9 ก.พ. 2020 เวลา 14:22
*ถอดบทเรียน* จากกรณีทหารคลั่ง:
ในฐานะนักมนุษยศาสตร์ ผมมองว่าบทเรียนนี้ถอดง่ายมาก แต่เวลาแนะนำคนมีหน้าที่รับผิดชอบหรือหน่วยงานรัฐให้เอาไปใช้ (Implementation) เป็นเรื่องยากมากกว่าอีกหลายร้อยเท่า อ่านทบทวนหลายๆ รอบนะครับ
๑.กรณีทหารคลั่ง มีเพื่อนทหารท่านหนึ่งสรุปเป็นประเด็นให้คิดได้คมชัดว่า:
• สท้อนถึงผู้บังคับบัญชาไม่ดีใช่หรือไม่?
• ทหารคลั่งไม่ใช่คนเลวมาแต่กำเนิด
• ความหย่อนยานหละหลวมของการป้องกันรักษาอาวุธ
ยุทโธปกรณ์
• การใช้อำนาจปกครองผู้ใต้บังคับบัญชาไม่ถูกต้อง มีแต่ข่มเหง
รังแกตลอดมา?
• ความอดทนของคนมีขีดจำกัด
• .การสร้างขวัญกำลังใจผู้ใต้บังคับบัญชา
• ความยุติธรรมอย่ามีแต่พูด ผู้ใหญ่ต้องสร้างให้เกิด และถือเป็น
เรื่องสำคัญ อย่าปั้นแต่งเพื่อความสวยหรูเท่านั้นเอง ต้องเป็น
ตัวอย่างที่แท้จริง
• สุดท้ายทหารคล้่งคนนี้ต้องตายเพื่อเป็นตัวอย่างของระบบ สังคม
ต่อไป
๒.สรุปโดยภาพรวมว่าชีวิตเขาไม่พอใจเนื่องจากไม่ได้รับความเป็นธรรมจากค่านายหน้า เมื่อความไม่พอใจได้รับการสั่งสมบ่อยๆ เข้าก็กลายเป็นความอาฆาตพยาบาทหรือโทสะที่รุนแรง เนื่องจากเขาเป็นทหารแม่นปืนและมีปืน วิธีการแก้แค้นด้วยปืนจึงกระทำการได้ง่าย
ส่วนที่เขาต้องกราดยิงชาวบ้านทั่วไป ส่วนหนึ่งอาจจะบอกว่าป้องกันตัว แต่ส่วนหนึ่งน่าจะเป็นเพราะเขาเชื่อว่าชาวบ้านทั่วไปก็เป็นส่วนหนึ่งของสังคมซึ่งไม่ได้ให้ความเป็นธรรมแก่เขา
พูดง่ายๆ ว่าเมื่อเขาถูกกดขี่เอาเปรียบ สังคมที่เขาอยู่ไม่มีทางออกให้เขา หรือเขามองไม่เห็นใครในสังคมที่จะช่วย ดีไม่ดี คนในสังคมอาจจะเข้าข้างคนเอาเปรียบเขาด้วยซ้ำเพราะมีฐานะทางสังคมเหนือกว่า เขาจึงตัดสินใจทำในสิ่งที่เขาเห็นว่าจะเป็นธรรมแก่เขา
๒.พระพุทธศาสนามองว่าสติเขามีน้อยเกินไป พระพุทธศาสนาอธิบายได้ตรงประเด็นที่สุดว่าคนเราทุกคนมีกิเลสจำนวนมากครอบงำโดยเฉพาะอย่างยิ่งคือนิวรณ์ทั้ง ๕ คือกามฉันท์, พยาบาท, ถีนมิทธะ, อุทธัจจกุกกจจะและวิจิกิจฉา
กิเลสทั้ง ๕ เหล่านี้พยายามครอบงำมนุษย์เราทุกๆ วันตั้งแต่ตื่นเช้าจนกระทั่งเข้านอน และในแต่ละวัน มนุษย์เรามีอารมณ์หลายอย่างเข้ามาในจิตเพื่อให้กิเลสเหล่านี้ฟุ้งขึ้น ถ้าควบคุมไม่อยู่ก็จะทำร้ายมนุษย์ในแนวทางที่แตกต่างกัน ยกตัวอย่างเช่น
กามฉันท์ เมื่อมีมากก็ทำให้เกิดความโลภมากจนมองข้ามกฎหมายและศีลธรรมไป ถีนมิทธะ (จิตห่อเหี่ยว,หดหู่หรือสิ้นหวัง) และอุทธัจจกุกกุจจะ (ฟุ้งซ่านเกินเหตุ) เมื่อมีมากก็ทำให้ฆ่าตัวตายได้ ส่วนพยาบาทเมื่อสั่งสมมากเข้าก็จะหาทางแก้แค้น
1
พระพุทธเจ้าจึงแนะนำให้เจริญสติหรือเจริญสมาธิเพื่อมาคานกับนิวรณ์ทั้ง ๕ เหล่านี้
โดยปรกติ คนเราจะมีคุณธรรมข้อหนึ่งให้ยึดโยงกับกฎหมายและศีลธรรม นั่นก็คือ *สติ* แต่เมื่อกิเลสคือนิวรณ์อย่างเช่นพยาบาทเหล่านี้ ครอบงำจิตบ่อยๆ มากเกินไปกว่าที่ได้รับเป็นประจำแล้ว ถ้าไม่เคยฝึกสติเพิ่มเลย สติที่มีอยู่กับตัวก็คุ้มครองตนเองไม่ได้ คนก็เลยทำตามอำนาจของกิเลส ลงมือฆ่าผู้คนไปตามอำนาจของกิเลสไป
ควรทราบว่า *สติ* ที่ว่านี้ ปรกติ มนุษย์เราจะได้ในวิถีชีวิตประจำวันจากการสอนของพระ พ่อแม่ ครู และเพื่อน เมื่อร่างกายได้รับการพักผ่อนด้วยวิธีรับประทานอาหาร นอนหลับอย่างเพียงพอประกอบด้วย มนุษย์เราก็จะมีภูมิคุ้มกันกิเลสทั้ง ๕ ได้ ไม่หลงทำตามอารมณ์ (ไม่หลงทำตามกิเลส) ยังคงอยู่ในกรอบของเหตุผล กฎหมายและศีลธรรมได้
แต่ถ้าชีวิตมีแรงกดดันมากๆ หมายความว่ามีปัจจัยมากดดันให้เกิดถีนมิทธะ (จิตห่อเหี่ยว หดหู่หรือสิ้นหวัง) อุทธัจจกุกุจจะ (ฟุ้งซ่านเกินเหตุ) หรือพยาบาท (ความโกรธฝังลึก) บ่อยๆ สติที่ได้จากวิถีชีวิตประจำวันก็น้อยเกินไป ทำให้ช่วยคุ้มครองตัวมนุษย์ไม่ได้ ต่อให้ตะโกนบอกว่า *สติๆ เพื่อน* สติก็ไม่เกิด เพราะไม่เคยฝึกหรือไม่เคยสะสมเผื่อเอาไว้นั่นเอง
ข้อสำคัญ อาการที่ *สติ* ไม่พอต่อการรับมือแรงกดดันของชีวิต ไม่ใช่เกิดแต่คนในวงการทหารเท่านั้น ขณะนี้กำลังเกิดต่อคนในทุกสาขาอาชีพและทั่วโลกด้วย
๓.ด้วยเหตุนี้ พระพุทธเจ้าจึงเสนอแนะให้ชาวโลกได้อบรมสติให้เพิ่มมากขึ้นเพื่อไว้ต่อสู้กับกิเลส เมื่อมนุษย์เราเจริญสติบ่อยๆ จน *สติ* ในจิตเพิ่มมากขึ้น จากที่เคยมีเป็น *สติ* ธรรมดา เราก็จะมี *มหาสติ* ขึ้นมาแทน
พอ *มหาสติ* เกิดขึ้นมาแล้ว ไม่เพียงกิเลสคือนิวรณ์ทั้ง ๕ จะทำอะไรไม่ได้ *มหาสติ* ยังจะช่วยจัดระเบียบการใช้ชีวิตให้ดีขึ้นกว่าเดิม เพราะความเพียร ความอุตสาหะและความอดทนซึ่งเป็นคุณธรรมฝ่ายดีจะเพิ่มขึ้นมาพร้อมๆ กับสตินั่นเอง แทนที่จะแก้ปัญหาแบบไร้สติ ก็จะแก้ปัญหาด้วยการใช้ *มหาสติ* มากยิ่งขึ้น
ถามว่าเราจะเจริญ *มหาสติ* ได้อย่างไร? พระพุทธเจ้าสอนไว้ที่ไหน? คำตอบก็คือทรงสอนรายละเอียดไว้ใน *มหาสติปัฏฐานสูตร* (พระสูตรว่าด้วยการฝึกจิตเพื่อให้มี *มหาสติ*) นั่นเอง และเวลานี้ ฝรั่งก็ยอมรับแล้วว่า การเจริญสติสามารถจัดการถีนมิทธะ (โรคหดหู่ ห่อเหี่ยว สิ้นหวัง=Depression) และอุทธัจจกุกกุจจะ (ฟุ้งซ่านเกินเหตุ=anxiety) ได้
ดูรายละเอียดสิครับ
๑.ผลงานวิจัยมหาวิทยาลัยอ๊อกซฟอร์ดบอกว่าว่าการเจริญสติสามารถกำจัดถีนมิทธะหรือโรคซึมเศร้าได้
๒.ผลงานวิจัยในสหรัฐอเมริกาบอกว่าการเจริญสติสามารถแก้ปัญหาโรคทางจิตของผู้ประสบเหตุการณ์กระทบกระเทือนทางจิตมากหรือ posttraumatic stress disorder (PTSD) ได้
ด้วยเหตุนี้ มหาวิทยาลัยอ๊อกซฟอร์ดจึงนำเสนอหลักสูตรเจริญสติเพื่อกำจัดโรคซึมเศร้าขึ้นมา
ในเมืองฝรั่ง ผู้คนต้องลงเสียเงินลงทะเบียนเรียนถึงจะได้เรียน แต่ในประเทศไทย พระในวัดวาอารามต่างๆ พากันเปิดสอนมหาสติปัฏฐานสูตรกันมากมายหลายแห่ง แต่คนไทยไม่ค่อยสนใจ ครูอาจารย์ก็ไม่เคยนำวิชาการฝึกสติไปสอนเด็ก แถมตัวครูอาจารย์หลายคนเองก็ไม่เคยสนใจเป็นต้นแบบเด็กด้วย มีภูมิปัญญาแต่ไม่รู้จักนำมาใช้ แล้วมานั่งบ่นว่า ‘ประเทศไทยเป็นเมืองพุทธ แต่ไฉนยังมีโจรผู้ร้าย มีการฆ่าตัวตายมากมาย’
สรุปก็คือเมืองไทยเป็นเมืองพระพุทธศาสนา แต่ไม่ค่อยได้นำเอาภูมิปัญญาในพระพุทธศาสนามาใช้นั่นเอง เราคงจะชอบเป็นขี้ข้าฝรั่ง ปล่อยให้ฝรั่งนำไปใช้ก่อน แล้วค่อยตามก้นฝรั่งกระมังครับ?
@ปฐมพงษ์ โพธิ์ประสิทธินันท์
๙ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๓
หมายเหตุ กฎเกณฑ์ กติกาและมารยาท:
๑.ถ้าจะแชร์ ไม่ต้องขออนุญาตแต่โปรดอ้างที่มาให้ชัดเจน

๒.หากจะวิจารณ์โปรดใช้คำสุภาพ สองข้อแรกนี้สำคัญเพื่อป้องกันมิให้ผิดพรบ.คอมพิวเตอร์

๓.โปรดสะกดใช้คำให้ถูกต้องตาม *หลักภาษาไทย* ด้วย (อย่าใช้ 'จารย์หรือจาร (แทนอาจารย์), อัลลัย (แทน อะไร), ทำมัย (แทน ทำไม), สนจัย (แทน สนใจ), อะเคร์ (แทน โอเค), ทะมาย (แทน ทำไม), ก้อ (แทน ก็), ม่ายด้าย (แทน ไม่ได้), ยังงัย (แทน ยังไง), จิงจัย (แทน จริงใจ), หัวจัย (แทน หัวใจ), ครัช (แทน ครับ), อะรัย (แทน อะไร), เป็นรัย (แทน เป็นไร), ปัย (แทน ไป) , คัย (แทน ใคร), ฝรรดี (แทน ฝันดี), เด๋ว (แทน เดี๋ยว), จิง (แทน จริง) เขาใช้กันมาผิดๆ อย่าใช้ตามครับ

๔.ข้อความวิจารณ์ที่ *หยาบ* และ *สะกดผิด* จะลบออกทุกครั้งที่เห็น

๕.ผู้ที่สะกดผิดบ่อยครั้งหรือใช้คำหยาบบ่อยครั้ง จะบล็อคอย่างถาวร

๖.คนที่ใหม่ต่อการเมืองระหว่างประเทศ ควรจะอ่านข่าวจากเพจนี้ย้อนหลังไป ๓ เดือนเป็นอย่างน้อยก่อนจะวิจารณ์ใดๆ

๗.อย่าด่วนเชื่อในสิ่งที่ผมเขียนให้อ่าน แต่จงใช้ข้อมูลที่ผมเขียนปูทางไปค้นคว้าหาข้อมูลอื่นๆ เพิ่มเติมแล้วสรุปด้วยตนเองว่าจริงหรือไม่จริง
โฆษณา