30 พ.ย. 2019 เวลา 04:01 • ประวัติศาสตร์
“สามเหลี่ยมเบอร์มิวด้า (Bermuda Triangle) สามเหลี่ยมมรณะ” ตอนที่ 3
ทฤษฎีต่างๆ เกี่ยวกับสามเหลี่ยมเบอร์มิวด้า
หนึ่งปีภายหลังจากที่สตาร์ ไทเกอร์หายสาปสูญ เครื่องบินชื่อ “สตาร์ แอรีล (Star Ariel)” ก็ได้หายสาปสูญไปหลังจากออกเดินทางในวันที่อากาศแจ่มใสในปีค.ศ.1949 (พ.ศ.2492)
สตาร์ แอรีลเป็นเครื่องบินแบบเดียวกับสตาร์ ไทเกอร์ และเครื่องบินลำนี้ก็ได้หายไปโดยที่ไม่มีการส่งสัญญาณขอความช่วยเหลือ
สตาร์ แอรีลหายไปในเส้นทางที่ตรงเข้าสู่สามเหลี่ยมเบอร์มิวด้า
สตาร์ แอรีล (Star Ariel)
ต่อมา เดือนพฤศจิกายน ค.ศ.1956 (พ.ศ.2499) ก็ได้เกิดอุบัติเหตุเครื่องบินระเบิดกลางอากาศหลังจากออกเดินทางจากเบอร์มิวด้า
หลังจากนั้น ค.ศ.1962 (พ.ศ.2505) เครื่องบินของกองทัพอากาศสหรัฐก็ได้หายสาปสูญไปในบริเวณสามเหลี่ยมเบอร์มิวด้า
ค.ศ.1963 (พ.ศ.2506) เครื่องบินเจ็ทของกองทัพอากาศสองลำได้ออกจากฐานในฟลอริด้า และได้เกิดเหตุขัดข้องกับเครื่องบินทั้งสองลำ แต่เครื่องบินทั้งสองลำก็ไม่มีการส่งสัญญาณขอความช่วยเหลือเลย
ต่อมา ทีมค้นหาได้ออกค้นหาเครื่องบินทั้งสองและพบเศษซากของเครื่องบินทั้งสองลำ ตกอยู่ในมหาสมุทรแอตแลนติก และที่เหมือนกันคือเศษเครื่องบินทั้งสองลำพบอยู่ในบริเวณสามเหลี่ยมเบอร์มิวด้า
เหตุการณ์ต่อมาเกิดขึ้นในปีค.ศ.1965 (พ.ศ.2508) เครื่องบินขับไล่ชื่อ “C-119” ได้ออกจากฐานที่ฟลอริด้า โดยมีจุดหมายอยู่ที่บาฮามาส
C-119
นักบินของ C-119 ได้ส่งสัญญาณวิทยุแจ้งไปยังภาคพื้นดิน เมื่ออยู่ห่างจากจุดหมายประมาณ 45 นาที โดยนักบินแจ้งว่าทุกอย่างปกติ
ในวันนั้นอากาศดี ปลอดโปร่ง และเครื่องบินก็น่าจะมาถึงจุดหมายตามเวลาที่กำหนด
แต่สุดท้าย C-119 ก็ได้หายไปอย่างไร้ร่องรอย
ต่อมา มกราคม ค.ศ.1967 (พ.ศ.2510) เพียงอาทิตย์เดียว ก็ได้มีเครื่องบินหายไปในบริเวณสามเหลี่ยมเบอร์มิวด้าถึงสามลำ
ปริศนานี้ยังคงดำเนินต่อไป และจากการนับจำนวนเครื่องบินที่สูญหายในบริเวณสามเหลี่ยมเบอร์มิวด้าก็มีถึง 75 ลำแล้ว
เรามาคุยกันถึงเรื่องความเป็นไปได้ดีกว่าครับ สามเหลี่ยมเบอร์มิวด้านี้มีอะไรกันแน่
ผู้คนต่างตั้งสมมติฐานต่างๆ มากมาย
สมมติฐานหนึ่งคืออาจจะมีพลังงานบางอย่างที่ทำให้แรงแม่เหล็กในบริเวณสามเหลี่ยมเบอร์มิวด้าทำงานแปลกไป
มีหลักฐานที่บ่งชี้ว่าเข็มทิศมักจะทำงานแปลกๆ ในบริเวณนี้ และก็มีรายงานจากนักบินหลายนายว่าเข็มทิศบนเครื่องมักจะทำงานแปลกๆ ก่อนที่จะหายตัวไป
นักบินมักรายงานว่าเข็มทิศมักจะหมุนเองอย่างบ้าคลั่งและไม่ชี้ไปทางทิศเหนือ แม้แต่โคลัมบัสเองก็ยังบันทึกว่าขณะออกเดินทาง เข็มทิศของเขาก็ทำงานแปลกไปเหมือนกัน
หรือจะเป็นไปได้ว่าบริเวณสามเหลี่ยมเบอร์มิวด้ามีพลังงานบางอย่างที่ทำให้เข็มทิศมีปัญหา?
จริงๆ แล้วไม่ใช่หรอก สิ่งที่แปลกไปในบริเวณนี้คือบริเวณสามเหลี่ยมเบอร์มิวด้าเป็นหนึ่งในไม่กี่ที่บนโลกที่ทิศเหนือแม่เหล็กและทิศเหนือจริงนั้นมักจะเป็นจุดเดียวกัน (ซึ่งอาจจะทำให้เข็มทิศเกิดรวน แต่หลักการของมันนั้นค่อนข้างยากที่จะเข้าใจ ผมเองไม่เก่งวิทย์ ก็ยังงงๆ เหมือนกันครับ)
2
สรุปได้ว่า การที่เข็มทิศหมุนวนอย่างบ้าคลั่งในบริเวณสามเหลี่ยมเบอร์มิวด้านั้นไม่ได้เกิดจากเรื่องลี้ลับอะไรเลย เป็นเรื่องธรรมดาที่อาจจะเกิดที่จุดไหนก็ได้ ซึ่งส่วนหนึ่งก็อาจจะมาจากคลื่นลมที่แปรปรวน
นอกจากนั้น ลมที่แรงอย่างบ้าคลั่งก็สามารถทำให้เข็มทิศบนเครื่องบินหมุนวนแปลกๆ ได้เช่นกัน ทำให้สรุปได้ว่าเข็มทิศจะทำงานได้ดีเมื่ออากาศสงบ
ต่อมา ยุค 70 (พ.ศ.2513-2522) หลายคนเริ่มคิดว่าเบื้องหลังของสามเหลี่ยมเบอร์มิวด้าอาจจะเป็น “ยูเอฟโอ (UFO)”
คนที่เชื่อกันว่าเบื้องหลังของปริศนาสามเหลี่ยมเบอร์มิวด้าคือยูเอฟโอนั้นได้กล่าวว่าในทุกๆ ครั้งที่เรือและเครื่องบินหายสาปสูญไปในสามเหลี่ยมเบอร์มิวด้า ทั้งหมดนั้นล้วนเกิดจากการกระทำของยานอวกาศจากต่างดาว
ความคิดนี้มาจากไหน?
ทฤฎษีเกี่ยวกับยูเอฟโอนี้น่าจะเริ่มต้นในปีค.ศ.1965 (พ.ศ.2508) เมื่อยาน “เจมินี่ 4 (Gemini IV)” ได้ขึ้นไปโคจรรอบโลก
เจมินี่ 4 (Gemini IV)
เจมินี่ 4 เป็นปฏิบัติการทางอวกาศแรกที่ให้มนุษย์อวกาศออกมาเดินนอกตัวยาน
ขณะปฏิบัติภารกิจ นักบินอวกาศ “เจมส์ แมคดิวิตต์ (James McDivitt)” ได้รายงานว่าเขาพบเห็นยูเอฟโอ โดยตัวเขาเองนั้นได้ถ่ายรูปยูเอฟโอเอาไว้ด้วย
ภาพยูเอฟโอที่แมคดิวิตต์ถ่ายไว้ (ขวาบน) ซึ่งเลือนรางมาก
ภาพถ่ายที่แมคดิวิตต์ถ่ายไว้เกิดก่อนที่เครื่องบิน C-119 หายไปเพียงแค่วันสองวันเท่านั้น
ไม่กี่ปีต่อมา ได้มีกลุ่มผู้สังเกตการณ์ยูเอฟโอได้กล่าวว่าบางที C-119 อาจจะถูกยูเอฟโอจากต่างดาวจับตัวไป
แต่แมคดิวิตต์ก็ได้ออกมาโต้แย้งว่า อย่าลืมว่ายูเอฟโอนั้นย่อมาจากวัตถุบินได้ที่ระบุไม่ได้ว่าคืออะไร (Unidentified flying object) ซึ่งไม่ได้หมายความแค่ยานของมนุษย์ต่างดาวเท่านั้น แต่คือทุกอย่างที่ลอยอยู่ในอวกาศนับพันนับหมื่นชิ้น อาจจะมีเศษจรวดที่ระเบิดตอนยานอวกาศได้ขับออก รวมถึงเศษดาวเทียมที่ชำรุดอีกด้วย ซึ่งทั้งหมดนี้คือ “ขยะอวกาศ”
แมคดิวิตต์กล่าวอีกว่าเขาไม่เคยพูดนะว่าเห็นยานอวกาศของมนุษย์ต่างดาว เขาเพียงแต่กล่าวว่าเขาเห็นอะไรบางอย่างที่ลอยอยู่กลางอวกาศ และเขาก็ไม่สามารถระบุได้ว่ามันคืออะไร
1
เจมส์ แมคดิวิตต์ (James McDivitt)
ทฤษฎีที่แปลกประหลาดกว่าเรื่องของยูเอฟโอคือทฤษฎีที่ว่าบางทีทั้งเรือและเครื่องบินอาจจะถูกดูดลงไปใต้ทะเล จมลงไปสู่แอตแลนติส ดินแดนที่สาปสูญ
แอตแลนติส (Atlantis) คือดินแดนในตำนานที่ยังพิสูจน์ไม่ได้ แต่มีการกล่าวถึงดินแดนแห่งนี้ในสื่อต่างๆ รวมถึงมีเรื่องเล่าขานเกี่ยวกับดินแดนนี้มาเป็นเวลานานนับพันปี
ตามตำนานนั้น แอตแลนติสคือดินแดนที่ทันสมัยมาก เป็นดินแดนที่ตั้งอยู่บนเกาะในมหาสมุทรแอตแลนติก ซึ่งต่อมา เกาะนี้ก็ได้จมลงสู่ก้นทะเล
เล่ากันมาว่าแอตแลนติสเป็นดินแดนที่มีวิทยาการล้ำหน้า มีทั้งยานพาหนะที่บินได้ มีไฟฟ้าใช้ และพวกเขาก็เชื่อว่าน่าจะมีการยิงลำแสงออกมาจากดินแดนแอตแลนติสและทำให้ทั้งเรือและเครื่องบินถูกดูดลงไป (หลุดโลกกว่ายูเอฟโออีก)
1
แอตแลนติส
แน่นอนว่าทฤษฎีนี้ไม่ค่อยมีคนเชื่อ เนื่องจากแอตแลนติสเองก็ยังพิสูจน์ไม่ได้เลยว่ามีอยู่จริง
นอกเหนือจากทฤษฎีเรื่องของยูเอฟโอกับแอตแลนติส ก็ยังมีทฤษฎีแปลกๆ อื่นๆ อีก เช่น สามเหลี่ยมเบอร์มิวด้าอาจจะมีสัตว์ประหลาดหรือเวทมนตร์บางอย่าง หรือบริเวณนี้อาจจะเป็นประตูเวลา ทำให้เครื่องบินและเรือทะลุประตูเวลา และไปโผล่ยังจุดอื่นในห้วงเวลาอื่น
และแน่นอนว่าทั้งหมดนั้นไม่ค่อยเป็นที่น่าเชื่อถือเท่าไรนัก
แล้วทฤษฎีอะไรที่พอจะเชื่อถือได้ล่ะ?
ได้มีชายคนหนึ่งให้ความสนใจเรื่องนี้และตัดสินใจที่จะค้นคว้าสืบสวนเรื่องของสามเหลี่ยมเบอร์มิวด้า และหาคำตอบให้ได้ว่าอะไรคือสาเหตุที่ทำให้ทั้งเครื่องบินและเรือหายไปอย่างปริศนา
ชายคนนั้นคือใคร และเขาจะค้นพบคำตอบหรือไม่
ติดตามต่อในตอนหน้านะครับ
โฆษณา