3 ม.ค. 2020 เวลา 13:01 • ธุรกิจ
เห็นเหตุการณ์เมื่อคืนที่เกิดขึ้นกับ Lisa Blackpink ในร้านคาเฟ่แห่งหนึ่ง ที่เจ้าของร้านประกาศจะเอาโต๊ะ เก้าอี้ ห้องน้ำที่ Lisa ไปนั่ง ไปยืนจับ มาเปิดประมูลจนเป็นเรื่องเป็นราวใหญ่โต พอทางร้านออกมาขอโทษก็ยังแก้ตัวอีกว่า “ไม่คิดว่ามันจะเป็นการคุกคามทางเพศตรงไหน...”
ผมว่าสังคมไทยเรามีความรู้ ความเข้าใจเกี่ยวกับประเด็นการคุกคามทางเพศ หรือ sexual harassment ค่อนข้างต่ำนะ ต่ำไปถึงขั้นที่ไม่เข้าใจอะไรเลย จนหลายๆครั้งพวกเราทำอะไรกันไปตามสัญชาตญาณ ตามวัฒนธรรม ตามสิ่งที่ปฏิบัติต่อๆกันมาโดยไม่เคยตั้งคำถามว่ามันผิดหรือถูก
ก่อนอื่นผมจะอธิบายก่อนว่า Sexual harassment หรือที่แปลกันโดย Dictionary ว่า การคุกคามทางเพศ เนี่ยมันแปลว่าอะไร โดยความหมายของมันแล้ว มันกว้างนะ ถ้าอธิบายตาม Concept ของคำ โดยเฉพาะในตำราวิชาการ งานวิจัย และที่สำคัญที่สุดคือ “ในแง่ของกฎหมาย”
มันคือ การกระทำใดๆที่ทำให้เหยื่อรู้สึกว่าตนเองถูกคุกคาม ถูกล้ำเส้น ถูกโจมตี ถูกทำร้ายในรูปแบบต่างๆ ทั้งในทางวาจาและทางกาย ดังนั้น การคุกคามทางเพศนั้นความหมายมันไม่ได้หยุดอยู่แค่เรื่อง การแต๊ะอั๋ง การจับนม จับตูด หรือข่มขืนทางสายตาอย่างหิวกระหายเท่านั้น
แต่มันหมายรวมถึงการใช้คำพูดคำจา และถ้อยคำที่ทำให้ผู้ฟังรู้สึกไม่สบายใจ หรือถูกจ้องมอง/ข่มขืนด้วยคำพูดด้วยเช่นกัน ดังนั้น การพูดแซวในเรื่องเพศ หรือการใช้ประเด็นเรื่องเพศมาเป็นปัจจัยหลักในการพูดก็สามารถทำให้เหยื่อรู้สึกว่ากำลังโดนคุกคามทางเพศได้ โดยที่ผู้คุกคามไม่จำเป็นต้องพูดออกมาตรงๆว่า “ขอเย็ดหน่อย”
1
ในเมืองไทยเนี่ยผมว่าสถานการณ์ค่อนข้างหนัก เหมือนว่าเราไปเอาวัฒนธรรม ค่านิยมการปฏิบัติแบบเดิมๆมาคาบซ้อนกับการไม่มีมารยาทในสังคมสมัยใหม่ การเรียกผู้หญิงด้วยคำว่า “คนสวย” การจอดรถข้างทางแล้วแซวผู้หญิง ตะโกนเรียกผู้หญิงว่า “ไปส่งไหมน้องสาว”
หรือแม้แต่การแซวเพื่อนร่วมงานในที่ทำงานเรื่องการแต่งหน้า หุ่นสรีระ การแต่งกาย มันถูกทำให้กลายเป็นเรื่องปกติ และทับซ้อนไปกับเรื่องความเอ็นดูที่ผู้ใหญ่ในที่ทำงานมีให้ต่อรุ่นน้องไปซะอย่างนั้น ซึ่งอันนี้ไม่ใช่อย่างมาก และยิ่งก่อให้เกิดการผลิตซ้ำวัฒนธรรมการปฏิบัติดังกล่าวโดยไม่จำเป็น
ที่เมืองนอก แค่การแซวผู้หญิงว่าสวยจัง ผิวปากแซววีดวิ้ว แซวว่านมใหญ่ ตูดสวย สะโพกงาม อะไรอย่างนี้เขาถึงขั้นแจ้งความก็มีนะ
เพราะคนฟังเขารู้สึกถูกคุกคาม และกฎหมาย กับการตีความของทางศาลที่ในยุโรปเขาไม่ได้ตีความโดยยึดจากเจตนาของจำเลยเป็นหลัก เขาพิจารณาสถานการณ์แวดล้อม และความรู้สึกของโจทก์ผู้ฟ้องด้วย ในคดีประเภท Sexual harassment นี้
พอหันกลับมาดูที่ไทย นอกจากจะมีเรื่องความเชื่อเก่าๆว่า ผู้ใหญ่เอ็นดูเด็ก เลยแซวไปตามเนื้อผ้า ยังมีประเด็นเรื่องความเปิดกว้างและภาวะไร้ความรับผิดชอบในโลกออนไลน์เข้ามาเสริมด้วยในยุคที่ Facebook, Twitter, Instagram ขยายตัวอย่างรวดเร็ว
ทำให้เราสามารถเข้าถึงภาพสวยๆงามๆได้มากขึ้น ทุกวันนี้เราจึงเห็นฝ่ายผู้หญิงออกตัวเป็นผู้ร้ายในเหตุการณ์คุกคามทางเพศได้มากขึ้น ปัจจุบันนี้เวลามีโพสต์หรือภาพโฆษณาที่นำรูปของดาราชาย คนดัง หรือผู้ชายที่มีหน้าตารูปลักษณ์ที่หล่อ ก็จะเห็นเหล่าผู้หญิงเข้าไปแสดงความคิดเห็นในเชิงคุกคามทางเพศได้อยู่บ่อยๆ
ตั้งแต่ไอ้ประโยคประเภท “น้ำเดินเลยคร่าาาาา”
1
“มาเป็นผัวพี่เถอะน้อง”
“อยากลองชิมเลยอะ ใหญ่จัง”
“อยากโดนน้องข่มขืนจัง”
“เห็นซิกแพคแล้วอยากเลียเลย”
จนมาถึงเรื่อง Lisa และขนของน้องบนชักโครกที่อาจจะถูกนำไปประมูล...
1
เหตุการณ์ในลักษณะนี้กำลังบอกอะไร หรือสะท้อนอะไรให้กับสังคมไทยอยู่หรือไม่?
เรื่องแบบนี้ถ้าทำกันในที่ลับ หรือพูดคุยในที่ที่เป็นพื้นที่ส่วนตัว เช่น โต๊ะกินข้าว ในบ้านตนเอง หรือ แชทคุยกันหลังไมค์ ผลเสียหายคงพอจะทุเลา หรือกินวงแคบกว่านี้ แต่ดันกระทำกันบนเวทีสาธารณะ พื้นที่สาธารณะที่คนทั่วมองเห็นกันได้ มันจึงไม่ใช่แค่กระทบกับความรู้สึกของแฟนคลับและคนที่รักห่วงใย Lisa เท่านั้น
1
แต่มันยังขยับไปถึงขั้นอาจสร้างความไม่สบายใจ และความรู้สึกไม่ปลอดภัยของเจ้าตัว ก็คือ Lisa อีกด้วย ซึ่งตรงนี้ผมเชื่อว่าคนไทยหลายๆคนยังมองว่าเป็นเรื่องเล็กๆอยู่ เพราะเรื่องเพศในไทยนั้นถูกทำให้เป็นเรื่องที่หยวนๆกันได้มานาน ขอแค่ไม่ให้เลยเถิดไปถึงขั้นข่มขืนทางกายกัน
คนไทยจำนวนมากก็พร้อมที่จะมองว่าเป็นเรื่องเล็กๆ ด้วยคำว่า “เรื่องธรรมดาของผู้ชาย” ไป เพราะคนในสังคมมีทัศนคติและภาพจำว่า ผู้ชายต้องคุยเรื่องลามก หรือ คุยเรื่องเพศนินทาผู้หญิง อวดความเก่งกาจของตนเองกันในวงเหล้าเป็นปกติอยู่แล้ว เลยทำเป็นเฉยๆ
อันนี้บอกเลยว่าไม่สดใสนะครับ ถ้าอยากจะให้สังคมพัฒนาต่อ เรื่องพวกนี้ก็ควรจะมีการปรับ และพัฒนาตามไปด้วย เพราะมันเป็นกระจกสะท้อนให้แก่ภาพลักษณ์ และค่านิยม คุณค่าต่างๆที่ดีงามภายในสังคมที่เราอยู่ด้วย โลกมันเปลี่ยนไป ไม่ใช่ว่าทุกวันนี้ผู้หญิง หรือคนเรามันมีความอ่อนไหวต่อประเด็นดังกล่าวมากขึ้น
แต่มันเป็นยุคที่คนเรามีสิทธิมีเสียง โดยเฉพาะฝั่งผู้หญิงเขามีสิทธิมีเสียงในสังคมมากขึ้นกว่าแต่ก่อน ก็เป็นธรรมดาที่คนในสังคมจะต้องปรับตัว และขยับที่ให้ผู้หญิงสามารถมีชีวิตทางสังคมที่ทำให้พวกเขารู้สึกปลอดภัยได้ สมัยนี้การแซว การพูดจาแทะโลมผู้หญิงจึงไม่ควรมีให้เห็นบนพื้นที่สาธารณะได้แล้ว (เช่นเดียวกับกรณีที่เกิดกับผู้ชาย)
ถ้าอยากแซว อยากเล่นก็ให้ทำอยู่ในขอบเขตของความพอดี โพสต์นี้จะยังไม่โยงไปถึงเรื่องการข่มขืนทางกายภาพ หรือ ประเด็นเรื่องวัตถุทางเพศนะครับ เอาแค่ประเด็นการคุกคามทางเพศในเชิงวาจา และทางความรู้สึกเป็นหลักก่อน
ทีนี้พอปัญหามันยังไม่ได้รับการแก้ไขอย่างจริงจัง มันก็เกิดขึ้นเรื่อยๆ เพราะคนเราไม่ตระหนักกันในปัญหาที่เกิดขึ้นว่ามันเป็นปัญหา ผมอยากให้กรณีของ Lisa Blackpink นี้เป็นตัวอย่างแก่สังคม ให้หันมาตระหนักเรื่อง Sexual harassment กันให้มากขึ้น
อย่างน้อยถ้าคิดว่ามันมากเกินไป หรือมันยากเกินไป ก็เก็บไว้พูดกันในแชทกลุ่ม ไลน์กลุ่ม ส่งต่อกันให้ดูก็พอ จะแซวสาว หรือจะแทะโลมอะไรก็ให้อยู่ในความพอดี ไม่ต้องเอาออกมาคุยกันบนหน้า Facebook ที่เปิดสาธารณะ หรือจะเก็บไว้คุยกันในวงเหล้าเงียบๆที่บ้าน หรือบนโต๊ะอาหารในกลุ่มคนรู้จักของตัวเองพอ
อย่างน้อยมันก็ลดความเสียหายให้จำกัดวงลงมา และจะได้ไม่ไปกระทบกระทั่งจิตใจของคนอื่น หรือความรู้สึกคนอื่นจะได้ไม่ต้องถูกคุกคาม จนเป็นเรื่องเป็นราวใหญ่โต พูดกันแบบผู้ชายถึงผู้ชายเลย คนเป็นผู้ชายสมัยนี้ควรจะระวังให้มาก สังคมปัจจุบันผู้หญิงเขามีสิทธิมีเสียงมากขึ้น
ออกมาทำงานนอกบ้านมากขึ้น ไม่ได้อยู่แต่ในครัว หรือหน้าเครื่องซักผ้าอย่างเดียว เขาก็มีสิทธิที่จะเรียกร้องมากขึ้น มีพื้นที่บนสื่อ มีสิทธิที่จะปกป้องตัวเองมากขึ้น ผู้ชายจะทำตัวแบบสมัยก่อน แซวผู้หญิง พูดจาไม่มีหูรูดแบบเมื่อก่อนไม่ได้แล้ว เดี๋ยวเป็นคดีความกันง่ายๆเลยนะ
** ผมเตือนผู้ชายเป็นหลักก่อน เพราะสังคมไทยกรณีผู้หญิงยังไม่ค่อยเกิดเคสที่มันหนักหนาสาหัสจนขึ้นโรงขึ้นศาลได้เท่าคดีของผู้ชาย แต่ฝั่งผู้หญิงจะเพลาๆการแทะโลมหนุ่มหล่อ หนุ่มล่ำลงบ้างก็ดี เผื่อฝั่งผู้ชายเขารู้สึกถูกคุกคามบ้างนะ
โฆษณา