23 ม.ค. 2020 เวลา 12:19 • ความคิดเห็น
วิชาเรื่องสั้น 101 ฉบับมือสมัครเล่น : มุมมองของเรื่อง หรือ Point of view (3.2)
จากคราวที่แล้ว เราคุยกันจบไปแล้วกับมุมมองเรื่องเล่าบุรุษที่ 3 แบบจำกัด คงพอมองภาพออกว่าแตกต่างจากมุมมองอื่น ๆ ที่เคยพูดถึงไปก่อนหน้านั้นแล้ว และคงพอเข้าใจถึงลักษณะและข้อจำกัดต่าง ๆ ของมุมมองบุรุษที่ 3 แบบจำกัด กันไปบ้างแล้ว
ซึ่งหลังจากจบบทนี่ ซึ่งเป็นบทสุดท้ายในหัวข้อ point of view มุมมองเรื่องเล่า หวังว่าทุกคนจะเห็นภาพรวมทั้งหมดเกี่ยวกับการเล่าในมุมมองต่าง ๆ และความแตกต่าง ลักษณะทั่วไป การนำไปใช้ และข้อดีข้อด้อยอื่น ๆ ที่จะช่วยให้เราเลือกใช้ในเรื่องเล่าของเราได้อย่างมีประสิทธิภาพ และส่งผลถึงเรื่องเราของเราจะตรึงคนอ่านได้อยู่หมัด และน๊อคคนอ่านจนต้องอ้าปากค้าง หรือถึงกับหลั่งน้ำตา
ว่าแล้ววันนี้ แอดจะพาทุกคนขึ้นเขาโอลิมปัส สถานที่คุ้นเคยที่แอดชอบไปประจำ วันนี้นัดเทพไท้ที่พอจะว่างไว้แล้ว จะได้ให้เทพของเราได้เล่าถึงมุมมองอันสุดท้าย เพราะคงไม่มีใครอธิบายเรื่องราวมุมมองสุดท้ายนี้ได้ดีไปกว่าเหล่าทวยเทพอีกแล้ว เพราะมุมมองบุรุษที่สามอันสุดท้ายนี้ มีอีกชื่อหนึ่งว่า
มุมมองแบบพระเจ้า (omniscient)
มาแบบที่ทุกคนชื่นชอบเลยดูสิ
มุมมองบุรุษที่ 3 แบบไม่จำกัด (กว้าง) หรือนิยมเรียกกันว่า มุมมองแบบพระเจ้า
ถ้ามุมมองบุรุษที่ 3 (แบบจำกัด)มีข้อจำกัด ในส่วนของการอธิบายผ่านตัวละครตัวหนึ่ง ข้อจำกัดที่เคยกล่าวถึงคือ การรับรู้ผ่านความรู้สึกหรือสิ่งที่เห็นผ่านตัวละครนั้นเพียงด้านเดียว ตัวละครที่เรามองผ่านอยู่ ไม่อาจรู้ถึงข้อมูลอื่นใดที่เขามองไม่เห็นหรือไม่ได้รับรู้มา แม้ว่าเราจะสลับการเล่าเรื่องผ่านตัวละครไปมาได้ทุกตัวในเรื่อง แต่ก็ยังไม่พ้นข้อจำกัดที่กล่าวมาอยู่ดี เพราะความรับรู้ของตัวละครแต่ละตัว จะอยู่ในระดับมนุษย์ปกติ คือผ่านการมองเห็น ประสาทสัมผัสส่วนตัว และความรู้สึกภายใน จำกัดเพียงเท่านี้
ซึ่งในมุมมองพระเจ้า ข้อจำกัดพวกนี้จะไม่มีอีกต่อไป เพราะเราถือว่าพระเจ้ารับรู้ทุกสิ่ง และอยู่ในทุก ๆ อย่าง ไม่ว่าจะเป็นสิ่งมีชีวิต หรือไม่มีชีวิตก็ย่อมได้
ลองดูตัวอย่าง อาจพอมองเห็นภาพมากขึ้น
จำความตอนที่แล้วได้หรือไม่
เรื่องสมมุติที่แม่ของคุณเล่าเรื่องป้าในตลาดเป็นลมชักให้คุณฟัง ส่วนพ่อยืนฟังอยู่ห่างออกไป
คราวนี้พระเจ้ากำลังจับจ้องพวกคุณสามคนอยู่
พระเจ้าเห็นแม่เล่าเรื่องป้าเป็นลมชักอย่างตื่นเต้นลนลาน เพราะสมัยแม่ยังเด็ก เพื่อนวัยเด็กของแม่เป็นลมชักแบบนี้อยู่บ่อย ๆ ภาพที่แม่เห็นพาลให้แม่นึกถึงคนใกล้ตัวที่คุ้นเคย ภาพในอดีตผุดขึ้นมาจนแม่รู้สึกราวกับเห็นเพื่อนรักชักล้มลงตรงหน้า แม่จึงดูลนลานจนผิดปกติ พระเจ้าเห็นไปถึงภาพจำในสมองของแม่
ส่วนคุณที่กำลังงัวเงียนจากการนอนจนดึก หลังดวล ROV กับเพื่อนเมื่อคืนจนหัวร้อน และหลับไปเมื่อตอนตีสามนี่เอง เรื่องเล่าของแม่จึงไม่ได้เข้าไปในสมองของคุณเลย มีแค่อาการเหมือนโลกกำลังสั่นไหวตลอดเวลา สมองอยากจะหยุดทำงานลงอย่างเดียว แถมด้วยอาการคันที่ก้น จนคุณอดทนไม่ไหว ใช้มือซ้ายเช็ดขี้ตา ส่วนมือขวาเกาก้นแกร๊ก ๆ พร้อมหาวปากกว้างไปด้วยในเวลาเดียวกัน พระเจ้าเห็นอากัปกิริยาทุกอย่างรวมถึงเหตุการณ์เมื่อคืนทั้งหมด
ส่วนพ่อที่ยืนฟังอยู่อย่างสงบ ซึ่งความจริงพ่อไม่ค่อยได้ยินอะไรหรอก แค่เสียงแม่ที่แตกตื่นโวยวายนั้นทำให้พ่อต้องหันมาดูก็เท่านั้น ในใจพ่อมีเพียงเรื่องว่า บ่ายนี้อยากจะไปเดินจตุจักร เพื่อหาซื้อต้นไม้มาปลูกแทนต้นที่วางตรงบันไดขึ้นบ้านแทน เพราะต้นเดิมถูกมดเข้าไปทำรังในกระถางเต็มไปหมด มันกัดกินเสียจนต้นไม้ตายลงไป พ่อรักและหวงเจ้าต้นไม้นั่นมาก แม้ว่าจะเสียใจแค่ไหน แต่ก็ได้แค่ทำใจ พระเจ้าก็มองเห็นกระทั่งมดที่กำลังทำรังและกัดกินรากต้นไม้ที่พ่อรัก
ขณะที่ทั้งสามยืนกันอยู่อย่างนั้น เจ้าก้านกล้วย สุนัขที่คุณตั้งชื่อตามการ์ตูนที่ชื่นชอบวัยเด็ก กำลังมุดเข้าในบ้านอย่างระมัดระวัง
ที่มันเพิ่งกลับมาเพราะมันมัวไปตามติดเจ้าปุ๊กลุ๊ก สุนัขมีเพดดีกรี สายพันธ์ุเทอเรียแท้ ที่เดินอวดโฉมให้สุนัขหนุ่มในซอยได้ชื่นชม จนเจ้าสุนัขหนุ่มทั้งหลายถึงขั้นกัดกันแย่งชิงตัวเจ้าสุนัขสาว เสียงดังลั่นไปทั่วซอย มีแต่เจ้าก้านกล้วยเท่านั้นที่แอบลอบปีนรั้วจากข้างบ้าน เข้าไปพลอดรักกับสุนัขสาวไฮโซ จนตอนนี้มีทายาทพันธุ์ผสมอยู่ในท้องสาวเจ้าเสียแล้ว ถ้าถึงวันคลอด เจ้าก้านกล้วยคงได้ถูกจับไปขอขมาที่ข้างบ้านเป็นแน่ และพระเจ้าก็เห็นกระทั่งตอนก้านกล้วยบุกเข้าไปถึงบ้านสุนัขสาวทุกอิริยาบท
จะเห็นได้ว่า มุมมองของพระเจ้า แทรกเข้าไปได้ทุกที่ เห็นทุกอย่าง ทุกเวลา ไม่มีข้อจำกัดใด ๆ
จะย้อนเวลาไปในอดีตก็ได้ คุ้ยเข้าไปในจิตใต้สำนึกหรือความรู้สึกความคิดของใครก็ได้
รับรู้ถึงความรู้สึกของตัวละครก็ยังได้
มองเห็นเข้าไปแม้ในสถานที่ที่ไม่มีใครไปถึง เห็นเข้าไปถึงในชีวิตที่กำลังเกิดขึ้นทีละน้อยในร่างกายผู้เป็นแม่ ก็ยังทำได้
มุมมองพระเจ้าจึงสามารถอธิบายได้ทุกอย่าง ทุกเหตุการณ์ ทุกเวลา ทุกตัวละคร ได้ทั้งสิ้น อย่างทะลุปรุโปร่งเสียด้วย
ซึ่งข้อดีของการใช้มุมมองบุรุษที่ 3 แบบพระเจ้า ก็คือ เราสามารถอธิบายทุกรายละเอียดในเรื่องได้หมด และใช้ความพิเศษนี้อธิบายเหตุการณ์ หรือข้อจำกัดอันมนุษย์ปกติทำไม่ได้ ให้เกิดขึ้นได้ เพราะผู้ที่กำลังเล่าเรื่องคือ พระเจ้า ผู้สามารถรับรู้ได้ทุกสิ่งอันที่เกิดขึ้นในจักรวาล
เราลองดูตัวอย่างอีกอัน
- มุมมองบุรุษที่ 1
ผมเดินเข้าไปในซอยเปลี่ยวที่มืดทึม ไฟส่องสว่างเพียงพอแค่เห็นทางข้างหน้าแค่ลาง ๆ เท่านั้น ผมจึงพยายามเดินเข้าไปช้า ๆ พลันมีเสียงแปลก ๆ ดังขึ้นข้างหน้าในเงามืดนั้น ผมตกใจจนใจเต้นระส่ำ เพียงชั่วอึดใจความรู้สึกปวดแปลบและร้อนวูบเกิดขึ้นที่ด้านหลัง มีอะไรบางอย่างมาปิดปากผมไว้ ผมพยายามดิ้นรนแต่เปล่าประโยชน์ ความเจ็บปวดแสนสาหัสทำให้ผมไร้โอกาสต่อสู้ สิ่งที่ผมรับรู้ได้ มีเพียงกลิ่นคาวเลือดและกลิ่นหอมแปลก ๆ กลิ่นที่เหมือนเคยได้กลิ่นที่ไหนสักที่
แล้วภาพความทรงจำของผมเกี่ยวกับกลิ่นนี้ก็ผุดขึ้น ภาพเพื่อนสนิทของผมกับน้ำหอมขวดใหม่ที่ผมซื้อให้กับมือ แต่ก็สายไปแล้ว ภาพที่ผมเห็นมีเพียงดวงไฟที่ส่องแสงริบหรี่ที่กำลังค่อย ๆ มืดลงอย่างช้า ๆ พร้อมกับสติของผมที่กำลังค่อย ๆ เลือนลางลงไปพร้อม ๆ กัน
- มุมมองบุรุษที่ 2
คุณกำลังเดินเข้าไปในซอยเปลี่ยวที่ดูมืดทึม ไฟส่องสว่างก็ไม่ได้สว่างสมชื่อสักเท่าไหร่ คุณพยายามก้าวไปช้า ๆ เพราะความมืดที่ว่ามันทำให้คุณรู้สึกแปลก ๆ ที่ด้านหลัง พลันมีเสียงประหลาดดังขึ้น จนคุณสะดุ้งตกใจ แล้วความรู้สึกจุกและเจ็บแปลบก็เกิดขึ้นที่ด้านหลังของคุณในชั่วเสี้ยววินาที คุณแทบไม่รู้เลยว่าเกิดอะไรขึ้น รู้เพียงตอนนี้สติของคุณกำลังเลือนลางลงอย่างช้า ๆ
- มุมมองพระเจ้า
ชายหนุ่มค่อย ๆ เดินเข้าไปในซอยเปลี่ยวที่ดูมืดทึมอย่างระมัดระวัง คงเพราะแสงสว่างจากหลอดไฟเก่าที่อายุการใช้งานอาจพอ ๆ กับอายุชายหนุ่มที่เดินอยู่เบื้องล่างเสียด้วยซ้ำ เขาจึงเดินอย่างระมัดระวังเพราะมันมืดจนมองทางลำบาก บวกกับความรู้สึกแปลก ๆ ที่ด้านหลัง พลันมีเสียงประหลาดดังขึ้นจากความมืดข้างหน้า เขาสะดุ้งตัวโยน หัวใจเขาเต้นโครมครามด้วยความเร็วขึ้นเกือบ 150 ครั้งต่อนาที ตามมาด้วยเสียงร้องเหมียวของเจ้าแมวสีดำตัวเขื่อง ที่กำลังคุ้ยถังขยะข้างหน้าจนฝาถังหล่นลงโครมใหญ่
เขาถอนหายใจโล่งอก แต่หาได้ทันสังเกตุว่าความน่าสะพรึงที่แท้จริงนั้นอยู่ด้านหลังเขาห่างออกไปเพียงสามสี่ก้าว โลหะมันวาวสะท้อนแสงแม้เพียงริบหรี่ แต่ก็พอเห็นเงาสะท้อนภาพของชายลึกลับที่เดินตามมาอย่างเงียบเชียบ มีดทำครัวยาวเจ็ดนิ้วคมกริบพุ่งผ่านความมืดออกไป มันพุ่งทะลุผิวหนังแทรกเข้าไปตัดเส้นเลือดที่ขวางทางอยู่อย่างไร้ปราณี ปลายแหลมทะลุเข้าไปในช่องปอด โลหิตอุ่น ๆ พุ่งกระฉูดออกมาราวกับน้ำพุ ชายหนุ่มหาได้ทันส่งเสียงไม่ ชายลึกลับใช้มืออีกข้างปิดปากเขาไว้แน่น แต่กลิ่นที่ระคนมากับกลิ่นเลือดที่กำลังคละคลุ้ง ชายหนุ่มจำมันได้ดี กลิ่นน้ำหอมที่คุ้นเคย น้ำหอมที่เขาเป็นคนเลือกซื้อเองด้วยซ้ำ ของขวัญล่าสุดที่เขามอบให้เป็นของขวัญวันเกิดเพื่อนสนิทของเขา กลิ่นลอยมาจากชายลึกลับที่กำลังจ้วงแทงมีดซ้ำแล้วซ้ำอีกนับครั้งไม่ถ้วนอย่างบ้าคลั่งและไร้ความเมตตาใด ๆ
จากมุมมองทั้งสามแบบด้านบน จะเห็นได้ว่ามุมมองแต่ละแบบมีความแตกต่างกัน ทั้งในแง่สรรพนามที่ใช้ การเล่าเรื่องราวและเหตุการณ์เดียวกัน แต่ผ่านมุมของจุดต่าง ๆ ทั้งผ่านตัวละคร ผ่านใครบางคนที่กำลังคุยกับคุณ และผ่านสายตาของใครอีกคนที่มองเห็นทุกอย่างตรงหน้า และลึกเข้าไปในทุกสรรพสิ่ง
ซึ่งจากมุมมองพระเจ้านี่เอง ที่จะปลดข้อจำกัดบางอย่างในการเล่าออกไปได้ โดยไม่ทำให้เรื่องขาดความน่าเชื่อถือ เช่น
- ผมรู้สึกถึงโลหะสีมันวาวที่พุ่งผ่านความมืดมา มันแทงทะลุจากเข้ามาในตัวจนถึงปอดของผม-
การเขียนแบบมุมมองบุรุษที่ 1 แบบประโยคข้างบน จะทำให้เรื่องไม่สมจริงในทันที เพราะในความเป็นจริง คนที่หันหลังย่อมไม่เห็นว่ามีอะไรเกิดขึ้นที่ด้านหลัง ไม่สามารถมองผ่านความมืดได้ถนัดราวกับเป็นตอนกลางวัน ไม่สามารถรู้สึกไปถึงในตัวว่ามันทะลุไปถึงปอดจริงหรือไม่
แบบนี้เองที่มักเป็นข้อผิดพลาดของนักเขียนที่อาจลืมไปถึงความสมจริงของเรื่องเล่าของเรา ซึ่งการเล่าแบบมุมมองพระเจ้าจะแก้ปัญหาทั้งหมดได้
แต่ก็มีข้อเสียอีกอย่างของมุมมองพระเจ้าก็คือ การที่เราอาจใส่รายละเอียดมากเกินไปลงไปในเรื่องเล่า เพราะผู้เขียนอยากอธิบายทุกอย่าง ให้เป็นเหตุเป็นผลกัน และนั่นทำให้เรื่องเล่าของเราขาดเสน่ห์ที่น่าติดตามไปเสีย
งานเขียนแบบมุมมองพระเจ้าจึงเป็นที่นิยมในการเขียนแนวนวนิยาย เพราะมีรายละเอียดมาก และสามารถเล่าได้ทุกมิติ ทั้งอดีตของตัวละคร ความคิด ความรู้สึก สีหน้าท่าทาง รวมถึงรายละเอียดที่มนุษย์ปกติไม่อาจรับรู้ได้ มุมมองพระเจ้าสามารถอธิบายได้ทั้งสิ้น แต่เราก็อาจเลือกไม่อธิบายเพื่อความน่าสนใจของเรื่องก็อาจทำได้เช่นกัน
อีกตัวอย่างของงานเขียนที่นิยมใช้มุมมองพระเจ้าอีกอันก็คือ นวนิยายกำลังภายใน เพราะอะไรเราลองมาดูตัวอย่างที่ดีมากอันนี้กันครับ (ขออนุญาตพี่มูฟวี่ล่วงหน้าตรงนี้เลยแล้วกันนะครับ)
จะเห็นได้ว่าการบรรยายบรรยากาศ การต่อสู้ที่เหนือจินตนาการ ท่วงท่า และวิชาต่าง ๆ รวมถึงความรู้สึกของตัวละครมากมาย ทั้งหมดจะไม่เห็นภาพเลยถ้าไม่ได้ใช้มุมมองพระเจ้าในการมอง
พระเจ้าเท่านั้น จะมองเห็นพลังลมปราณที่โคจรอยู่ทั่วร่าง และแผ่พุ่งออกมายามซัดฝ่ามือ มองเห็นอาวุธลับเล็กจิ๋วที่ซัดออกมาจำนวนมหาศาลในชั่วพริบตา มองเห็นอวัยวะภายที่ในแหลกและขาดสะบั้นในตอนที่โดนพลังภายในที่แกร่งกล้าซัดใส่อย่างเต็มแรง
นวนิยายกำลังภายในจีน จึงเป็นงานเขียนที่ต้องพึ่งพามุมมองพระเจ้าอย่างมาก ในการถ่ายทอดเรื่องราวให้ออกมา เพื่อให้คนอ่านเห็นภาพและสนุกไปกับเรื่องราวให้ได้
มีเพิ่มเติมจากพี่มูฟวี่ของเราว่า
"ผมขออนุญาตเพิ่มเติมมุมมองแบบพระเจ้า
ก็อย่างงที่พี่เขาบอก มันจะเหมาะกับงานเขียนแนวแฟนตาซี พวก Lord of the Ring เพราะมันจะครอบคลุมกว่า ทุกมุมมองที่พี่ยกตัวอย่าง
ผมอยากให้ลองไปนึกถึงหนังที่เราผ่านตา มันเล่าเรื่องแบบไหน ฝึกบ่อย ๆ เราจะเข้าใจมากขึ้น แล้วนำมาเลือกใช้ในงานเขียนได้ครับ เพราะไม่ว่าหนัง หรือนิยาย ใช้หลักการเดียวกันครับ
ในการถ่ายทอดไปถึงคนดูคนอ่าน"
อันนี้มุมมองจากภาพยนต์ ซึ่งเราคุ้นเคยกันยิ่งกว่างานเขียนเสียด้วยซ้ำ เวลาดูหนัง อาจลองเทียบเคียงเรื่องมุมมอง อาจเห็นภาพชัด คือมาทั้งภาพทั้งเสียง ครบเรื่อง
ขอบคุณพี่มูฟอีกครั้งด้วยครับ
และสุดท้ายนี้ แอดก็หวังว่าการอธิบายเรื่องมุมมองของเรื่องแบบต่าง ๆ ที่เล่าให้ฟังมาทั้งหมดนี้ คงเป็นประโยชน์กับท่านผู้สนใจไม่มากก็น้อย แอดก็ไม่ได้เป็นผู้เชี่ยวชาญอะไร เพียงแต่พยายามนึกภาพและถ่ายทอดออกมาให้เห็นภาพกว้าง ๆ ที่ทุกคนน่าจะพอแยกได้ว่า มุมมองแต่ละแบบ มีข้อดี ข้อเสีย ข้อจำกัดอะไรบ้าง
และมุมมองไหนเหมาะกับเรื่องที่เราจะเล่าบ้าง และนั่นจะช่วยให้เรื่องเล่าของเราออกมาสมจริง และคนอ่านจะรับรู้ได้ถึงความตั้งใจ และใส่ใจของคนเขียน
หวังว่าจะติดตามกันไปกับประเด็นอื่น ๆ ที่สนใจกันอีกในอนาคต หรือมีเรื่องไหนอยากเรียนรู้ไปด้วยกันก็บอกกล่าวกันได้ จะลองไปศึกษาและนำมาแลกเปลี่ยนกันอีกในอนาคต
สำหรับวันนี้ สวัสดี สวีดัด ทุกคนไปเพียงเท่านี้ก่อนนะ
ปอลอ : ยายขายมาลัยแกป่วย เลยขอลาพักไปแล้ว วันนี้เลยไม่ได้มาอธิบายให้ฟัง ต้องขออภัยแทนยายด้วยนะทุกคน หุหุหุหุ
โฆษณา