23 ธ.ค. 2019 เวลา 12:53 • ภาพยนตร์ & ซีรีส์
ซีรีส์ : ชั้นหนังแผ่น {ม้วนฟิล์มที่ 1}
Star Wars : Ray & Ren “เธอไม่ได้มีแค่ความหวัง แต่เธอยังมีพวกเราอยู่ด้วย”
...
คำชี้แจง : บทความนี้มีการสปอยเนื้อหาหลุดเล็ดรอดออกมาทั้ง 3 ภาค (The Force Awakens, The Last Jedi และ The Rise of Skywalker) เพื่อใช้ประกอบในการเขียนวิเคราะห์ตัวละครในบทความชิ้นนี้ครับ หากท่านผู้อ่านท่านใดมีแผนจะไปดู Star Wars: The Rise of Skywalker นี้ในอนาคต
...
ผมแนะนำให้ข้ามบทความนี้ไปก่อนเพื่อรักษาอรรถรสในการรับชมภาพยนตร์ของท่านครับผม เมื่อท่านดูเสร็จแล้วค่อยย้อนกลับมาอ่านบทความนี้อีกครั้งก็ได้น๊า
...
ย้ำอีกครั้งว่ามีสปอยเด้อ!!!
“เราทุกคนย่อมมีประสบการณ์กับความกลัวหรือความทุกข์ใจกันมาแล้วทั้งนั้น”
...
เรย์ : จากผู้คอยวิ่งไล่หาอดีตของตัวเอง แต่กลับต้องมาวิ่งหนีและหวาดกลัวกับโชคชะตาของตัวเอง
...
เรย์ปรากฏตัวครั้งแรกในภาค The Force Awakens เป็นตัวละครที่มีประวัติดำมืดและเป็นปริศนา ไม่ใช่แค่เราที่อยากรู้อดีตของเธอ เรย์เองก็อยากรู้อดีตของตัวเองเช่นกัน สิ่งที่เราและเรย์รู้เหมือนๆ กันคือเรย์มีอาชีพเก็บขยะขายบนดาวแจคคู และถูกพ่อแม่ทอดทิ้งไว้บนดาวแจคคูตั้งแต่ยังเด็กเพียงคนเดียว
...
'อดีต' คือปมในใจของสาวน้อยผู้นี้ตลอดมา คำถามที่วนในหัวเธอคือ ‘พ่อแม่ของเธอเป็นใคร? ทำไมถึงทอดทิ้งเธอบนดาวขยะแจคคู? และที่เจ็บปวดที่สุดคือเธอไม่รู้แม้กระทั่งนามสกุลตระกูลตัวเอง’ สิ่งเดียวที่สำคัญและเหลือรอดติดตัวเธอมาตั้งแต่วินาทีที่ถูกทิ้งคือลมหายใจ
...
แต่อีกสิ่งที่หนึ่งที่เรย์กลัวตลอดมาคือ ‘พลังฟอร์ซในตัวเธอ’ เธอหวาดกลัวในสิ่งที่เธอไม่รู้ว่ามันคืออะไร
...
ในท้ายเรื่องของภาค The Force Awakens เรย์ได้เดินทางมาขอฝากตัวเป็นลูกศิษย์กับลุคเพื่อขอให้เขาสอนวิธีการควบคุมพลังฟอร์ซ
...
และที่สำคัญที่สุด ‘เธอไม่อยากเข้าสู่ด้านมืดแบบ ไคโร เร็น หลานของลุค’
...
"การขอความช่วยเหลือ เราต้องฉลาดในการวิ่งเข้าขอความช่วยเหลือจากผู้อื่นด้วย" ผมอยู่ข้างหลังคุณ : ผู้เขียน / นักวิจารณ์ภาพยนตร์
...
กล่าวคือ การที่เราเกิดปวดเป็นไข้สูง แทนที่เราจะไปขอความช่วยเหลือจากหมอ เรากลับหันไปหาพ่อมดหมอผี หรือเรามีปัญหาด้านสุขภาพจิต แต่เรากลับเลือกที่จะไปปรึกษากับแอดมินเพจดังที่ไม่มีความรู้เกี่ยวกับเรื่องสุขภาพจิตเลย แทนที่จะไปปรึกษานักจิตวิทยา หรือจิตแพทย์ หรือแอดมินเพจที่ทำงานเกี่ยวกับด้านนี้ เป็นต้น
...
ซึ่งการเลือกขอความช่วยเหลือของเรย์คือการขอความช่วยเหลือที่ถูกต้อง นั้นก็เพราะ
...
1. เรย์ต้องการควบคุมพลังฟอร์ซของตน และลุคซึ่งถูกขนานนามว่าเป็นเจไดคนสุดท้าย ย่อมมีความสามารถในการแนะนำและฝึกสอนให้กับเรย์ได้อย่างถูกต้องแน่นอน เพราะเขาคือผู้เชี่ยวชาญในขณะนั้น ตัวเลือกรองลงมาก็คือ ไคโร เร็น และสโน้คแห่งปฐมภาคี
...
2. องค์หญิงเลอาเองก็มีพลังฟอร์ซเช่นกัน แต่ทว่าเธอไม่ได้แกร่งถึงขนาดใช้มันได้ดั่งใจนึกเท่ากับลุค ดังนั้นหากเรย์ต้องการรู้แค่ว่าฟอร์ซคืออะไร เลอาคือที่ปรึกษาที่เพียงพอแล้ว แต่หากเรย์ต้องการฝึกใช้พลังฟอร์ซเธอต้องไปหาลุค และ
...
3. เรย์เลือกที่จะปฏิเสธไม่ยอมเป็นลูกศิษย์ของ ไคโร เร็น เพราะเรย์ไม่อยากเข้าสู่ด้านมืด กับสโน้คนี่ยิ่งแล้วใหญ่ เพราะฉะนั้นลุคคือคำตอบที่ถูกต้องที่สุดสำหรับเรย์แล้ว ณ เวลานั้น
...
และในภาค The Rise of Skywalker นี้ หลังจากที่สาวน้อยวิ่งมาราธอนมาจนรับรู้แล้วว่าอดีตของเธอเป็นยังไง พ่อแม่ของเธอเป็นใคร และทำไมถึงทิ้งเธอไว้ที่ดาวดวงนั้น
...
แต่ทว่าอดีตที่เรย์วิ่งตามหามาตลอด กลับกลายเป็นเส้นทางที่สุ่มเสี่ยงจะพาตัวเธอเข้าสู่ด้านมืด เมื่อเธอรู้ว่าเธอเป็นหลานของจักรพรรดิพัลพาทีนผู้ชั่วร้าย
...
เธอไม่อาจยอมรับอดีตต้นตระกูลของเธอได้ เธออดคิดไม่ได้ว่าภายในตัวเธอมีบางอย่างที่เธอรังเกียจวิ่งพล่านไปทั่วร่างกาย มันคือกรรมพันธุ์ (Heredity) ที่ส่งต่อจากรุ่นสู่รุ่น เป็นสิ่งเดียวที่มนุษย์ไม่สามารถเลือกได้ว่าจะรับหรือไม่รับ
...
เรย์เริ่มกลัวในโชคชะตาของตัวเอง จึงหลบหนีกลับไปดาวอัคโต (ที่ๆ เธอได้ฝึกฝนพลังกับลุค) เธอหวาดกลัวจนถึงขนาดคิดจะทำลายสิ่งของสำคัญที่สุดของเจได นั้นก็คือดาบไลท์เซเบอร์
...
แต่ทว่าวินาทีนั้นกลับมีชายคนหนึ่งปรากฏตัวขึ้นมา วิญญาณ (ฟอร์ซ)ของลุคชายผู้ที่เธอทั้งรักและเคารพ วินาทีนี้เธอต้องที่จะระบายความใจออกมาให้ใครสักคนเธอไว้ใจฟัง
...
เนื้อหาสอดแทรกเพิ่มเติม
...
ในช่วงเวลาที่คนเราเครียดมันจะเริ่มทำการสะสมไว้ภายในใจ หากเราสลัดความคิดนี้ไปไม่หลุด มันจะฝังอยู่ในใจเราและทับถมรวมกับความเครียดอื่นๆ ที่อาจมีเข้ามาเติมภายหลัง จนสุดท้ายเมื่อจิตใจเรารับกับความเครียดสะสมไม่ไหว มันก็จะแตกประหนึ่งลูกโป่ง...ดังนั้นการได้ระบายความในใจให้กับใครสักคนฟัง คืออีกหนึ่งทางออกในการนำความเครียดออกไปจากใจเรา และปรับสมดุลอารมณ์ให้กลับมาสู่ภาวะปกติ
...
และวิญญาณลุคก็คือคนๆ นั้นที่เข้ามาเป็นเพื่อนนั่งเดินคุย เปิดรับทุกความเห็นจากเธอ และอยู่เคียงข้างเธอ
...
เรย์บอกเล่ากับลุคถึงเรื่องราวที่เธอเพิ่งได้รับรู้มา แต่ทว่าลุคดูไม่แปลกใจกับสิ่งที่ได้ยิน และชี้แนะได้ความประมาณว่า ‘แม้เธอจะสืบเชื้อสายอะไรมา แต่สุดท้ายแล้วเธอคือคนที่เลือกเส้นทางที่จะเดิน’
...
วิญญาณลุคจึงเปรียบเสมือนเทวดามาโปรดสำหรับสาวน้อยที่กำลังหวาดกลัวอย่างเรย์ ณ เวลานี้จริงๆ เธอตาสว่างแล้ว เธอไม่กลัวเชื้อร้ายที่ไหลภายในร่างกายของเธออีกต่อไป...เธอกล้าที่จะเข้าไปเผชิญหน้ากับความจริงที่ว่าเธอคือหลานของจักรพรรดิพัลพาทีน เธอพร้อมที่จะเผชิญหน้ากับปัญหา และที่สำคัญที่สุดเธอพร้อมที่จะก้าวข้ามมันแล้ว
...
ไคโร เร็น : ชายหนุ่มผู้เลือกเข้าสู่ด้านมืด เพื่อบรรเทาแผลภายในใจของตนเอง
...
ปรากฏตัวครั้งแรกในภาค The Force Awakens เช่นเดียวกับเรย์ มีชื่อเดิมว่า ‘เบน โซโล’ เป็นบุตรของ ฮัน โซโล และ เลอา ออร์กานา
...
เมื่อครั้นยังเด็กเขาได้รับการฝึกเป็นเจไดภายใต้การสั่งสอนของอาจารย์เจไดลุค ลุงของเขาเอง แต่ทว่าสโน้คผู้นำสูงสุดของปฐมภาคีพยายามล่อลวงเด็กชายให้เข้าสู่ด้านมืด
...
ลุคสัมผัสได้ว่าหลานชายของเขากำลังถูกความมืดค่อยๆ คลานเข้ามาครอบงำ ด้วยความที่ลุคเองก็มีบาดแผลในใจเรื่องของพ่อของเขา อนาคิน สกายวอคเกอร์ ที่เข้าสู่ด้านมืดจนกลายเป็นโคตรวายร้ายอย่าง ‘ดาร์ธ เวเดอร์’
...
ลุควัยหนุ่มและดาร์ธ เวเดอร์ : เครดิตภาพ https://www.filmink.com.au/i-am-your-father-a-star-wars-documentary/
ความจริงในตอนนั้นคือ ความมืดเพิ่งเริ่มเข้าครอบงำหนุ่มน้อยเบนและลุคเองก็สารภาพว่า “มีเสี้ยวหนึ่งในจิตใจของข้า ที่คิดว่าจะหยุดมันได้” แต่ทว่าลุคกลับเกิดอาการหวาดระแวง (Disorder) จนสติเริ่มปรุงแต่งให้จากสิ่งที่อันตรายน้อยให้กลายเป็นอันตรายมาก (dispro-portion)
...
วินาทีแห่งความลังเลของลุคนั้น หนุ่มน้อยเบนกลับตื่นขึ้นเห็นใบหน้าที่ดุจถูกปีศาจร้ายเข้าครอบงำของลุค ‘ลุคซึ่งผู้เป็นลุงของเขา แต่กลับพยายามจะฆ่าเขา’
...
แม้ดาบไลท์เซเบอร์นั้นจะไม่ฟาดฟันร่างของหนุ่มน้อย แต่ทว่ามันกลับได้ฟันขวัญและจิตใจดวงน้อยๆ นี้ให้ขาดเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยไปเสียแล้ว
...
ซึ่งมันถูกตอกย้ำด้วยคำพูดของตัวลุคเอง “สิ่งสุดท้ายที่ข้าเห็น คือดวงตาที่หวาดกลัวของเด็กชายที่ผิดหวังในตัวอาจารย์ของเขา”
...
หนุ่มน้อยเบนระบายแค้นกับผู้เป็นอาจารย์ ด้วยการเผาทำลายอารามเจไดและฆ่าลูกศิษย์คนอื่นที่ไม่ยอมเข้าร่วมกับเขา
...
หนุ่มน้อยเบนวิ่งวนบนเส้นทางที่ไร้ทางออกประหนึ่งเขาวงกต ‘ลุงผู้คิดจะฆ่าเขา และผู้เป็นแม่และพ่อเป็นคนส่งเขามาให้ถึงมือมัจจุราช’ ความคิดฟุ้งซ่านของหนุ่มเบนเริ่มเตลิดไปไกล ‘นั้นหมายความว่าพ่อแม่เองก็ไม่รักเขาด้วยสินะ?’
...
สโน้คแห่งปฐมภาคีฉวยโอกาสยื่นมือเข้าโอบอุ้มความเจ็บปวดของชายหนุ่ม เบนไม่มีทางเลือกใดๆ อีกแล้ว เขาไม่สามารถกลับไปหาพ่อกับแม่ได้ (เพราะเบนโทษพ่อแม่ที่เป็นคนทิ้งเขาไว้กับลุงลุค) แม้สโน้คจะเป็นจอมโฉดชั่ว แต่วินาทีนั้นสโน้คเป็นคนเดียวที่เข้ามาอาสาเป็นที่พึ่งทางใจให้เบน และที่สำคัญที่สุดสโน้คเห็นคุณค่าในตัวเขา ซึ่งมันคงสามารถช่วยเยียวยาจิตใจได้เป็นแน่ (อย่างน้อยๆ ณ เวลานั้นเบนก็เชื่อแบบนั้น)
...
เบน โซโล จึงตัดสินใจเปลี่ยนชื่อแซ่ตัวเองเป็น ‘ไคโร เร็น’ เขาไม่อยากนึกถึงอดีตที่เจ็บปวด เขาต้องการจะเปลี่ยนตัวเองทุกอย่าง อะไรก็ได้ที่จะสลัดอดีตกาลออกจากใจเขา
...
แม้เร็นจะเปิดใจให้กับด้านมืดแล้ว แต่ทว่าเร็นยังคงมีคุณงามความดีอยู่ในตัว (ด้านสว่าง) เร็นจึงสร้างกลไกทางจิตที่มีชื่อว่า ‘การปฏิเสธความจริง (Denial)’ ให้กับตัวเองเพื่อกดด้านสว่างในตัวไว้ เพราะเร็นเชื่อว่าด้านสว่างจะนำพาอดีตที่เจ็บปวดมาเล่นงานเขาอีกครั้งและซ้ำอีกครั้ง
...
“ใจผมมันแหลกสลาย ผมไม่อยากเป็นแบบนี้” เร็นบอกกับ ฮัน โซโล ผู้เป็นพ่อ เมื่อพวกเขาได้มาเผชิญหน้ากัน
...
เร็นปิดบังความเจ็บปวดไว้ในตัวเขาตลอดมา ดั่งคำเปรียบเปรยที่สโน้คเคยบอกกับเร็นว่า “เจ้าเป็นแค่เด็กน้อย ภายใต้หน้ากาก”
...
เร็นจึงพยายามเอาชนะความเจ็บปวดนี้อีกครั้ง ด้วยการทำลายหน้ากาก
จนกระทั่งเร็นได้มาพบกับเรย์ หญิงสาวผู้ประสบในชะตากรรมเดียวกัน นั้นก็คือ ‘ความรู้สึกเดียวดาย จากการถูกพ่อแม่ทอดทิ้ง’ (อย่างน้อยๆ ทั้งคู่ก็คิดแบบนั้น ในช่วงเวลานั้น)
...
เร็นเปิดใจให้กับเรย์อย่างง่ายดาย มันไม่ใช่ความรักของหนุ่มสาว เเต่นี้คือสิ่งที่เรียกว่า ‘หลักการคล้ายคลึง (Similarity)’ กล่าวคือ คนเรามักเปิดใจให้กับคนที่มีลักษณะนิสัยคล้ายกับตน ที่มีความชอบเหมือนๆ กัน หรือเคยเจอประสบการณ์แบบเดียวกันมา เป็นต้น
...
สำหรับเร็นสาวน้อยผู้นี้คือที่พึ่งทางใจของเขาอีกคนจากหลายร้อยล้านชีวิตท่ามกลางจักรวาลที่กว้างใหญ่นี้ เขาไม่รู้สึกเคว้งคว้างอีกต่อไปแล้ว
...
ทั้งเรย์และเร็นต่างพยายามดึงให้อีกฝ่ายมาเป็นพวก แต่ทว่าเป็นเร็นที่ไขว้เขว นั้นก็เพราะเร็นหันมาฝักใฝ่ด้านมืดเพียงเพื่อเยียวยารักษาใจตนเท่านั้น ไม่ได้มีใจหรือมีอุดมการณ์ร่วมไปด้วย ประกอบกับเรย์ก็แสดงความเชื่อมั่นในตัวเร็น ว่าเร็นจะสามารถกลับมาเป็นคนดีได้
...
เร็นเริ่มเปิดใจให้กับด้านสว่างหลังจากได้พูดคุยเปิดใจกับเรย์มาสักพักใหญ่ๆ เพียงแต่เขายังไม่รู้ว่าจะจัดการกับความคิดที่ตีกันไปมาของตัวเองนี้ได้อย่างไรดี
...
จนกระทั่งเร็นได้พบกับวิญญาณพ่อของเขา ฮัน โซโล เร็นตัดพ้อกับพ่อของเขาว่า “ผมรู้ว่าผมควรทำอะไร แต่ผมไม่มั่นใจในพลังของตัวเอง”
...
นี้เป็นอีกครั้งที่ยืนยันให้เราเห็นถึงพลังของคำว่า ‘จิตเป็นนาย กายเป็นบ่าว’ เร็นรู้สึกว่าเขากำลังเผชิญหน้ากับ ‘เหตุการณ์ที่ไม่สามารถแก้ไขได้’ จึงทำให้เกิดกลไกทางจิตที่เรียกว่า ‘กรอบความคิดแบบตายตัว’ กล่าวคือ เมื่อเราต้องเผชิญกับเหตุการณ์ที่ไม่เหมือนอย่างที่วาดฝันเอาไว้ เราจะตีกรอบปิดกั้นตัวเอง แล้วบอกกับตัวเองซ้ำๆ ว่า “ฉันมันไม่ดีพอ ฉันคงทำมันไม่ได้ดีไปกว่านี้อีกแล้วแน่ๆ”
...
เร็นเองก็ตีกรอบนี้ให้กับตัวเองมาโดยตลอดเช่นกัน หลักฐานคือคำพูดประโยคดังกล่าว “ผมรู้ว่าผมควรทำอะไร แต่ผมไม่มั่นใจในพลังของตัวเอง” ที่เร็นได้พูดออกมาทั้งในภาค The Force Awakens จากเหตุการณ์ที่เขาต้องเผชิญหน้ากับฮันครั้งแรก และภาค The Rise of Skywalker จากเหตุการณ์การเผชิญหน้ากันของเร็นและวิญญาณฮัน
...
ฮันสื่อสารกลับมาได้ใจความสรุปว่า ‘เขาเชื่อมั่นว่าลูกชายของเขาทำได้’ วินาทีนั้นหัวใจที่ถูกพันธนาการของเร็นถูกปลดล็อค ไม่มีกำลังใจไหนจะมีพลังเท่ากับกำลังใจกับประโยคที่ว่า “แกทำได้” จากบุคคลที่เขารักและนับถืออีกแล้ว
...
เร็นได้ปลดปล่อย เบน โซโล กลับมาอีกครั้ง เขาพร้อมที่จะรับความจริงและก้าวข้ามความเจ็บปวดนี้ เพื่อไปสู่เส้นทางที่เขาปรารถนาจะทำมาตั้งแต่ต้นแล้ว
...
‘แอนเจล่า ลี ดั๊กเวิร์ธ (Angela Lee Duckworth)’ อาจารย์จิตวิทยาจากมหาลัยเพนซิลเวเนีย แบ่งความหวังออกเป็น 2 ประเภทดังนี้
...
แอนเจล่า ลี ดั๊กเวิร์ธ (Angela Lee Duckworth) : เครดิตภาพ http://www.quotabelle.com/author/angela-duckworth
1. ความหวังว่าพรุ่งนี้จะดีกว่าวันนี้ ประเภทที่ 1 : เป็นความหวังที่จะปล่อยให้เป็นหน้าที่ของโชคชะตาหรือจักรวาลในการทำสิ่งต่างๆ ให้ดีขึ้น
...
2. ความหวังว่าพรุ่งนี้จะดีกว่าวันนี้ ประเภทที่ 2 : เป็นความหวังที่ต้องอาศัยความวิริยะอุตสาหะ เพื่อทำให้อนาคตของตัวเองดีขึ้น
...
และความหวังของทั้งเรย์และเบน คือความหวังประเภทที่ 2 พวกเขาทั้งคู่ต่างใช้ความวิริยะอุตสาหะของตัวเอง กับการก้าวข้ามอุปสรรคเพื่อไปสู่เส้นทางที่ดีกว่า
...
เครดิตภาพ : https://www.inverse.com/article/61503-star-wars-9-theory-daisy-ridley-cyclops-clue-meaning
แต่สิ่งที่เราไม่สามารถปฏิเสธได้เลยก็คือ ‘สุดท้ายแล้วมนุษย์ก็เป็นสัตว์สังคม’ เราอาจต้องการอย่างน้อยๆ เพียงใครสักคนที่สามารถเข้ามาเป็นกำลังใจเพื่อเติมเต็มให้กับเราได้
...
เพราะนักจิตวิทยาจะบอกกับเราเสมอว่า ในการยกตัวเราให้ออกจากความกลัวและความทุกข์ได้ดีที่สุดก็คือ ‘การได้รับกำลังใจและความช่วยเหลือ’
...
ไม่ว่าเราจะเก่งกาจแค่ไหนก็ตาม เมื่อถึงจุดๆ หนึ่งเราย่อมต้องการกำลังใจหรือความช่วยเหลือ ตัวอย่างเช่น ลุค สกายวอคเกอร์ ผู้ที่ทั้งจักรวาลต่างยกย่องให้เขาเป็นถึงตำนานแห่งเจได ลุคก็ยังมีช่วงเวลาที่เขาหลงทางจนเดินโซเซไปมาเหมือนคนเมาไม่ได้สติ ยังถึงกับต้องพึ่งคำชี้แนะจากวิญญาณ (ฟอร์ซ) ของปรมาจารย์โยดาเช่นกันครับ
...
เมื่อลุคเอาแต่หวาดกลัวกับอนาคตที่ยังเดินทางมาไม่ถึง จนปัจจุบันไม่เป็นอันทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน (หวาดกลัวความมืด จนไม่กล้าฝึกฝนเจไดรุ่นใหม่ เพราะกลัวจะลงเอยแบบเบน) ดั่งประโยคที่โยดาพูดกับลุคไว้ว่า “โอ้! สกายวอคเกอร์...ผู้มองแต่เส้นขอบฟ้า แต่ไม่มองตรงนี้ เดี๋ยวนี้”
...
เรย์มี ฟินน์, โพ, องค์หญิงเลอา, ชิวแบคก้า, ลุค และไคโร เร็น (เบน โซโล) คอยอยู่เคียงข้าง
...
ไคโร เร็น (เบนโซโล) มี เรย์ และฮัน โซโล คอยอยู่เคียงข้างเช่นกัน
...
ลุคเองก็มี ปรมาจารย์โยดา และน้องสาวของเขาองค์หญิงเลอาเช่นกัน
...
แต่ถึงกระนั้นคนรอบข้างเรานั้นอาจทำได้เพียงเติมเชื้อเพลิงให้กับเราเท่านั้น เช่น การให้กำลังใจ หรือมอบของบางอย่างที่พออำนวยความสะดวกให้กับเราได้ หรือลงมือช่วยเหลือเราได้เพียงบางส่วน
...
เพราะสุดท้ายและท้ายที่สุดแล้ว คนที่จะตัดสินใจเริ่มก้าวขาไปสู่ความเปลี่ยนแปลงดังกล่าวก็มีเพียงแค่ ‘ตัวเราเอง’ เพราะนี้คือลู่วิ่งของเรา คือเส้นทางของเรา และความฝันของเรา
...
ขอเอาคำคมจากภาพยนตร์เรื่องอื่นเข้ามาแทรกหน่อยนะ
ลองถามใจตัวเองดูอีกสักครั้งว่า เราจะเอาแต่มองเส้นขอบฟ้าดั่งเช่นลุค หรือจะใช้พลังของตัวเองในการเปลี่ยนแปลงโชคชะตาของเรา ไปสู่สิ่งที่ดีกว่า หรือไปสู่เส้นขอบฟ้าที่เราได้แต่งแต้มวาดฝันมันเอาไว้
...
เราไม่ได้อยู่คนเดียวบนโลกใบนี้ ผมเชื่อว่าคนรอบข้างพวกเราก็พร้อมที่จะให้พลังกับเรา ดั่งเช่นกำลังใจจากเหล่ารุ่นพี่นักเขียนรุ่นเก๋าแห่ง Blockdit ที่คอยตามให้กำลังใจนักเขียนหน้าใหม่อย่างพวกผมอยู่เสมอๆ
...
รวมถึงเพจของพี่ๆ เพื่อนๆ ท่านอื่นที่ผมไม่ได้เอ่ยนามถึงด้วยนะครับ
และท้ายสุดนี้...ผมเองก็ขออวยพรให้กับเพื่อนๆ พี่ๆ นักเขียนชาว Blockdit ทุกท่าน ด้วยคำว่า “May the force be with you : ขอพลังจงสถิตอยู่กับท่าน”
...

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา