28 ม.ค. 2020 เวลา 03:57 • บันเทิง
คุณทำอะไรบ้างครับเวลาที่คุณคิดถึงใครซักคน?
แปลเพลง - All of the stars - Ed Sheeran - The Fault In Our Stars OST
เพลงประกอบภาพยนตร์เรื่อง The Fault In Our Stars
เราทุกคนมีความทรงจำที่ดีกับคนที่เรารักไม่ว่าจะเป็นคนในครอบครัว คู่รักของเรา หรือเพื่อนของเรา ความประทับใจเหล่านั้นถูกสร้างขึ้นในสถานที่และสถานการณ์ต่างๆ นึกถึงขึ้นมาเมื่อไหร่ก็เรียกรอยยิ้ม เสียงหัวเราะ หรือแม้แต่ความโศกเศร้าให้เราได้เสมอครับ บางครั้งการได้ไปเยือนตามสถานที่ต่างๆเหล่านั้นอีกครั้งไม่ว่าจะด้วยความตั้งใจหรือไม่ตั้งใจก็อาจจะพาเราย้อนกลับไปสู่ช่วงเวลาเหล่านั้นได้อย่างไม่น่าเชื่อครับ เรื่องนี้จะ emotional มากๆหากคนที่เราคิดถึงเป็นคนที่ล่วงลับไปแล้ว และนั่นอาจทำให้เราอยากจะทำอะไรซักอย่างที่เราเคยทำในอดีตร่วมกันกับเค้าเพื่อเค้าอีกซักครั้ง เคยเป็นเหมือนกันรึเปล่าครับ? ^_^-..
เพลงของความคิดถึง ยังคงทำให้เราซาบซึ้งได้เสมอเลยนะครับ วันนี้เป็นเพลงประกอบภาพยนต์จากเรื่อง The Fault in Our Stars ครับ เพลงนี้แต่งได้ดีมากและแต่งขึ้นมาเพื่อหนังเรื่องนี้โดยเฉพาะด้วยเช่นกัน เพลงทั้งเพลงเป็นเรื่องของการ setup context กับคนฟัง สร้างฉากทั้งฉากให้เราเห็นและฉายให้เราเห็นเหตุการณ์และอารมณ์ไปพร้อมๆกัน เป็นเพลงที่ทำให้แปลไปน้ำตาร่วงไปครับ มันสวยงามและเจ็บปวดไปพร้อมๆกัน
All Of The Stars
It's just another night
And I'm staring at the moon
I saw a shooting star
And thought of you
I sang a lullaby
By the waterside and knew
If you were here, I'd sing to you
You're on the other side
As the skyline splits in two
I'm miles away from seeing you
I can see the stars
From America
I wonder, do you see them, too?
So open your eyes and see
The way our horizons meet
And all of the lights will lead
Into the night with me
And I know these scars will bleed
But both of our hearts believe
All of these stars will guide us home
I can hear your heart
On the radio beat
They're playing'Chasing Cars'
And I thought of us
Back to the time,
You were lying next to me
I looked across and fell in love
So I took your hand
Back through lamp lit streets I knew
Everything led back to you
So can you see the stars?
Over Amsterdam
You're the song my heart is
Beating to
So open your eyes and see
The way our horizons meet
And all of the lights will lead
Into the night with me
And I know these scars will bleed
But both of our hearts believe
All of these stars will guide us home
And, oh, I know
And oh, I know, oh
I can see the stars
From America
ดวงดาวทุกดวง
ก็ยังคงเป็นอีกคืน ที่ชั้นนั่งมองดูจันทร์ เห็นดาวตกแล้วก็คิดถึงเธอ
ชั้นเลยร้องเพลงกล่อม เพราะหากเธอยังอยู่ข้างชั้นที่ริมธารด้วยกันตอนนี้
ชั้นก็คงกำลังร้องเพลงกล่อมเธออยู่ แต่ตอนนี้เธออยู่ไกลเหลือเกิน
คนละฝั่งของฟากฟ้าที่แบ่งโลกเป็นวันและคืน เกินกว่าสายตาจะหาเธอเจอ
แต่ชั้นมองเห็นดวงดาวนะ จากฝั่งอเมริกาที่ชั้นอยู่ตรงนี้ สงสัยจังว่าเธอจะเห็นเหมือนชั้นมั้ย?
งั้นลองลืมตาขึ้นสิ แล้วมองไปตรงที่ขอบฟ้าของเราบรรจบกัน
แล้วเส้นแสงทั้งหมดเหล่านั้นจะพาเธอล่วงเวลากลางวันเพื่อข้ามมาสู่เวลากลางคืนที่ชั้นอยู่ตรงนี้
ชั้นรู้ว่าทำเช่นนี้จะยิ่งทำให้เราเจ็บปวดขึ้นไปอีก แต่เราต่างก็เชื่ออยู่เต็มหัวใจว่าดวงดาวทุกดวงเหล่านั้น
จะนำพาเรากลับมาเจอกันยังบ้านของเรา
วิทยุกำลังเล่นเพลง Chasing Cars แล้วเหมือนชั้นได้ยินเสียงหัวใจของเธอในจังหวะเพลง
มันทำให้ชั้นคิดถึงเรื่องของเรา คิดไปถึงตอนที่เธอนอนฟังเพลงนี้อยู่ข้างๆชั้น ตอนนั้นชั้นมองไปที่เธอ
และเป็นตอนที่ทำให้ชั้นต้องหลงรักเธอ ชั้นเลยจูงมือเธอ และพาเธอเดินฝ่าน้ำค้างท่ามกลางแสงไฟส่องทางข้างถนน
ทุกสิ่งทุกอย่างมันช่างทำให้ชั้นต้องคิดถึงเธอ แล้วเธอเห็นดวงดาวจากอัมสเตอร์ดัมที่เธออยู่ตอนนี้มั้ย?
ได้ยินเสียงเพลงแห่งตัวเธอที่หัวใจของชั้นใช้เต้นอยู่นี้ด้วยรึเปล่า?
งั้นลองลืมตาขึ้นสิ แล้วมองไปตรงที่ขอบฟ้าของเราบรรจบกัน
แล้วเส้นแสงทั้งหมดเหล่านั้นจะพาเธอล่วงเวลากลางวันเพื่อข้ามมาสู่เวลากลางคืนที่ชั้นอยู่ตรงนี้
ชั้นรู้ว่าทำเช่นนี้จะยิ่งทำให้เราเจ็บปวดขึ้นไปอีก แต่เราต่างก็เชื่ออยู่เต็มหัวใจว่าดวงดาวทุกดวงเหล่านั้น
จะนำพาเรากลับมาเจอกันยังบ้านของเรา
แต่ชั้นมองเห็นดวงดาวนะ จากฝั่งอเมริกาที่ชั้นอยู่ตรงนี้...
อรรถาธิบาย
เพลงนี้เป็นการรำพึงรำพันครับ รำพึงรำพันกับตัวเราคนเดียวตรงนี้โดยหวังว่าเธอที่อยู่ไกลถึงตรงโน้นจะได้ยินและทำตามสิ่งที่เรารำพึงรำพันแนะนำออกมา (ในเพลงคือคนนึงอยู่อเมริกา อีกคนอยู่อัมสเตอร์ดัม) คำแปลของเพลงนี้ยาวมากเพราะมันอธิบายความรู้สึกไปด้วยในตัวครับ แต่ก็ยังไม่พออยู่ดี ต้องพกออกมาอธิบายต่อข้างนอก เนื้อเพลงค่อนข้างจะใช้ศัพท์ที่ง่ายและแปลได้ตรงตัว ดังนั้นขออธิบายความรู้สึกในเฉพาะบางจุดครับ
I sang a lullaby ที่ชั้นร้องเพลงกล่อมเธอทั้งๆที่ไม่มีเธออยู่ด้วยกันตรงนี้ ก็เพราะชั้นคิดถึงเธอครับ เพราะถ้าเธอไม่ได้อยู่ห่างกันถึงคนละฟากฟ้า เธอก็คงนอนฟังชั้นร้องเพลงกล่อมอยู่ด้วยกันตรงนี้ ตรงนี้เจ็บปวดมากครับโดยเฉพาะสำหรับใครที่คิดถึงคนที่ล่วงลับไปแล้ว คิดถึงแล้วก็อยากจะทำอะไรที่เคยทำด้วยกันอีกซักครั้ง ตรงนี้มองอารมณ์ออกใช่มั้ยครับ ถึงแม้ในเพลงจะสื่อว่าเค้าไม่ได้ล่วงลับจากกัน เพราะคนนึงอยู่อเมริกาส่วนอีกคนอยู่อัมสเตอร์ดัม แต่ในหนังเค้าก็ล่วงลับจากกันจริงๆ (ขออภัยที่สปอล์ย ^^') แต่ถึงจะเป็นคนละสถานที่ในโลก แต่ลักษณะของความหมายก็ใช้สื่อถึงการล่วงลับไปแล้วได้เช่นกันครับ อเมริกาเป็นโลกนึง อัมสเตอร์ดัมก็เป็นอีกโลกนึง
Day and Night
You're on the other side เธออยู่อีกฝาก as the skyline splits in two ที่ฟากฟ้าถูกแยกออกเป็นสอง แปลแค่นี้มันยังไม่จบครับ ที่ฟากฟ้าแยกเป็นสอง ต้องดูตามรูปข้างบนครับ เพราะจะเห็นว่ามันถูกแยกให้เป็นกลางวันกับกลางคืน ดังนั้นสถานการณ์ของคนที่กำลังนั่งร้องเพลงนี้อยู่คือเค้าอยู่ในอเมริกาช่วงกลางคืน ถึงได้นั่งมองดูจันทร์ ถึงเห็นดวงจันทร์ได้เพราะเป็นกลางคืน ในขณะที่อีกคนในเวลาเดียวกันนี้อยู่ไกลถึงอัมสเตอร์ดัมซึ่งเป็นกลางวัน จึงไม่น่าจะมองเห็นดวงดาวแน่ๆเพราะยังสว่างอยู่เลยครับ
Miles away from seeing you จึงไม่ได้แค่ไกลจากกันเป็นไมล์ๆธรรมดา แต่ไกลโขครับ ไกลมากๆคนละซีกโลก ถึงขนาดฟ้าของคนนึงมืดแต่ฟ้าของอีกคนนึงสว่าง ผู้ร้องเพลงเลยบอกว่าตอนนี้ชั้นนั่งดูจันทร์ (กลางคืน) เห็นหมู่ดาว (but I can see the stars) จากอเมริกาที่ชั้นอยู่ตรงนี้ เห็นดาวตก (shooting star) แล้วคิดถึงเธอ ซึ่งเราอาจจะเคยได้นั่งมองจันทร์ข้างริมธาร (waterside) ด้วยกัน เห็นดาวตกแล้วก็เคยร้องเพลงกล่อมกันมาก่อน พอมาเห็นอีกครั้งซึ่งตอนนี้อยู่คนเดียวก็เลยระลึกถึงเลยร้องเพลงกล่อมให้เธออีกครั้งทั้งๆที่เธอไม่อยู่แล้ว อารมณ์ประมาณนี้ครับ แล้วก็เลยคิดว่าเธอจะเห็นดาวเหมือนกับชั้นตอนนี้มั้ยนะ แต่เวลาของเธอน่าจะเป็นช่วงกลางวัน
ก็เลยบอกให้ลืมตามองดู (open your eyes and see) ตรงเส้นขอบฟ้า (horizon) ที่ขอบฟ้าของเราบรรจบกัน ก็กลับไปดูตามรูปข้างบนครับ ที่ขอบฟ้าของคนนึงเป็นกลางคืน กับของอีกคนเป็นกลางวัน ส่วนที่เป็นกลางวันยังสว่างจึงไม่เห็นดาว แต่ในส่วนของกลางคืนยังมืดอยู่พอจะเห็นดาว ก็เลยให้อาศัยเอาแสงจากดาว (all the lights) ที่ยังเห็นอยู่ตามเส้นขอบฟ้านั้นเป็นเส้นนำส่องลงมา (lead into the night) ยังชั้นที่นั่งชมจันทร์ข้างลำน้ำคิดถึงเธออยู่ตรงนี้
And I know these scars will bleed ถ้าให้แปลตรงตัวจะได้ว่า "และชั้นรู้ว่าแผลเป็นเหล่านี้จะมีเลือดซึมออกมาอีกครั้ง" scars คือแผลเป็นซึ่งก็คือแผลที่หายแล้วครับ ตอนที่ยังเป็นแผลสดมันจะเจ็บปวดมาก แต่เมื่อมันหายแล้วเราก็ไม่เจ็บแล้วครับ แต่มันทิ้งรอยเอาไว้ เราจำได้ว่าว่ามันเคยเป็นแผลเพราะอะไร เคยเจ็บเพราะอะไร แต่ตอนนี้มันไม่เจ็บแล้ว มันหายแล้ว scars ตรงนี้สื่อย้อนไปถึงความเจ็บปวดจากการพลัดพรากกันที่เค้าต้องแยกห่างจากกันต้องคิดถึงกันครับ เราคงทราบกันดีอยู่แล้วว่าคนที่ผูกพันธ์กันรักกันแล้วไม่ได้อยู่ด้วยกันนั้น การคิดถึงกันมันทรมานขนาดไหน ดังนั้นตอนนี้เค้าแยกจากกันไปแล้ว คนนึงอยู่อเมริกา คนนึงอยูอัมสเตอร์ดัม เคยเจ็บปวดจากการแยกจากกัน จากความคิดถึงกัน จนยอมรับได้แล้ว จนทำใจได้แล้ว จนหายเจ็บและกลายเป็นแผลเป็นแล้ว (ลองนึกถึงความเจ็บปวดจากการคิดถึงคนที่ล่วงลับไปแล้วนะครับ) แต่การให้เธอมองมาที่เส้นขอบฟ้าแล้วใช้แสงจากหมู่ดาวนำทางกลับมาหาชั้นอีกครั้งเพราะความคิดถึงจะเหมือนกับเป็นการสะกิดแผลเป็นนี้อีกครั้งครับ ซึ่งมันจะเจ็บปวดมากจนทำให้แผลเป็นนี้ต้องมีเลือดซึมออกมาได้อีกครั้ง
I can hear your heart on the radio beats ตรงนี้เป็นเหตุการณ์คล้ายๆท่อนแรกครับที่เค้ามองจันทร์เห็นดาวตกแล้วคิดถึงเธอ คราวนี้ได้ยินเสียงเพลง Chasing car จากวิทยุแล้วนึกถึงเธอเพราะมันเป็นเพลงแห่งความประทับใจ มันเป็นเพลงของเรา มันเป็นเพลงในเหตุการณ์ที่ทำให้ชั้นต้องหลงรักเธอ (I looked across and fell in love) มันเลยมีความหมายมาก ชั้นเหมือนได้ยินเสียงหัวใจเธอดังมาจากจังหวะเพลงด้วยซ้ำ (your heart . . . . beats) มันเลยทำให้ชั้นนึกย้อนไปถึงเหตุการณ์นั้น ตอนที่เธอนอนอยู่ข้างๆชั้นฟังเพลงนี้ด้วยกัน (you were lying next to me)
ภาษาอังกฤษตรงนี้มี trick นิดหน่อยครับ ถ้าเราแปลตรงๆจาก I can hear your heart from the radio beats ตรงๆเลยอาจจะงงได้ แต่ถ้าเราเอามือปิดตั้งแต่ตรงคำว่า from จนถึง radio เราก็แปลได้ง่ายๆแล้วครับ I can hear your heart beat ซึ่งได้ยินมาจากวิทยุ (from the radio) ซึ่งเป็น beats จังหวะของเพลง chasing car
So I took your hand ชั้นเลยจูงมือเธอ ถ้าเรามองเป็นฉากของสถานการณ์ก็คือจูงมือเดินนั่นแหล่ะครับ เดินฝ่าน้ำค้าง (dew) และแสงไฟจากโคมไฟส่องทางข้างถนน (lamp lit street) ตรงนี้เราจะสังเกตเห็นการ setup context อีกครั้งของเพลงครับ เค้าพยายามสร้างฉากของเหตุการณ์ให้เราซึ่งเป็นผู้ฟังเข้าใจฉากนี้ ถ้าให้ผมมโนฉากนี้ (ยากกว่าฉากแรกที่นั่งมองจันทร์ข้างลำน้ำหน่อยนึง) ให้คุณเห็นก็จะประมาณนี้ครับ เค้าทั้งคู่คงนอนฟังเพลง chasing car อยู่ด้วยกันตอนกลางดึก (จนอาจจะถึงใกล้เช้า เพราะต้องเดินฝ่าน้ำค้าง) ในสวนที่ไหนซักแห่งที่อยู่ติดถนน (หรือนอนเล่นข้างถนน) มีโคมไฟส่องทางสาธารณะด้วย ฉากก็จะประมาณนี้ครับ ซึ่ง everything led back to you ก็เลยหมายถึงว่า ไม่ว่าชั้นเห็นอะไรมันก็พาให้คิดถึงเธอไปได้ซะทั้งหมด
เนื้อเพลงบางเนื้อจะมีคำว่า Lambert street เข้ามานะครับ ฟังเพลงดูอาจจะเหมือนว่าร้องเช่นนั้นจริง แต่ผมคิดว่าไม่น่าจะใช่นะครับเพราะมันแค่คล้าย ถ้าลอง google เพิ่มอีกหน่อยจะทราบว่า Lambert street เป็นถนนในท่าอากาศยานใน St. Louis ครับ ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันกับ TFIOS เพราะฉากของหนังเกิดขึ้นที่ Indianapolis และ Amsterdam ครับ
แล้วทีนี้ก็ดึงกลับมาสู่ฉากปัจจุบันที่ข้างริมน้ำอีกครั้งแล้วถามว่า can you see the stars over Amsterdam เธอเห็นดวงดาวที่ท้องฟ้าเหนืออัมสเตอร์ดัมที่เธออยู่ตอนนี้มั้ย แล้วได้ยินเสียงเพลงของตัวเธอที่หัวใจของชั้นใช้เต้นอยู่นี้รึเปล่า? หมายความว่า หัวใจของชั้นที่เต้นอยู่ตอนนี้ ถ้าการเต้นหมายถึงต้องมีจังหวะเสียงเพลงล่ะก็ เพลงเพลงนั้นคือเธอ ซึ่งแน่นอนว่าเธอมองไม่เห็นดวงดาวหรอก เพราะฟากฟ้าของเธอเป็นเวลากลางวัน ดังนั้นก็เลยบอกให้เธอมองดูตรงเส้นขอบฟ้าอีกครั้ง เพื่อให้แสงดาวที่ขอบฟ้านำเธอกลับมาหาชั้นในฟากฟ้ากลางคืนตรงนี้
But both of our hearts believe all of these stars will guide us home ก็ตรงตัวครับ
หนังเรื่องนี้ยังได้ฝากข้อความอื่นๆที่เป็นข้อคิดสำคัญๆของชีวิตไว้ด้วยครับเช่น การตัดสินใจของออกัสตัส พระเอกที่เป็นมะเร็งกระดูกจนต้องตัดขาและอยู่ในช่วงวาระสุดท้ายของชีวิตด้วยวัยเพียง 18 ปีตัดสินใจว่าจะเลือกใช้ชีวิตทุกวันด้วยการเป็นที่จดจำโดยโยนความกลัวทิ้งไว้เบื้องหลัง และให้คำจำกัดความตัวเองว่า "เคย" เป็นมะเร็ง การแสดงออกในช่วงสุดท้ายของชีวิตของเค้านั้นเป็นไปในทางบวกต่ออารมณ์ของตัวเองและคนรอบข้างมากๆ เราดูๆไปยังคิดว่าเฮ้... คนเป็นมะเร็งยังดูร่าเริงกว่าเราซะอีกแน่ะ ในขณะที่เฮเซลเกรซ นางเอกอายุ 17 ปีมีมุมมองชีวิตที่ว่าไม่มีใครหลีกเลี่ยงการถูกหลงลืมได้ สิ่งที่สำคัญไม่ได้อยู่ที่เราต้องพิเศษกับคนหมู่มาก แต่ควรเป็นคนพิเศษกับคนที่พิเศษกับเราต่างหากเพราะเราอาจได้มีเวลาเจอกันแค่ช่วงสั้นๆเท่านั้น
คนเรานั้นถึงแม้จะมีความเจ็บปวดแต่เราก็อยู่กับความเจ็บปวดได้ครับ นึกถึงคนที่ป่วยจนต้องตัดขา ผ่าตัดจนมองไม่เห็น หรือคนในครอบครัวต้องเป็นโรคที่รักษาไม่ได้ ไม่ว่าเค้าจะเป็นคนดีขนาดไหนหรือน่าสรรเสริญเพียงใด แต่ขาของเค้าก็ไม่มีวันจะงอกออกมาได้ครับ เราแค่ต้องเรียนรู้ที่จะอยู่กับมัน เราไม่ได้เลือกที่จะเกิดมาเจ็บ แต่เราเลือกคนที่ทำร้ายเราได้ เราเป็นคนที่ให้การอนุญาต เราเป็นคนให้สิทธิ์ เราเป็นคนเลือกว่าจะให้ใครพิเศษหรือไม่พิเศษกับเราครับ
Happy reminiscence krub.

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา