21 ธ.ค. 2019 เวลา 07:33 • กีฬา
นุชิต ตันศรีสกุล : หนุ่มไทยที่คลั่งไคล้รองเท้า AIR JORDAN และสะสมไว้มากกว่า 500 คู่
หากเรากล่าวถึงบทบาทของ “นักกีฬา” ปฏิเสธไม่ได้ว่าหน้าที่ของพวกเขาคือการเล่นกีฬา แต่ด้วยอิทธิพลของสื่อ นักกีฬาไม่ได้เป็นเพียงแค่ ผู้เล่นในสนามแข่งขัน แต่เป็นต้นแบบและแรงบันดาลใจ ให้กับใครอีกหลายคน
ถ้าพูดถึงวงการบาสเกตบอล หนึ่งในนักบาสที่มีแฟนติดตามมากที่สุด คือไมเคิล จอร์แดน (Michael Jordan
) อดีตแชมป์บาสเกตบอลลีก NBA 6 สมัย ผู้เป็นต้นแบบให้กับคนรักกีฬายัดห่วงทั่วโลก ทั้งเรื่องในและนอกสนามแข่งขัน
หากพูดถึงเรื่องราวนอกสนาม สิ่งหนึ่งที่ไมเคิล จอร์แดนสร้างเอาไว้ คือรองเท้ารุ่น Air Jordan (แอร์ จอร์แดน) ที่เขาร่วมทำกับบริษัท Nike (ไนกี้) ด้วยชื่อเสียงของจอร์แดน ทำให้แฟนบาสจำนวนมาก ติดตามคอยซื้อรองเท้ารุ่นนี้ เป็นของสะสม จนกลายเป็นรุ่นรองเท้าระดับตำนานในปัจจุบัน
นุชิต ตันศรีสกุล คือชายหนุ่มจากประเทศไทย เขาเป็นอีกคนที่หลงรักในกีฬาบาสเกตบอล รวมถึงมีไมเคิล จอร์แดน เป็นฮีโร่ในดวงใจ
และไมเคิล จอร์แดน เป็นเหมือนผู้นำพาให้เขาได้มาพบกับ สิ่งที่เขารักในชีวิต จนเขายอมเสียเงินระดับ 7 หลัก เพื่อซื้อสิ่งของชิ้นนี้มาสะสม...รองเท้ารุ่น “Air Jordan”
ต้นแบบชื่อ ไมเคิล จอร์แดน
“กีฬา” สำหรับหลายคนคือพลังงานในด้านบวก ความชอบในการเล่นหรือชมกีฬา มาจากความชอบในตัวนักกีฬา หรือทีมกีฬา ที่โดนใจเรา หรือจะเป็นการเล่นเพื่อสุขภาพร่างกายที่ดี รวมถึงความสนุกจากการเล่นกีฬา
แต่สำหรับ นุชิต ตันศรีสกุล จุดเริ่มต้นความรักในกีฬาบาสเกตบอลของเขา ไม่ได้มาจากพลังด้านบวก แต่มาจากคำดูถูก คำล้อเลียน ที่เป็นพลังงานในด้านลบ
“ตอนนั้นผมอยู่ประมาณชั้นม.2 ที่โรงเรียนเขาสอนให้เล่นบาสเกตบอล ซึ่งก่อนหน้านี้ผมก็ไม่เคยสนใจกีฬาบาสเกตบอล เวลาผมเล่นบาส เลี้ยงบาส ชู้ตบาส ผมทำได้แย่มาก แย่กว่าผู้หญิงอีก” นุชิตเริ่มเล่าเรื่องราวของเขา
“ผมก็โดนเพื่อนล้อ พอโดนล้อมากๆ ผมจึงซื้อแป้นบาสมาไว้ที่บ้าน เลิกเรียน 4 โมงเย็น ผมกลับบ้านเลย จากนั้น 5 โมงเย็นถึง 2 ทุ่ม ผมซ้อมเล่นบาสทุกวัน ซ้อมชู้ต ซ้อมเลี้ยงบ้าง โยนลูกบาสอัดกับกำแพงบ้าง บางทีก็ปล่อยสุนัขมาวิ่งไล่ ให้ผมเลี้ยงลูกบาสหลบ”
“ผมทำอยู่แบบนี้ ประมาณ 6 เดือน จนสุดท้ายเรื่องนี้กลายเป็น จุดเริ่มต้นที่ทำให้ผมชอบกีฬาบาสเกตบอล”
จากกีฬาที่ทำให้ถูกเพื่อล้อ กลายเป็นกีฬาในดวงใจ...นุชิตเริ่มติดตามบาสเกตบอลให้มากขึ้น เขาแผ่ขยายความรัก สู่การเป็นคนดูกีฬา ด้วยการติดตามลีกบาสเกตบอล อันดับหนึ่งของโลก อย่าง NBA
“สำหรับ NBA ตอนนั้น ผมดูแทบทุกนัด ดูแทบทุกวัน ดูจนติด ซึ่งในช่วงที่ผมดู ไมเคิล จอร์แดน เขาเล่นอยู่ ผมรู้สึกว่า เขาเป็นคนที่เก่ง เป็นคนที่เท่มาก”
“ตอนผมเรียนมัธยม หลังจากผมเริ่มชอบบาส ผมก็เล่นบาสมาตลอด เล่นจนได้เป็นนักกีฬาของโรงเรียน สำหรับผม ไมเคิล จอร์แดน เขาเป็นเหมือนไอดอลในการเล่นบาสของผมเลย”
“แต่ย้อนกลับไปตอนนั้น ผมไม่เคยคิดจะสะสมรองเท้าบาสเลยนะ ผมมีรองเท้าบาสอยู่แค่คู่เดียวคือ Air Jordan 11 ‘Bred’ ซึ่งผมซื้อคู่นี้คู่เดียว ก็เพราะว่าตอนนั้น ไมเคิล จอร์แดน ใส่รองเท้ารุ่นนี้อยู่ และผมก็ซื้อตาม แค่นั้นเลย”
“สำหรับเด็กมัธยม จะซื้อเสื้อบาสหรือรองเท้าบาส เงินระดับนั้นสำหรับก็ถือว่าแพงนะ ตอนนั้นผมมีรองเท้าบาส Air Jordan คู่หนึ่ง กับเสื้อบาสของไมเคิล จอร์แดน อีกตัว ก็ถือว่าเป็นความรู้สึกที่สุดยอดมากแล้ว”
ตามหาความชอบที่แท้จริง
ในช่วงชีวิตวัยมัธยม บาสเกตบอล และไมเคิล จอร์แดน เปรียบเสมือนชีวิตของนุชิต อย่างไรก็ตามเมื่อก้าวข้ามผ่านสู่อีกวัย ความสนใจในสิ่งต่างๆ ได้ปรับเปลี่ยนตามอายุที่มากขึ้น…
ด้วยวัยที่เปลี่ยนไป บวกกับยุคสมัยของไมเคิล จอร์แดน ที่จบลงอาชีพนักกีฬาบาส นุชิตจึงหันไปให้ความสนใจ กับสิ่งอื่นแทนที่กีฬายัดห่วง
บีบี-กัน และรถมอเตอร์ไซด์ คือสิ่งที่นุชิตหันไปให้ความสนใจ กระนั้นด้วยอายุที่เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ความชอบของนุชิตได้วนกลับมา ที่กีฬาบาสเกตบอลอีกครั้ง แม้เขาจะไม่ได้ตั้งใจก็ตาม
“ก่อนหน้านี้ ตอนผมทำงานประจำ ผมทำงานให้กับพวกบริษัทเครื่องแต่งกายแฟชั่น พวกเสื้อผ้า นาฬิกา รองเท้า ผมก็ซึมซับเรื่องแฟชั่นเข้ามา โดยไม่รู้ตัว”
“พอออกจากงานประจำ ผมสามารถแต่งตัวแบบไหนก็ได้ และผมอยากแต่งตัวแบบที่เป็นตัวของตัวเอง แตกต่างไม่ต้องไปซ้ำใคร ความหมายของการแต่งตัว สำหรับผมมันคือการแสดงออกตัวเราเอง”
“ด้วยความที่ผมชอบไมเคิล จอร์แดน มันทำให้ผมชอบรองเท้ารุ่น Air Jordan เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ดังนั้นถ้าผมจะแต่งตัว จะสะสมรองเท้า ก็ต้องเป็น Air Jordan”
“ผมมองว่ารองเท้าคือเครื่องแต่งกายที่เราน่าลงทุน หมายถึงน่าซื้อของแพงมาใช้ เราใส่ได้ทุกวัน ถ้าเราซื้อเสื้อราคาแพงมา เราคงใส่ไม่ได้ทุกวัน ส่วนกางเกงผมว่าก็ใส่ได้ไม่บ่อยเท่ารองเท้า ผมเชื่อว่าถ้าคนอยากแต่งตัว และอยากได้ไอเท็มที่ดูดี หลายคนจะเลือกลงทุนกับรองเท้า”
สำหรับการแต่งตัว ไม่ว่าใครจะเลือกเน้นไปที่เครื่องแต่งกายชิ้นไหน แต่สำหรับนุชิต เขารู้ดีว่า รองเท้าคือสิ่งเดียวที่เขาต้องการ และเพียงปีแรกที่เขาเริ่มสะสม เขาซื้อรองเท้าไปทั้งหมด 100 คู่
“ผมซื้อเยอะมากตอนนั้น ซื้อสะเปะสะปะด้วย ผมเดินห้าง เจอรองเท้าคู่หนึ่ง ถ้าผมรู้สึกว่าสวย ผมซื้อเลย คู่นี้สวย ผมซื้อ คู่นั้นสวย ผมซื้อ” นุชิตเล่าถึงแนวทางการซื้อรองเท้าของเขาในอดีต
สิ่งที่ควรระวัง คือการแยกให้ออก ระหว่างความชอบกับความหลง...แม้จะมีรองเท้า 100 คู่ รองเท้าวางเรียงรายอยู่เต็มบ้าน นุชิตกลับไม่สามารถหาความหมายของการสะสมรองเท้า และเขาไม่รู้ว่าตัวเองสะสมเพื่อสิ่งใดกันแน่
“ตอนผมเริ่มสะสม ผมคิดแค่ว่า ผมอยากมีรองเท้าเยอะๆ อยากมีรองเท้ามาวางเรียงกันให้เต็มบ้าน เพราะตอนนั้นผมคิดแค่ว่า การมีรองเท้าวางเต็มบ้าน มันคือเท่อะ สำหรับเรา”
“แต่พอเรามานั่ง แล้วย้อนกลับไปมองว่า เราซื้อรองเท้าแต่ละคู่เพราะอะไร ผมพบว่าผมซื้อรองเท้าพวกนั้น เพราะแค่ความสวย แต่ไม่เคยรู้เลยว่า รองเท้ารุ่นที่เราซื้อ มันเป็นอย่างไร มีประวัติมีความเป็นมาอย่างไร ใส่สบายไหม ไม่เคยรู้”
“ผมมองตัวเองในตอนนั้นว่า ยังไม่ใช่คนที่ชอบ คนที่รู้จักรองเท้าจริงๆ หลังจากนั้น ผมจึงค่อยๆขายพวกรองเท้าที่ผมซื้อมา เพราะแค่สวยแต่ไม่มีอะไร”
“รองเท้าส่วนใหญ่ที่ผมเก็บไว้ จะเป็น Air Jordan เพราะผมรู้ว่า ผมสะสมเพราะอะไร ผมสะสมเพราะผมชอบ ไมเคิล จอร์แดน”
บ้าหรือเปล่า?
เป็นระยะเวลากว่า 5 ปี นุชิต ตันศรีสกุล ทุ่มชีวิตไปกับการสะสมรองเท้า ปัจจุบันเขามีรองเท้าอยู่ในคลังส่วนตัวร่วม 500 คู่ แน่นอนว่ารองเท้ารุ่นที่เขามีมากที่สุด คือ Air Jordan
“ผมมี Air Jordan อย่างเดียวประมาณ 200 คู่ ผมซื้อเก็บเรื่อยๆ เก็บตลอด เพราะนี่คือรุ่นที่ผมชอบ แต่ช่วงที่ผมสะสม หลายคนเขาก็บอกผมนะว่า ‘บ้าหรือเปล่า สะสม Air Jordan’”
Air Jordan อาจเป็นรุ่นรองเท้าระดับตำนาน ที่โด่งดังมายาวนาน แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่าในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา วงการรองเท้าตกอยู่ภายใต้กระแสของแบรนด์ Adidas (อาดิดาส) ที่ส่งทั้งรุ่น NMD (เอ็นเอ็มดี) และ Yeezy (ยีซี) ออกมาตีตลาดจนแตกกระจาย ใส่กันทั่วโลกอยู่พักใหญ่ๆ
ทำให้การสะสม Air Jordan ของนุชิต คือพฤติกรรมที่สวนกระแส คนสะสมรองเท้าอยู่ไม่น้อย ในช่วงเวลานั้น
“ช่วงนั้น Air Jordan กระแสตกมาก ไม่มีใครสนใจเลย แต่ผมก็ไม่รู้จะซื้อ Yeezy ทำไม เพราะผมไม่ได้ชอบ Yeezy แต่ว่าตอนนั้น ผมโดนคนพูดใส่เยอะมากว่า ‘ผมซื้อ Air Jordan เพราะผมไม่มีเงินซื้อ Yeezy’”
“ผมเลยใช้เวลาเดือนเดียว ซื้อ Yeezy มาวางเรียงกัน 8 คู่ ในเดือนเดียว แต่ผมไม่ใส่นะ (หัวเราะ) ผมใส่ Air Jordan เหมือนเดิม แต่ผมซื้อเพราะผมมองว่า รองเท้ามันคือความชอบของแต่ละคน ไม่ใช่เรื่องที่จะมาดูถูกกัน ว่าคนนี้มีเงินหรือไม่มีเงินซื้อ”
“ผมชอบ Air Jordan เพราะผมชอบไมเคิล จอร์แดน และผมก็ชอบในความสวย ความคลาสสิคของรุ่น ที่ยังคงรูปแบบเดิมไว้ ตั้งแต่ปี 1985 โดยเฉพาะรุ่น Air Jordan 1 มันเป็นเรื่องของความรู้สึกทางใจ ผมซื้อแล้วผมมีความสุข”
“บ้าหรือเปล่า” คือคำพูดที่ลอยเข้าหูของนุชิตอยู่บ่อยครั้ง จากการที่เขาเสียเงินระดับ 7 หลัก เพียงเพื่อซื้อรองเท้า 500 คู่ มาเก็บไว้ที่บ้าน สำหรับใครหลายคน การจับจ่ายใช้เงินของนุชิต ดูเป็นอะไรที่ไม่เข้าท่าแม้แต่น้อย
“หลายคนก็มาถามผมว่า ‘มึงมี 2 เท้า มึงจะมีรองเท้าเป็นร้อยคู่ทำไม’ ผมก็ไม่ได้คิดอะไร เพราะผมรู้ว่า การบ้ารองเท้า มันคือความสุขของผม ผมไม่สนว่าคนจะมาตีค่าผมอย่างไร”
“ผมสะสมเพราะผมชอบ ก็เท่านั้นเอง ต่อให้ผมสะสมรองเท้า ผมเสียเงินมากมายมหาศาล แต่ผมได้ความสุขกลับมาแล้ว”
“ยกตัวอย่างประมาณเกือบ 2 ปีที่แล้ว มีรุ่นน้องมาเสนอขายรองเท้ารุ่น Air Jordan 1 Chicago ‘off White’ ให้กับผม ราคาป้ายประมาณ 5,000 บาท มือสองเขาขายให้ผม 45,000 บาท”
“แพงนะ 45,000 ผมซื้อรองเท้ารุ่นอื่นได้ประมาณ 3 คู่ แต่ผมก็ถามตัวเองว่า ผมอยากได้ไหม ซึ่งผมก็อยากได้ เพราะ Air Jordan 1 ผมซื้อทุกรุ่น และตัวนี้มันคือที่สุดแล้ว ผมก็ตัดสินใจซื้อไป 45,000”
“เหมือนเดิม หลายคนก็มารุมด่าผม ‘ซื้อไปได้ไง บ้าหรือเปล่า’ แต่พอปัจจุบัน ราคารองเท้ารุ่นนี้ 130,000 บาท หลายคนบอก รู้แบบนี้ซื้อรุ่นนี้ตั้งแต่ตอนนั้นดีกว่า”
“ผมชอบรองเท้า ผมซื้อเพราะผมอยากได้ และผมก็เอามาใส่ ไม่ได้เอามาตั้งโชว์ อย่างตัว Air Jordan 1 Chicago ‘off White’ ผมใส่จนพังไปแล้วคู่หนึ่ง”
“ผมคิดว่า คนบ้าๆแบบนี้มีเยอะนะ ที่ไทยนี่แหละเยอะเลย (หัวเราะ) หลายคนยอมทนเก็บเงิน นั่งรถเมล์ประหยัดเงิน เพื่อเอาเงินมาซื้อรองเท้า เพราะมันคือความสุขของเขา ความสุขทางใจ”
สู่ธุรกิจของคนรักรองเท้า
จากการเป็นคนเก็บสะสมรองเท้ารุ่น Air Jordan เส้นทางการสะสมรองเท้า ได้พานุชิตไปพบเจอกับเส้นทางใหม่ ของการสะสมรองเท้า ซึ่งเป็นเส้นทางที่ทำให้เขา รู้สึกชอบในการสะสมรองเท้ามากขึ้นไปกว่าเดิม
“หลังจากผมสะสมรองเท้ามาได้ 3 ปี ผมรู้สึกเหมือนเจอทางตัน เรามีทุกอย่างที่เราอยากจะมี จนทำให้ผมมานั่งถามตัวเองว่า เราจะสะสมรองเท้าต่อไปเพื่ออะไร”
“จากนั้นผมก็ไปดูตามสื่อต่างประเทศ จนกระทั่งเจอว่าต่างประเทศเขามีการทำรองเท้าแบบ Custom (สร้างรองเท้าที่มีลวดลายเฉพาะของตัวเอง) ผมรู้สึกว่า แบบนี้มันใช่ ผมรู้สึกตื่นเต้นมาก อยากมีรองเท้า Custom เป็นของตัวเอง”
“การทำ Custom รองเท้าจะมี 2 แบบคือเพนท์กับตัดเย็บ ตอนแรกผมก็ไปจ้างให้เขาเพนท์ก่อน แต่พอได้มา ผมรู้สึกว่า ผมอยากได้แบบตัดเย็บมากกว่า เพราะผมมองว่าแบบนั้น จะทำให้รองเท้าของเรามีเสน่ห์มากขึ้น”
อย่างไรก็ตาม ด้วยข้อจำกัดของวงการรองเท้า Custom ในเมืองไทย ทำให้การทำรองเท้าขึ้นมาใหม่ ด้วยการตัดเย็บเป็นเรื่องยาก หรือหากจะส่งรองเท้าไปทำที่ต่างประเทศ แค่เฉพาะค่าแรงของช่างทำรองเท้า ก็มีราคาระดับหลักหมื่น...จากข้อจำกัดที่ว่ามา ทำให้นุชิตไม่มีทางเลือก หากเขาอยากได้รองเท้าแบบใหม่ ที่แตกต่างไม่เหมือนใคร เขาต้องทำมันด้วยตัวเอง
“ตอนผมเริ่มทำ ผมเสียรองเท้าไป 10 คู่ รองเท้าผม เงินผมล้วนๆเลย แต่ผมไม่เคยท้อนะ ผมอยากทำมันให้ได้ จนตอนนี้ผมทำเองจนเป็นหมดทุกอย่าง หัดทำเองจนเป็น จนถึงตอนนี้เป็น 100 คู่แล้ว ที่ผมได้ทำ Custom รองเท้า ด้วยการตัดเย็บ”
Shoepreme คือเพจเฟซบุคเล็กๆ ที่นุชิตเปิดขึ้นมา เพื่อให้บริการในการทำ Custom รองเท้าด้วยการตัดเย็บ สำหรับคนรักรองเท้า เหมือนกันกับเขา และในตอนนี้เพจของเขามีคนกดถูกใจกว่า 16,000 คน
“ผมมีแพชชั่น ผมชอบในการทำ Custom รองเท้า ผมเลยเปิดเพจขึ้นมา เพราะผมคิดว่าทุกคนจะเข้าถึงมันได้ และการได้ทำ Custom รองเท้า มันทำให้ผมได้พบกับความสุขแบบใหม่ ในการเก็บรองเท้า ผมมีความสุขตอนที่ได้ทำ และผมมีความสุขตอนที่ได้ใส่ ได้ใส่รองเท้าที่ไม่เหมือนใคร”
ความสุขของแต่ละคนไม่เหมือนกัน หากแต่ใครที่รู้ตัว ว่าความสุขของตัวเองอยู่ตรงไหน ชีวิตที่เปี่ยมด้วยความสุข ไม่ใช่ชีวิตที่ห่างไกลจากคนผู้นั้น...สำหรับนุชิต เขาได้พบกับความสุขของตัวเอง มีงานเสริมเล็กๆ ที่เขาทำไปพร้อมกับสิ่งที่เขารักได้ ซึ่งเขาบอกกับเราว่า ทุกครั้งที่เขาตัดเย็บรองเท้าให้กับลูกค้า เขาไม่รู้สึกเหมือนกับว่า ตัวเองกำลังทำงานแม้แต่ครั้งเดียว
“เวลาทำงาน ผมก็จะมานั่งทำในห้องนี้ (ห้องเก็บรองเท้า) ผมได้นั่งมอง ได้จับ ได้เห็นรองเท้าที่วางเรียงอยู่ มันก็มีความสุขแล้วครับ”
“สุดท้ายผมมองว่า ปลายทางของการสะสมรองเท้า คือความสุข ทุกครั้งที่ผมอยู่กับมัน ได้ดู ได้ซื้อ ได้ใส่ มันคือความสุขของผม” นุชิตกล่าวทิ้งท้าย
บทความโดย ณัฐนนท์ จันทร์ขวาง
โฆษณา