4 ก.พ. 2020 เวลา 21:35 • การศึกษา
สำเร็จได้เพราะ “ทำมากกว่า”
ผมมีรุ่นน้องที่รู้จักคนหนึ่ง เธอทำงานเป็นพิธีกรตามงานอีเว้นท์ครับ ครั้งหนึ่งช่วงปีใหม่ ผมได้ข่าวว่าเธอเดินสายไปไหว้ปีใหม่บริษัทลูกค้าที่เคยจ้างเธอหลายที่มาก ผมเลยถามเธอว่า คนอื่นๆ เค้าต้องไปบ่อยแบบนี้หรือเปล่า?
เธอตอบว่าไงรู้มั้ยครับ เธอบอกว่า จริงๆ คนอื่นในวงการไม่ค่อยไปแบบเธอหรอก เค้าจะไปเฉพาะงานที่ได้เงิน งานที่ไปแล้วเหนื่อยเปล่าๆ หรืองานฟรี เค้ามักจะไม่ไปกัน อย่างเดินสายไหว้ปีใหม่แบบนี้ จริงๆ จะมีแค่เอเจนซี่ไปไหว้ แต่เธอก็อยากขอติดตามไปด้วย เพราะอย่างน้อยลูกค้าก็จะได้ “จำหน้า” เธอได้
เธอเล่าต่อว่า ทุกวันนี้คนทำงานพิธีกรมีเยอะมาก การไปไหว้ลูกค้าของเธอ ก็เหมือนการ “สร้างโอกาส” เพิ่มมาอีกสักนิด ว่าอย่างน้อยเผื่อมีลูกค้าสักรายสองรายที่จำหน้าเธอได้ เวลามีงานอะไรก็จะได้นึกถึงเธอก่อน
และก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ ครับ หลังจากผ่านมาจะกลางปีแล้ว ผมก็ยังเห็นเธอมีรับงานอยู่เป็นประจำ และหลายๆ งานก็ทราบมาว่าเป็นลูกค้าที่ “จำหน้า” เธอได้ครับ
เรื่องของรุ่นน้องคนนี้ทำให้ผมนึกถึง คุณสมบัติหนึ่งที่คนประสบความสำเร็จมีร่วมกัน คือ ทำมากกว่าคนอื่น
คล้ายๆ กับวลีเด็ดของ จิมมี จอห์นสัน (Jimmy Johnson) ที่กล่าวว่า
“The difference between ordinary and extraordinary is that little extra.”
“ธรรมดา กับ เหนือธรรมดา อยู่ที่สิ่งเล็กน้อยที่เพิ่มเข้าไป”
- จิมมี จอห์นสัน -
ข้อแตกต่างระหว่าง ‘ธรรมดา’ (ordinary) กับ ‘โดดเด่น’ (extraordinary) ก็คือ ‘ทำมากขึ้น’ (extra) ที่เพิ่มเข้ามา
ผมสังเกตเห็นหลายคนก็เป็นแบบนี้จริงๆ นะครับ
สร้างผลลัพธ์ด้วยการ “ทำมากกว่า” คนอื่น
ครั้งหนึ่งผมอ่านบทความของพี่ตุ้ม หนุ่มเมืองจันท์ เขียนเล่าเรื่อง “คุณสมชาย เหล่าสายเชื้อ” แล้วผมพบว่า คุณสมชายเป็นคนหนึ่งที่ประสบความสำเร็จ เพราะทำมากกว่าคนอื่นครับ
คุณสมชาย มีชีวิตวัยเด็กที่ยากลำบาก เรียนจบแค่ชั้นป. 5 แล้วออกมาทำงานรับจ้างสารพัด จนมาได้งานเป็นพนักงานส่งเป็ปซี่ให้บริษัทเสริมสุข (ในสมัยนั้น) ด้วยความที่คุณสมชายเป็นคนขยันขันแข็ง พนักงานส่งคนอื่นๆ ตื่นออกไปส่งของตามเวลางาน แต่คุณสมชายจะตื่นแต่เช้าเพื่อให้ตัวเองมีเวลาขายหรือส่งเป็ปซี่เพิ่มมากขึ้น หรือพนักงานคนอื่นๆ ก็มักเน้นขายให้ตามร้านใหญ่ๆ แต่คุณสมชายไม่ครับ
ใครอยากซื้อ เขาเข้าไปขายให้หมด นั่นทำให้คุณสมชายขายเป็ปซี่ได้มากกว่าคนอื่นหลายเท่า และทำให้เค้าเป็นพนักงานขายดีเด่น ที่ทำยอดขายสูงสุดให้บริษัทถึง 3 ปีซ้อน จนวันหนึ่งคุณสมชายก็มีเหตุให้ออกจากงาน เพราะติดนโยบายบริษัทเรื่องเกณฑ์อายุในการปรับตำแหน่ง
คุณสมชายเลยออกมาสมัครงานเป็นพนักงานขายรถโตโยต้า แต่ทว่าตอนแรกก็ยังไม่ได้งาน เพราะติดว่าจบแค่ชั้น ป.5 แต่เงื่อนไขก็ไม่ทำให้คุณสมชายจนมุมครับ เขารู้ดีว่าวุฒิอาจเป็นอุปสรรค เขาเลยคิดใหม่ โดยกลับไปยื่นข้อเสนอเพื่อขอสมัครงานอีกครั้ง และยื่นข้อเสนอที่เป็นใครใครก็รับครับ เขาบอกเฮียเถ้าแก่ว่า เขาขอสมัครงานโดยยอมทำงานอะไรก็ได้ เงินเดือนเท่าไรก็ได้ และทำงานทุกวันไม่มีวันหยุด
ข้อเสนอถึงใจนี้ ซื้อใจอาเฮียเถ้าแก่เจ้าของโชว์รูมได้จริงๆครับ อาเฮียตัดสินใจรับคุณสมชายมาทำงาน และเมื่อได้โอกาสแล้ว คุณสมชายก็ทำงานอย่างขยันขันแข็งเหมือนเดิม เถ้าแก่สั่งให้ทำอะไรก็ทำ และทำด้วยความสุจริต จนในที่สุดก็ได้มาเป็นพนักงานขายรถสมใจ
แต่เมื่อมาทำ ก็ไม่ใช่ทุกอย่างจะโรยด้วยกลีบกุหลาบ เพราะช่วงแรกที่มาขาย คุณสมชายขายรถไม่ได้เลยสักคันครับ แต่เขาก็ไม่อยู่นิ่ง กลับคิดหาวิธีว่าจะทำอย่างไรจึงจะขายได้ ก็เลยไปสืบหาเหตุผลว่า ทำไมคนถึงไม่ยอมซื้อรถ จนมารู้ว่าสาเหตุว่าที่คนไม่ยอมซื้อรถใหม่ เพราะขายรถเก่าไม่ได้
เมื่อรู้เช่นนี้ คุณสมชายก็เลยหาคนมารับซื้อรถมือสองต่อจากลูกค้า เมื่อแก้ปัญหาให้ลูกค้าได้ ลูกค้าก็เลยมาซื้อรถกับเขา หลังจากนั้นยอดขายรถของคุณสมชายก็ถล่มทลาย กลายเป็นนักขายมือทอง และทำงานมาเรื่อยๆ จนเถ้าแก่เสียชีวิต ถึงค่อยมาเปิดบริษัทของตัวเอง คือ “โตโยต้าดีเยี่ยม” ซึ่งปัจจุบันมีมูลค่านับพันล้านบาท
ซึ่งตัวอย่างของคุณสมชายนั้นชัดเจนมากครับว่า เค้าเป็นคนที่ขยันขันแข็ง และแตกต่างจากคนอื่นเพราะ ทำมากกว่า
Gen Y + ความอดทน = โดดเด่นและเติบโต
ทำให้ผมนึกถึงเรื่องหนึ่ง เป็นบทสัมภาษณ์ของพี่โจ้ ธนา เธียรอัจฉริยะ ที่เคยตอบสัมภาษณ์เกี่ยวกับการทำงานของคน Gen Y มีหลายคนถามพี่โจ้ว่า ทำอย่างไรคน Gen Y จึงจะประสบความสำเร็จในการทำงานองค์กร? พี่โจ้ตอบแบบนี้ครับ พี่โจ้เล่าว่า คน Gen Y เป็นคนรุ่นใหม่ที่เก่ง โดยเฉพาะเรื่องเทคโนโลยี เลยมีความรอบรู้ในเรื่องต่างๆ แต่ก็เป็นข้อที่มีร่วมกัน คล้ายๆกันหมด
ฉะนั้น ถ้าถามว่า อะไรที่จะทำให้คน Gen Y โดดเด่นหรือแตกต่างจากคนอื่นๆ คำตอบก็คือ “ความอดทน” ครับ เพราะเรื่องอื่นมันไม่หนีกันมาก ใครๆ ก็เก่งได้หมดคล้ายๆ กัน แต่จุดแตกต่างที่คนรุ่นก่อนๆ มองเห็นก็คือ เรื่องความอดทนนี่แหละครับ เพราะฉะนั้นความเก่งเป็นสื่งที่ดี แต่อย่าลืมใส่ความอดทนเข้าไปด้วยนะครับ
จากทั้งสามเรื่อง ผมว่ามันสะท้อนอยู่อย่างหนึ่ง คือ การจะประสบความสำเร็จบางทีอาจไม่ใช่เรื่องอะไรไกลไปมากกว่า “การทำมากกว่า” คนอื่น บางทีมันอาจจะฝืนใจหน่อย หรือรู้สึกว่าทำไมเราต้องทำ แต่เชื่อเหอะครับ “การทำมากกว่า” มันตามมาด้วยผลลัพธ์ที่คุ้มค่าแน่นอน
อยากรู้ว่าเป็นยังไง ต้องลองดูครับ 🙂
ขอขอบคุณบทความดีๆจาก
Mission To The Moon

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา