27 ม.ค. 2020 เวลา 12:19 • วิทยาศาสตร์ & เทคโนโลยี
เรื่องสั้น : โรคระบาด [Pandemic]
"สถานการณ์ตอนนี้มีผู้เสียชีวิตแล้วราวห้าหมื่นคน ทั่วโลกกำลังพยายามควบคุมอย่างเข้มงวด แต่ทว่าความโกลาหลยังเกิดไปทั่ว ผู้คนต่าง…"
ฉันปิดการรายงานข่าวทางทีวีลง หน้าจอกลับไปมืดสนิทและทุกอย่างกลับไปเงียบงันเหมือนทุกอย่างรอบตัวกำลังหยุดนิ่ง
ในตู้เย็นเหลืออาหารไม่มากแล้ว น้ำเปล่าพอกินไปอีกราว หนึ่งถึงสองสัปดาห์ อาหารแห้งคงพอประทังไปได้ราวสามอาทิตย์ ฉันนั่งคำนวณคร่าว ๆ ว่า ถ้ายังเก็บตัวขังอยู่แต่ในบ้านแบบนี้ น่าจะพอประทังชีวิตไปได้อีกราวหนึ่งเดือน ถ้าฉันประหยัดทุกอย่างลงอีกครึ่งหนึ่งได้
ความคิดวุ่นวายเริ่มก่อตัวขึ้นอีกครั้งในหัว ฉันได้แต่บอกตัวเองเบา ๆ ว่า "มีสติหน่อยสิ มีสติ"
ตอนนี้มีเพียงสติเท่านั้นที่จะพาเรารอดพ้นจากหายนะในครั้งนี้
: สองเดือนที่แล้ว
มีรายงานข่าวการแพร่ระบาดของโนโรไวรัสสายพันธุ์ใหม่ระบาดมาจากประเทศแถบยุโรปตะวันออก ผู้คนต่างเฉยเมยกับมัน เพราะรู้ดีว่าไวรัสพวกนี้กระจายอยู่เป็นประจำและแทบจะเป็นโรคสามัญประจำปีไปแล้วด้วยซ้ำ และด้วยอาการแรกเริ่มคืออาเจียนหรือท้องเสีย ปวดท้อง อาการทั่วไปไม่น่ากลัวอะไรมากมาย จึงไม่มีใครเฉลียวใจเรื่องนี้เท่าไหร่
แต่ความน่ากลัวเกิดขึ้นเมื่อโนโรไวรัสกลายพันธุ์เพราะไปผสมกับเชื้อโคโรน่าไวรัส และติดต่อไปได้ทุกชีวิต ไม่ว่าจะคนหรือสัตว์ การแพร่ระบาดเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว ลุกลามมาที่อเมริกา เอเชียกลาง และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และระบาดไปทั่วโลกในเวลาเพียงสามเดือน แน่นอนการเดินทางที่เราพยายามให้รวดเร็วทันใจ เป็นเครื่องอำนวยความสะดวกให้ไวรัสเช่นกัน
นักวิทยาศาสตร์เร่งค้นคว้าและหาต้นต่อของโรคระบาดอย่างรวดเร็ว จีโนมของไวรัสกำลังถูกเร่งศึกษา รัฐบาลประเทศต่าง ๆ พยายามควบคุมสถานการณ์อย่างเต็มที่ แต่สิ่งที่ทำให้ทุกอย่างพินาศ การควบคุมล้มเหลว และเชื้อแพร่สะพัดไปทั่ว จนผู้คนล้มตายมากมาย กลับกลายเป็นเพราะ "มนุษย์" เรานี่เอง ไม่ใช่โรคร้ายเสียทีเดียวเมื่อไหร่
[ผู้คนในเมืองต่างเข้าแถวต่อคิวกันหน้าโรงพยาบาลยาวเหยียด บางคนไม่พอใจเหล่าบุคลากรการแพทย์ที่ล่าช้าเพราะจำนวนผู้ป่วยมหาศาล พวกเขาเข้าไปดึงหน้ากากและชุดป้องกันของเหล่าแพทย์พยาบาลออก แล้วถ่มน้ำลายใส่หน้าพวกเขา พยาบาลบางคนกรีดร้องและร้องไห้] - ทวิตของผู้ใช้งานรายหนึ่งในประเทศแถบอเมริกาใต้
ผู้คนส่งต่อมันไปทั่วโลก ทั้งคลิปวีดีโอผู้คนล้มลงอย่างไร้สาหตุ ภาพประชาชนแน่นขนัดหน้าโรงพยาบาล มันถูกส่งพร้อมข้อความวิพากษ์อย่างเผ็ดร้อนเพื่อยืนยันความล้มเหลวของรัฐในการจัดการผู้ติดเชื้อ แต่ไม่เคยมีใครทราบว่าจริง ๆ มีเหตุการณ์แบบนั้นเกิดขึ้นจริงหรือไม่ คิดกันแค่ว่าการระบาดคงลุกลามยากเกินควบคุม และผู้คนคงป่วยกันไปหมดแล้ว ความตื่นกลัวแพร่สะพัดไปทั่วโลก ไวกว่าไวรัสนับล้านเท่า
[ประชาชนกดดันให้ปิดประเทศ รัฐยอมจำนนต้องทำตาม เพราะประชาชนลุกฮือ] - พาดหัวข่าวหน้าหนึ่งหนังสือพิมพ์ออนไลน์ในประเทศหนึ่งในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
ใครจะรู้ว่าการปิดประตูบ้านกลับกลายเป็นหายนะ จากการเดินทางที่ถูกคัดกรองอย่างเป็นระบบ กลายเป็นผู้คนหลบหลีกและแฝงเข้ามาตามชายแดนประเทศข้างเคียง หลบมาตามเส้นทางธรรมชาติด้วยความหวาดกลัว และนำเอาเชื้อร้ายเข้ามาในห้องปิดอย่างเงียบงัน และความสบายใจที่ห้องถูกปิดประตูตาย พวกเขายิ้มเยาะที่รอดพ้นหายนะ โดยที่ไม่รู้เลยว่ามันแทรกซึมมาจากช่องใต้ประตู ขอบหน้าต่าง รูบนฝ้าเพดาน และกระจุกในห้องอย่างเลี่ยงไม่ได้
[ผู้คนกักตุนอาหารและน้ำดื่ม หน้ากากอนามัยถูกกว้านซื้อไปใส่กันจนเกลี้ยงประเทศ] - โพสในโซเชียลชื่อดัง พร้อมรูปประกอบถูกส่งต่อไปทั่วโลกออนไลน์
ผู้คนจึงรีบออกจากบ้าน กว้านซื้อหน้ากาก แทนที่ผู้ป่วยจริง ๆ จะได้ใส่มันเพื่อป้องกันการระบาด แต่กลับขาดแคลนเพราะคนปกติเอาไปกักตุนจนเกลี้ยง แน่นอน พวกเขาไอจามและสร้างการปนเปื้อนไปทั่ว ทั้งอาหาร น้ำดื่ม และ วัตถุรอบตัวเกือบทุกชนิด การแพร่ระบาดกระจายหนักกว่าเดิม
[รัฐสั่งผู้คนให้ดูแลสุขภาพตนเองและระวังตัว หลีกเลี่ยงสัมผัสตัวผู้ป่วย ไม่มียาใดใช้รักษาได้ในตอนนี้] - ประกาศจากรัฐบาลที่อ่อนแอการสื่อสารประเทศหนึ่ง
ประชาชนเริ่มคลางแคลงกันอย่างน่าวิตก ผู้คนที่ดูท่าทางอิดโรย หรือคล้ายเริ่มป่วยถูกจับไปขังไว้ในพื้นที่ปิดโดยฝีมือประชาชนเอง โดยรัฐไม่อาจห้ามได้ เพราะชาวบ้านรวมตัวกันเป็นกองกำลังป้องกันตนเองขึ้นเพราะไม่เชื่อมือรัฐอีกต่อไป
เหล่าผู้ป่วยจริงและไม่จริงถูกจับไปรวมกัน แพร่ระบาดเชื้อจนเพิ่มทวีคูณในไม่กี่วัน เมื่อพวกเขาเริ่มพยายามหนีจากที่กังขัง ประชาชนภายนอกที่เฝ้าดูจะกำจัดพวกเขาไปทีละคน โดยอ้างเพื่อป้องคนที่ปกติที่อยู่ด้านนอก พวกเขาภาคภูมิใจที่ได้ปกป้องอีกหลายชีวิตโดยการกำจัดไม่กี่ชีวิต
[การปนเปื้อนหลักมาจากอาหารและน้ำดื่ม ไม่ใช่การสัมผัสร่างกาย] - แหล่งข่าวรายงานจากห้องทดลองที่ค้นคว้าอย่างหนักติดต่อกันมาหนึ่งเดือน
สายไปเสียแล้ว ผู้คนกักตุนอาหารที่ไม่แน่ใจถึงการปนเปื้อนไว้กันทั่ว น้ำสะอาดหายากพอ ๆ กับทองคำ และการกำจัดคนที่เขตกักกันเปล่าประโยชน์ พวกเขาถูกบีบให้จบชีวิต ทั้งที่การควบคุมโรคง่ายมากเพียงแค่ล้างมือให้สะอาด สวมใส่ถุงมือก่อนล้างอาหารสดทุกชนิดและปลอกเปลือกผลไม้ก่อนทาน น้ำดื่มต้มสุกทุกครั้งก่อนดื่ม และการทำให้ร่างกายแข็งแรง นี่คือยาวิเศษต่างหาก
หลังจากผ่านเวลาที่ทุกคนถูกสั่งให้เก็บตัวในบ้านสองสัปดาห์ ทุกอย่างเข้าสู่ภาวะควบคุมได้อีกครั้ง หลังวิธีการป้องกันอย่างถูกต้องได้ถูกนำไปใช้อย่างเข้มงวด
สรุปรวมผู้เสียชีวิตจากการระบาดของไวรัสครั้งนี้ราวหนึ่งแสนคน เป็นการเสียชีวิตจากโรคจริง ๆ ราวห้าพันคน ที่เหลือถูกบังคับให้ติดโรคจากการจับไปขังกับผู้ติดเชื้อจริงรายอื่น หลายคนถูกกำจัดเพราะหลบหนี บ้างตายไประหว่างการลี้ภัย และอีกหลายคนฆ่าตัวตายจากความเครียดและแรงกดดันรอบด้าน
โลกจารึกการระบาดครั้งนี้ว่าเป็นหายนะ แต่ไม่ใช่หายนะจากตัวไวรัส แต่เป็นหายนะจากเชื้อร้ายที่เรียกว่า "ความกลัว" ผสมกับเชื้อร้ายอีกสายพันธุ์ที่เรียกว่า "ข่าวปลอม" กลายเป็นเชื้อโรคอุบัติเก่าที่เรียกว่า "คน"
โลกต่างเศร้าสลดจากเหตุการณ์นี้ และไม่ค่อยมีใครอยากพูดถึงมันอีกเลย แล้วโรคร้ายที่เรียกว่า "คน" ก็สงบลง...ชั่วคราว
ฉันเริ่มเขียนบันทึกเรื่องราวครั้งนี้ในสมุดบันทึกส่วนตัวว่า
[Pandemic in the world of rumors]
เทพกรีกที่ชื่อว่า Pan ที่มีรากศัพท์แปลว่า ทั่วไปหมด ความหมายที่แฝงมากับรากศัพท์นั้นอ้างอิงไปถึงบางตำนานที่กล่าวว่า ด้วยลักษณะของเทพแพน ที่มีส่วนบนเหมือนคนแต่บนหัวมีเขาคล้ายแพะ ส่วนล่างมีขาเป็นแพะมีขนปกคลุมอยู่ทั่ว ใบหน้าดูน่ากลัว บ้างว่าเป็นที่มาของรูปซาตาน
แพนเคยสร้างความโกลาหลให้แก่กองทัพยักษ์ในคราสงครามของเทพโอลิมปัสกับเหล่ายักษ์ที่เป็นอดีตเทพยุคก่อน โดยแพนส่งเรียกร้องตะโกนก้อง ซึ่งเสียงนั่นสร้างความหวาดกลัวอย่างไร้เหตุผลให้แก่ศัตรู จนศัตรูต้องแตกพ่ายเพราะความตระหนกและหวาดกลัวเกินเหตุ นั่นนำชัยชนะมาให้อย่างง่ายดาย
Panic จึงเป็นคำที่ใช้สำหรับความตื่นกลัวจนเลยเถิด ยากควบคุม ซึ่งอาจบานปลายไปจนเกิดความโกลาหลไปทั่ว
Pandemic จึงเป็นความหมายที่ตรงตัว ที่หมายถึงโรคระบาดที่กระจายตัวไปกว้างไกล ข้ามเขตแดนไปจนกระจายไปทั่วทุกแผ่นดินเกินควบคุมได้
อีกนัยคือ โรคระบาดที่สร้างความโกลาหลให้แก่ทุกชีวิต สร้างความกลัวจนแพร่กระจายไปรวดเร็วกว่าความตายอันจากโรคร้ายเสียอีก
ซึ่งนั่นเกิดขึ้นแล้วจริง ๆ ที่เราฆ่ากันตายเพราะความหวาดกลัวมากกว่าที่โรคร้ายมันปลิดชีพเราเสียอีก
ฉันวางปากกาลง ปิดสมุดบันทึก และน้ำตาก็ไหลออกมาเมื่อนึกถึงภาพความสูญเสียที่เพิ่งผ่านไป จากน้ำมือพวกเรากันเอง น้ำมือ "คน" อย่างพวกเรา

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา