” ที่ผมเคยเล่าให้ฟังในบทก่อนๆ เช่นกัน
สโลคัมนั้นเป็นนักเดินเรือมือฉมัง ทำไมอยู่ๆ ถึงหายไปในเบอร์มิวด้า
1
โจชัว สโลคัม (Joshua Slocum)
เป็นไปได้ว่าเขาอาจจะประสบอุบัติเหตุ เรือเขาอาจจะไปชนกับเรือโดยสารขนาดใหญ่ในยามค่ำคืน หรือบางทีเขาอาจจะเกิดอาการหัวใจวายและเสียชีวิต เมื่อเขาเสียชีวิต เรือก็ไม่มีคนขับ สุดท้ายก็จม รวมทั้งอาจจะเกิดพายุเข้าอีกด้วยก็ได้
1
อีกอย่างหนึ่ง หากคิดตามหลักเหตุผลแล้ว ถึงแม้เส้นทางการเดินเรือของเขาจะเข้าไปยังสามเหลี่ยมเบอร์มิวด้าโดยตรงก็จริง
แต่คำถามคือ “รู้ได้ยังไงว่าเขาหายตัวไปในสามเหลี่ยมเบอร์มิวด้า? บางทีเรือของเขาอาจจะจมก่อนถึงสามเหลี่ยมเบอร์มิวด้าก็เป็นได้ การจะโทษสามเหลี่ยมเบอร์มิวด้าอย่างเดียวมันก็ฟังดูไม่ค่อยมีเหตุผลเท่าไร”
ส่วนเรือลำอื่นๆ ที่ผมเคยเล่าในบทก่อนๆ คุสเชก็หาเหตุผลมาอธิบายได้ทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นพายุที่เข้าในช่วงเวลานั้น รวมทั้งหากพิจารณาตามหลักข้อมูลแล้ว มหาสมุทรแอตแลนติกก็เกิดพายุเฮอร์ริเคนบ่อยมาก จึงไม่ใช่เรื่องน่าแปลกเลยที่เรือเหล่านี้จะหายสาปสูญ
ส่วนเรื่องเครื่องบินลำอื่นๆ ที่ผมเคยนำเสนอในบทก่อนๆ คุสเชก็มีคำอธิบายครับ
เมื่อลองพิจารณารายละเอียดจริงๆ พบว่าเครื่องบินเหล่านั้นล้วนแต่บรรทุกน้ำหนักเกิดพิกัด แถมยังบินต่ำเกินไป ทำให้การควบคุมทำได้ยาก จึงเป็นการง่ายที่จะเกิดอุบัติเหตุ
1
จะเห็นได้ว่าเกือบทุกการสูญหายในสามเหลี่ยมเบอร์มิวด้า คุสเชสามารถหาเหตุผลและหลักฐานมาโต้แย้งได้หมด แต่ก็มีบางเคสเหมือนกันที่ไม่สามารถหาคำตอบได้
เช่นกรณีของเรือ Carroll A. Deering และ เอลเลน ออสติน (Ellen Austin) ที่ผมเล่าไว้ในตอนแรกๆ คุสเชก็ไม่สามารถหาหลักฐานมาอธิบายได้
แต่อย่างไรก็ตาม ดูเหมือนสามเหลี่ยมเบอร์มิวด้าจะไม่ได้ลึกลับอะไรอย่างที่หลายคนกล่าว แม้แต่หน่วยป้องกันชายฝั่งสหรัฐเองก็กล่าวว่าสามเหลี่ยมเบอร์มิวด้านี้ไม่ได้มีอะไรเลย เพียงแต่มันเป็นจุดที่มีการผ่านเข้าออกของเรือและเครื่องบินหนาแน่น ดังนั้นมันเป็นเรื่องธรรมดาที่จะเกิดอุบัติเหตุบ้าง และหากนับจำนวนการสูญหาย เทียบกับเรือและเครื่องบินทั้งหมดที่ผ่านเข้าออกบริเวณนี้ ลองคิดเป็นเปอร์เซ็นต์ จะพบว่าเปอร์เซ็นต์ของเรือและเครื่องบินที่สูญหาย เมื่อเทียบกับเรือและเครื่องบินทั้งหมดที่เคยผ่านเข้าออกบริเวณนี้ เปอร์เซ็นต์นั้นต่ำมากทีเดียว
5
ปัจจุบันนี้ ด้วยความก้าวหน้าของเทคโนโลยี สามเหลี่ยมเบอร์มิวด้าก็อาจจะไม่ใช่สามเหลี่ยมที่น่าสะพรึงกลัวอีกต่อไป และเบอร์มิวด้าก็เป็นหมู่เกาะที่สวยงาม ดึงดูดนักท่องเที่ยวจำนวนมาก
1
แต่อย่างไรก็ตาม ตำนานของสามเหลี่ยมนี้ก็เป็นประวัติศาสตร์บทหนึ่งที่เคยสร้างความสะพรึงกลัวและงุนงงให้คนจำนวนมาก
จบลงแล้วสำหรับซีรีย์ชุดนี้ ซีรีย์เรื่องต่อไป
“เจงกิสข่าน (Genghis Khan) ผู้ก่อตั้งจักรวรรดิมองโกล”
ฝากติดตามด้วยนะครับ
โฆษณา