18 ธ.ค. 2019 เวลา 05:00 • ประวัติศาสตร์
“อับราฮัม ลินคอล์น (Abraham Lincoln) ประธานาธิบดีผู้เป็นที่รักของอเมริกันชน” ตอนที่ 3
1
ความพยายามในการเลิกทาส
อับราฮัมและแมรี่ได้คบหากันเรื่อยมาจนกระทั่งได้แต่งงานกันในวันที่ 4 พฤศจิกายน ค.ศ.1842 (พ.ศ.2385)
บนแหวนแต่งงานของแมรี่นั้น อับราฮัมได้สลักคำว่า
“รักนั้นเป็นนิรันดร์ (Love is eternal)”
ในช่วงแรก ทั้งคู่อาศัยอยู่ในโรงแรม แต่ต่อมาทั้งคู่ก็ได้ซื้อบ้านหลังหนึ่ง และอีกเก้าเดือนต่อมา ลูกคนแรกของทั้งคู่ “โรเบิร์ต ทอดด์ ลินคอล์น (Robert Todd Lincoln)” ก็ได้เกิดมาในวันที่ 1 สิงหาคม ค.ศ.1843 (พ.ศ.2386) และอีกสามปีต่อมา ค.ศ.1846 (พ.ศ.2389) “เอ็ดเวิร์ด ลินคอล์น (Edward Baker Lincoln)” ก็ได้เกิดมา ตามมาด้วย “วิลเลี่ยม (William Wallace Lincoln)” และ “โทมัส (Thomas "Tad" Lincoln)”
โรเบิร์ต ทอดด์ ลินคอล์น (Robert Todd Lincoln)
เอ็ดเวิร์ด ลินคอล์น (Edward Baker Lincoln)
วิลเลี่ยม (William Wallace Lincoln)
โทมัส (Thomas "Tad" Lincoln)
ทั้งอับราฮัมและแมรี่นั้นค่อนข้างจะตามใจลูก เมื่ออับราฮัมพาลูกๆ มาที่ออฟฟิศ ลูกๆ ต่างก็วิ่งวุ่นไปทั่ว ทั้งเตะถังขยะ เทหมึก กระโดดเล่นบนกองเอกสาร
เพื่อนของอับราฮัมเคยกล่าวว่าบางครั้งอับราฮัมเองก็อยากจะหักคอพวกเด็กๆ เนื่องจากความซนของพวกเขา
ค.ศ.1841 (พ.ศ.2384) ภายหลังทำงานอยู่ในสภานิติบัญญัติแห่งชาติมาเป็นเวลาหกปี อับราฮัมก็คิดว่าถึงเวลาที่จะต้องทำอะไรที่ยิ่งใหญ่กว่าเดิม
เขาอยากจะเป็นแคนดิเดตของพรรควิกในการเข้าไปชิงตำแหน่งในสภาผู้แทนราษฎร
แต่พรรควิกไม่เลือกอับราฮัม กลับไปเลือกคนอื่น แต่ถึงอย่างนั้น อับราฮัมก็ทำเต็มที่เพื่อให้คู่แข่งในพรรคเดียวกันของเขาชนะ โดยหวังว่าหากแคนดิเดตที่พรรควิกเลือกได้ตำแหน่ง ตัวเขาเองก็จะมีโอกาสได้รับเลือกในครั้งต่อไป
แผนการของอับราฮัมนั้นประสบความสำเร็จ ในค.ศ.1846 (พ.ศ.2389) อับราฮัมได้รับเลือกเป็นส.ส.จากอิลลินอยส์ และได้ย้ายไปยังวอชิงตัน ดีซี
การได้เป็นส.ส. ทำให้อับราฮัมได้มีส่วนในการบริหารจัดการปัญหาระดับชาติ ไม่ใช่แค่เพียงในรัฐของตนเองต่อไป
แมรี่และลูกๆ ได้ตามอับราฮัมมายังวอชิงตัน ดีซีด้วย แต่ลูกๆ ของอับราฮัมนั้นทำตัวไม่ดี อับราฮัมจึงส่งลูกๆ ไปที่อื่น และอับราฮัมก็ยุ่งเกินกว่าจะคิดถึงลูก เขาทำงานหนักมาก เขาแทบไม่เคยขาดการประชุมสภา เขากล่าวสปีชเยอะมาก
แต่ถึงอย่างนั้น เขาก็ยังคงไม่ได้ทำอะไรที่สำคัญนัก และเขาก็ยังไม่ได้เป็นที่รู้จักในวงกว้าง
ภายหลังจากหมดวาระสองสมัย อับราฮัมก็ได้คิดว่าตนเองนั้นล้มเหลว เขาไม่สามารถทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่ให้แก่ชาติ เขาจึงตัดสินใจกลับบ้าน
ภายหลังจากกลับบ้าน อับราฮัมใช้เวลาหกปีศึกษากฎหมาย และเขาก็ตัดสินใจที่จะไม่ยุ่งเกี่ยวกับการเมืองอีก
ต่อมาในปีค.ศ.1854 (พ.ศ.2397) พระราชบัญญัติแคนซัส - เนบราสกาประจำปี 1854 (Kansas–Nebraska Act of 1854) ได้มีผลบังคับใช้
ที่ผ่านมานั้น เรื่องของ “ทาส” เป็นปัญหาที่มีการถกเถียงมาเป็นเวลานาน
“ทาส” ควรจะเป็นสิ่งที่ถูกกฎหมายหรือไม่? หากถูกกฎหมาย จะกำหนดให้ที่ไหนสามารถมีทาสได้
ค.ศ.1820 (พ.ศ.2363) มิสซูรี่ได้กลายเป็นรัฐๆ หนึ่ง และการถือครองทาสก็เป็นสิ่งที่ถูกกฎหมายที่นั่น
ในเวลานั้น รัฐสภาได้ประกาศว่ามิสซูรี่นั้นเป็นรัฐที่อยู่เหนือสุดที่การถือครองทาสนั้นถูกกฎหมาย รัฐที่เหนือกว่านั้นไม่ได้ จะมีการถือครองทาสไม่ได้
แต่ในปีค.ศ.1854 (พ.ศ.2397) รัฐสภาก็ได้เปลี่ยนใจ พระราชบัญญัติแคนซัส - เนบราสกาประจำปี 1854 ได้มีผลบังคับใช้ และเนื้อความนั้นก็ครอบคลุมรัฐที่อยู่เหนือมิสซูรี่
รัฐสภาได้บอกว่ารัฐที่อยู่เหนือมิสซูรี่ก็สามารถถือครองทาสได้หากต้องการ
ร่างพระราชบัญญัติแคนซัส - เนบราสกาประจำปี 1854 (Kansas–Nebraska Act of 1854)
พอรัฐสภาพูดอย่างนี้ เหล่าผู้ล้มเลิก ซึ่งเป็นกลุ่มคนที่ต่อต้านการถือครองทาส (อ่านเรื่องนี้ได้ในซีรีย์ทางรถไฟใต้ดินที่ผมเคยเขียนไว้นะครับ) ต่างก็ไม่พอใจที่รัฐสภากลับกลอก
อับราฮัมเองก็ไม่พอใจ ถึงแม้ว่าเขาจะไม่ได้เป็นผู้ล้มเลิก แต่เขาก็เป็นคนหนึ่งที่เกลียดการถือครองทาส
แต่อับราฮัมก็คิดได้ว่าหากรัฐธรรมนูญกำหนดให้การถือครองทาสเป็นเรื่องที่ถูกกฎหมาย และหากรัฐสภาพยายามจะบังคับให้ผู้ถือครองทาสปลดปล่อยทาส
เรื่องนี้อาจจะกลายเป็นความขัดแย้งซึ่งอาจจะเกิดสงครามตามมา
ด้วยเหตุนี้ ถึงแม้ว่าอับราฮัมจะไม่เห็นด้วยกับการมีทาส แต่เขาก็ได้ให้การสนับสนุนสิทธิตามกฎหมายแก่เหล่าผู้ถือครองทาส
อับราฮัมคิดจะให้การถือครองทาสนั้นถูกยกเลิกไปโดยวิธีอื่น เขาคิดว่าการถือครองทาสควรจะมีเฉพาะในรัฐที่กฎหมายอนุญาตตั้งแต่แรก แต่ไม่ควรจะมีการอนุญาตในพื้นที่หรือรัฐใหม่ๆ
หากเป็นอย่างนี้ ในไม่ช้า การถือครองทาสก็จะค่อยๆ หมดไป ผู้คนก็จะเห็นว่าการมีทาสเป็นสิ่งที่เลวร้าย และการถือครองทาสก็จะหมดไปโดยไม่มีความรุนแรง
สำหรับอับราฮัม พระราชบัญญัติแคนซัส - เนบราสกาประจำปี 1854 เป็นสิ่งที่เลวร้าย รัฐสภากำลังขยายขอบเขตของทาสให้กว้างยิ่งขึ้น
อับราฮัมตัดสินใจกลับเข้าสู่การเมืองอีกครั้ง
ผู้ที่มีส่วนรับผิดชอบในพระราชบัญญัติแคนซัส - เนบราสกาประจำปี 1854 คือ “สตีเฟ่น ดักลาส (Stephen Douglas)” ส.ว.จากอิลลินอยส์
สตีเฟ่น ดักลาส (Stephen Douglas)
อับราฮัมและดักลาสนั้นเป็นคู่แข่งกันมาเป็นเวลานาน โดยในตอนนั้น ดักลาสนั้นมีชื่อเสียงแล้ว ในขณะที่อับราฮัมยังไม่เป็นที่รู้จัก
และตอนนี้อับราฮัมก็ต้องการจะท้าแข่งกับดักลาสและต้องการชนะ
แต่ดักลาสนั้นปฏิเสธที่จะอภิปราย อับราฮัมจึงตามไปยังเวทีที่ดักลาสได้ขึ้นกล่าวสปีชต่อผู้คนในสปริงฟิลด์
ดักลาสได้ปกป้องพระราชบัญญัติแคนซัส - เนบราสกาประจำปี 1854
ดักลาสกล่าวว่าผู้คนทั่วสหรัฐอเมริกามีสิทธิที่จะตัดสินใจได้ว่าจะถูกปกครองอย่างไร ซึ่งนั่นหมายความว่าแต่ละรัฐนั้นมีสิทธิที่จะตัดสินใจได้ว่าจะยอมรับการถือครองทาสหรือไม่
เมื่อดักลาสพูดจบ อับราฮัมก็ได้ตะโกนขึ้นมาว่าพรุ่งนี้เขาจะอธิบายให้ฟังว่าดักลาสนั้นพูดผิดยังไงบ้าง
วันต่อมา ฝูงชนมาชุมนุมกันเพื่อชมอับราฮัมพูดสปีช
อับราฮัมใช้เวลาพูดกว่าสามชั่วโมง โดยอับราฮัมกล่าวว่าคำพูดของดักลาสนั้นจะถูกต้องก็ต่อเมื่อเราไม่คิดว่าคนดำนั้นเป็นมนุษย์
อับราฮัมกล่าวว่าคนดำควรจะมีสิทธิในการตัดสินใจที่จะดำเนินชีวิตของตนเองเช่นเดียวกับคนขาว
อับราฮัมกล่าวอีกว่าสหรัฐอเมริกาได้ถูกก่อตั้งโดยมีความเชื่อว่า “ไม่มีใครที่ดีพอจะปกครองบุคคลอื่นได้ หากบุคคลนั้นไม่ยินยอม” และก็ไม่เกี่ยวด้วยว่าบุคคลนั้นผิวสีอะไร
สปีชของอับราฮัมทำให้เขามีชื่อเสียง และในปีค.ศ.1854 (พ.ศ.2397) อับราฮัมก็ได้ตัดสินใจลงสมัครเลือกตั้งส.ว. โดยเขานั้นเกือบจะได้แล้ว แต่ก็ไม่ได้รับเลือกตั้ง
ในขณะเดียวกัน หัวข้อปัญหาต่างๆ ก็ได้ทยอยออกมาเรื่อยๆ แต่เรื่องที่เด่นและเป็นที่จับตามองมากที่สุดคือเรื่องของการถือครองทาส
พรรคการเมืองต่างก็เริ่มจะขัดแย้งกันโดยมีจุดเริ่มต้นมาจากพระราชบัญญัติแคนซัส - เนบราสกาประจำปี 1854 พรรควิกเองก็เริ่มจะมีความเห็นที่ต่างกันออกไป
ได้มีพรรคการเมืองใหม่ได้ก่อตั้งขึ้นมาโดยมีจุดประสงค์เพื่อต่อต้านการมีทาส โดยอับราฮัม ซึ่งที่ผ่านมาเป็นสมาชิกคนสำคัญของพรรควิก ในเวลานี้ได้กลายเป็นหัวหน้าพรรคใหม่นี้
1
นั่นคือพรรค “รีพับลิกัน (Republican)”
1
แคนดิเดตประธานาธิบดีคนแรกของพรรคคือนักสำรวจและนายทหารชื่อ “จอห์น ซี เฟรมอนต์ (John C. Frémont)”
จอห์น ซี เฟรมอนต์ (John C. Frémont)
แต่เฟรมอนต์นั้นแพ้ และ “เจมส์ บูแคนัน (James Buchanan)” ซึ่งเป็นผู้สนับสนุนการถือครองทาสได้เป็นประธานาธิบดี
เจมส์ บูแคนัน (James Buchanan)
อับราฮัมไม่ยอมแพ้ เขาท้าชิงตำแหน่งในวุฒิสภาต่อดักลาส โดยพรรครีพับลิกันก็ได้ส่งเขาลงชิงตำแหน่งในทันที
อับราฮัมกล่าวว่าสหรัฐอเมริกานั้นจะดำเนินต่อไปโดยมีทั้งรัฐที่มีทาสและรัฐที่ไม่มีทาส จะครึ่งๆ กลางๆ อย่างนี้ต่อไปไม่ได้
การถือครองทาสต้องหมดไป หรือไม่อย่างนั้นการถือครองทาสก็จะแพร่กระจายไปทั่วประเทศ หรือประเทศอาจจะต้องล่มสลาย
อับราฮัมได้ท้าอภิปรายต่อดักลาสอีกครั้งหนึ่ง และคราวนี้ดักลาสก็ต้องยอมรับคำท้า
เหตุการณ์เริ่มเข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ ศึกนี้จะเป็นอย่างไรต่อไป อับราฮัมจะเข้าถึงใจคนจำนวนมากได้อย่างไร
ติดตามต่อในตอนหน้านะครับ
โฆษณา