9 ธ.ค. 2019 เวลา 10:49 • การศึกษา
อยากได้ใจ…ต้องให้ก่อน คุณว่าจริงไหมครับ
จาก Part ที่สองเราได้เรียนรู้การอ่านภาษกายของอีกฝ่ายแล้ว ใน Part นี้เราจะมาติดอาวุธที่คุณสามารถชนะได้ทุกการสนทนา โดยมีคีย์เวิร์ดว่า อยากได้ใจต้องให้ก่อน
มากกว่าการให้ “ใจ” คือการให้ “เกียรติ”
.
การให้เกียรติถือได้ว่าเป็นพื้นฐานของทุกความสัมพันธ์(ทุกระดับ) คุณไม่สามารถชนะใจใครได้หากคุณไม่ให้เกียรติอีกฝ่ายหนึ่งเสียก่อน ในทางตรงกันข้าม หากอีกฝ่ายหนึ่งไม่ให้เกียรติคุณ มันคงทำให้คุณเกิดความรู้สึกด้านลบไม่น้อยเลยใช่ไหมครับ
.
ดังนั้น เมื่อคุณรู้อย่างนี้แล้ว จะแสดงออกถึงการให้เกียรติอย่างไรให้อีกฝ่ายรู้สึกสบายใจตั้งแต่ครั้งแรกพบ ในเมื่อฉันรู้แล้วว่าต้องใช้คำพูดแบบไหน แสดงออกอย่างไรให้เหมาะสมกับอีกฝ่าย ง่ายที่สุดคือคุณควรให้พื้นที่สบายกับอีกฝ่ายเสมอ
.
พื้นที่สบาย(Comfort Zone) เป็นสิ่งที่มีอยู่ในจิตใต้สำนึกของมนุษย์ทุกคน เป็นพื้นที่ที่เป็นส่วนบุคคลและสบายใจที่สุด น้อยคนนักที่จะสามารถเข้าไปแตะต้องได้ หากคุณนึกภาพไม่ออก คุณลองจินตนาการว่าคุณมีบ้านที่สวยงามตั้งอยู่บนที่ดินขนาดสองไร่ คุณมีความสุขดีกับครอบครัวที่แสนอบอุ่น แต่อยู่มาวันหนึ่งมีคนมาจอดรถขวางประตูรั่วบ้านคุณ...วันต่อมามีคนปีนเข้าบ้านคุณ...วันต่อมามีคนพยายามงัดบ้านคุณ...และวันต่อมามีคนเข้ามาในบ้านของคุณ ถ้าเหตุการณ์เกิดขึ้นจริง คุณคงจะหัวร้อนและเสียสติไม่น้อยเลย เพราะนั่นแสดงออกถึงการไม่ให้เกียรติคุณอย่างรุนแรง
.
ในการสนทนาเช่นเดียวกัน พึงระลึกไว้เสมอว่าทุกคนมีพื้นที่สบายเป็นของตัวเอง หากคุณจู่โจมหรือโจมตีอีกฝ่ายมากจนเกินไป รับรองได้เลยว่าคุณไม่ประสบผลสำเร็จแน่นอน แถมยังได้ความเกลียดขี้หน้ากลับบ้านมาด้วย หากคุณอยากเป็นผู้คุมเกมให้ชนะแบบม้วนเดียวจบ คุณควรจะมีการจู่โจมและการตั้งรับอย่างมีศิลปะดังคำแนะนำต่อไปนี้
.
ผมจะขอแบ่งพื้นที่สบายออกเป็น 2 ส่วนหลักๆ คือพื้นที่ภายนอก(Outer Zone) และพื้นที่ภายใน(Inner Zone)
1. พื้นที่ภายนอก(Outer zone) : คุณคงเคยต้องการพื้นที่ส่วนตัวในสถานการณ์ที่น่าอึดอัดเมื่อมีคนเข้าใกล้คุณมากเกินไปใช่ไหมครับ คนอื่นๆก็เช่นเดียวกัน คุณคงไม่ต้องการให้ใครรู้สึกว่าคุณรุกล้ำพื้นที่ของเขา ว่าแต่คุณทราบหรือไม่ครับว่า การให้พื้นที่กับอีกฝ่ายหนึ่งควรมีระยะห่างประมาณเท่าไหร่จึงจะสบายใจทั้งสองฝ่าย โดยแบ่งจะระดับความสัมพันธ์ 4 ระดับ
.
• ความสัมพันธ์ใกล้ชิดมาก : ในระดับความสัมพันธ์นี้คุณไม่มีความกังวลใดๆมากมาย เพราะเป็นความสัมพันธ์ที่สนิทมาก อาจต้องการความใกล้ชิดมากกว่าการเว้นระยะเสียด้วยซ้ำไป แต่อย่างไรก็ตามหากคุณต้องการพื้นที่ส่วนตัวเล็กๆกับอีกฝ่าย คุณควรเว้นระยะห่างสัก 15-45ซม. จะเป็นการดีที่ไม่ใกล้ชิดและห่างเหินจนเกินไป
• ความสัมพันธ์ทั่วไป : ในระดับความสัมพันธ์นี้อาจกล่าวถึงสมาชิกในครอบครัวหรือเพื่อนสนิท ระยะห่างประมาณ 45ซม. - 1.2 เมตร จะมากหรือน้อยสามารถแสดงถึงระดับความสัมพันธ์ได้ดีเลยทีเดียว
• ความสัมพันธ์ในระดับสังคม : ไม่ว่าจะเป็นเพื่อนร่วมงาน ลูกค้า หัวหน้า หรือบุคคลอื่นๆที่คุณเจอเป็นครั้งแรก การเว้นระยะห่างซัก 1-3 เมตรอาจช่วยให้ทั้งคุณและอีกฝ่ายสบายมากยิ่งขึ้นแล้วแต่อิริยาบถในขณะนั้น
• ระยะสาธารณะ : ไม่ว่าจะเป็นการพูดพรีเซ้นต์งานหน้าชั้นเรียน/ที่ทำงาน หรือพูดบนเวที การเว้นระยะห่างควรไม่ต่ำกว่า 3 เมตร หรือกล่าวอีกอย่างหนึ่งคือควรเว้นระยะ 3 เมตรขึ้นไป
ภาพตัวอย่ง
2. พื้นที่ภายใน(Inner zone) : อีกส่วนหนึ่งที่สำคัญมากๆสำหรับการสนทนาคือการให้พื้นที่สบายกับอีกฝ่ายหนึ่งบ้าง มันไม่ผิดหากคุณมีจุดมุ่งหมายในการสนทนา แต่ถ้าหากคุณเอาแต่เดินหน้าโดยไม่สนใจว่าอีกฝ่ายต้องการหรือไม่/ต้องการอะไร คุณจะไม่สามารถโน้มน้าวใจอีกฝ่ายได้เลย ไม่ว่าจะเป็นการสนทนาเพื่อง้อแฟนของคุณ หรือการขายงานให้กับลูกค้าก็ตาม
.
จากใน Part ที่สอง คุณได้เรียนรู้การจับอากัปกิริยาทั้งบวกและลบของฝ่ายตรงข้ามแล้ว หากคุณเริ่มรู้สึกถึงสัญญาณด้านลบบางอย่างจากอีกฝ่าย คุณควรเริ่มหาวิธีการประคองการสนทนาให้กลับมาอยู่ในระดับกลางหรือบวกจะดีที่สุด ซึ่งในการแก้ไขสถานการณ์เฉพาะหน้านั้นจะเป็นตัววัดระดับความสามารถในการสื่อสารของคุณได้เป็นอย่างดี
ภาพตัวอย่าง
สำหรับคีย์ในการควบคุม Inner zone มีอยู่ด้วยกัน 4 ข้อหลักๆที่อยากให้คุณลองปรับใช้กับตัวเองดู เพราะแต่ละคนจะมีเทคนิคไม่เหมือนกัน
.
• เบนความสนใจไปที่เรื่องอื่นโดยถามไถ่อีกฝ่าย : เหมือนเป็นการพักเบรคทั้งเราและอีกฝ่าย เปิดโอกาสให้เขาได้พูดในเรื่องที่เขาอยากพูดบ้าง อาจเป็นมุมเรื่องราวในชีวิตหรือความรู้สึกเล็กๆน้อยๆ ทำให้เรามีโอกาสได้รู้จักเขามากขึ้นไปโดยปริยาย คงไม่มีใครอยากฟังแต่เรื่องจริงจังตรงหน้าเพียงอย่างเดียวถูกไหมครับ
• เปิดใจเขาด้วยคำช่วยเหลือ : เราควรแสดงความช่วยเหลือแบบเนียนๆ ทั้งนอกเรื่องและในเรื่อง ยกตัวอย่างเช่น [สมมติสถานการณ์ว่าคุณนัดคุยกับลูกค้าในร้านอาหาร] คุณอาจแสดงน้ำใจช่วยเหลือเล็กๆน้อย “รับน้ำเปล่าเพิ่มไหมครับ/คะ” หรือคอยเช็คความเข้าใจในเนื้อหาของอีกฝ่าย “ตามทันไหมครับ/คะ”(หมายถึงเข้าใจไหม) นี่จะเป็นการแสดงออกถึงความใส่ใจรายละเอียดของคุณ
• แก้ไขสถานการณ์แบบตามน้ำ : คุณอาจต้องใช้ไหวพริบในการสังเกตอากัปกิริยาของอีกฝ่าย ยกตัวอย่างเช่น หากคุณเริ่มสังเกตว่าอีกฝ่ายเริ่มมองนาฬิกาหรือเริ่มสนใจสิ่งอื่นมากกว่าการสนทนาที่อยู่ตรงหน้า คุณควรเริ่มหาวิธีสรุปเนื้อหาที่ครบถ้วน/จุดสำคัญของเรื่องที่คุณกำลังพูดในกระชับมากขึ้น เหมือนเป็นการคัดน้ำออกเหลือแต่เนื้อล้วน และเพิ่มความน่าสนใจในการสนทนาด้วยการแสดงออกทางภาษากายมากขึ้น ประหนึ่งว่าคุณสร้างภาพเคลื่อนไหวให้อีกฝ่ายสนใจคุณมากขึ้น(หรือในภาษาที่เข้าใจง่ายๆคือ คุณแค่ต้องเล่นใหญ่กว่าปกติ) และมันได้ผลดีมากๆ
• คุณไม่จำเป็นที่จะต้องเพอร์เฟคขนาดนั้น : ความผิดพลาดเป็นเรื่องธรรมดาของการเป็นมนุษย์ พูดผิด…ลิ้นพัน…เสียงหลงบ้าง บางครั้งการให้อีกฝ่ายได้สัมผัสความเป็นมนุษย์ในจุดนี้ของคุณบ้างอาจทำให้เขารู้สึกสบายใจกว่าการที่คุณทำทุกอย่างอย่างสมบูรณ์แบบทุกระเบียบนิ้ว แต่มืออาชีพจะแก้ไขสถานการณ์ที่ผิดพลาดแบบนี้ไปในทิศทางไหนละ? ผมขอแนะนำให้คุณหยุดแสดงออกถึงความขาดความมั่นใจ แต่ให้หักมุมอารมณ์ไปเป็นความตลกขบขันแทน เพราะนอกจากคุณจะทำให้อีกฝ่ายไม่อารมณ์เสียแถมอารมณ์ดีแล้ว คุณยังดึงความมั่นใจกลับมาได้อย่างรวดเร็วอีกด้วย
.
และสุดท้าย หากคุณทำหน้าที่ของคุณอย่างสุดความสามารถแล้ว แต่อีกฝ่ายหนึ่งกลับไม่เปิดรับเรื่องราวของคุณ นั่นไม่ได้หมายความว่าคุณล้มเหลว เพียงแค่หัวใจของเขาและหัวใจของเราไม่ตรงกันเท่านั้นเอง อย่าเอาความผิดหวังนี้มาทำให้คุณหมดกำลังใจหากคุณทำมันอย่างยอดเยี่ยมแล้ว เพราะแม้แต่คนที่เก่งที่สุดก็ไม่สามารถโน้มน้าวใจทุกคนในโลกได้
ขอบคุณทุกท่านที่ติดตามอ่านจนจบและหวังว่าบทความนี้จะเป็นประโยชน์กับทุกท่าน
• คิดต่าง | พูดต่าง #thinktang •
โฆษณา