10 ก.พ. 2020 เวลา 14:41 • วิทยาศาสตร์ & เทคโนโลยี
ฟาร์มแนวดิ่ง อนาคตของการเกษตร
ฟาร์มแนวดิ่ง รูปแบบการขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยีการเกษตรหนทางแก้ไขปัญหาผลผลิตทางการเกษตรและความมั่นคงด้านอาหารในอนาคต
ปัจจุบันราคาอาหารโลกเฉลี่ยเพิ่มขึ้น 2.6% ต่อปีในช่วงสองทศวรรษที่ผ่านมา หากแนวโน้มนั้นยังคงดำเนินต่อไป จะส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตเมื่อต้องจ่ายค่าอาหารสูงขึ้น และยังส่งผลคุกคามต่อความมั่นคงด้านอาหารโดยรวม
3
ปัญหาการขาดแคลนอาหารยังคงมีอยู่โดยเฉพาะในประเทศกำลังพัฒนา ปัญหาการขาดแคลนอาหารยังเชื่อมโยงกับความไม่สงบทางการเมืองและความรุนแรง
1
จากรายงานของโครงการอาหารโลกแห่งสหประชาชาติ ราคาอาหารที่สูงเป็นประวัติการณ์ในปี 2551 ทำให้เกิดการจลาจลใน 48 ประเทศรวมถึงประเทศที่มีความเปราะบางเช่นโซมาเลียและเยเมน
ต้นทุนอาหารที่สูงนำไปสู่ความล้มเหลวของการเกษตรแบบดั้งเดิม
การทำฟาร์มแบบแนวดิ่งหรือการทำฟาร์มแนวตั้ง จะเป็นรูปแบบการขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยีการเกษตรที่แก้ไขปัญหาผลผลิตทางการเกษตรและความมั่นคงด้านอาหารในอนาคต
📷 basicknowledge101.com
ปัญหาของการเกษตรแบบดั้งเดิม?
การทำการเกษตรแบบดั่งเดิม หรือการเกษตรภาคสนาม
ต้องใช้แรงงานจำนวนมาก
ต้องมีสภาพอากาศที่เอื้ออำนวย
ต้องมีแสงแดดที่เพียงพอต่อการสังเคราะห์แสง
ต้องมีระบบการชลประทาน
ต้องมีการใช้ยาฆ่าแมลงเพื่อป้องกันพืชผล
และสิ่งเหล่านี้ไม่เคยเปลี่ยนแปลงไป
1
เหตุผลของการปรับปรุงการเกษตรแบบดั้งเดิม
1. การเปลี่ยนแปลงทางประชากรและสังคม
ทำให้แหล่งอาหารทั่วโลกไม่สามารถตอบสนองประชากรโลกที่กำลังเติบโต
องค์การอาหารและการเกษตรแห่งสหประชาชาติระบุว่าการผลิตอาหารต้องเพิ่มขึ้น 70% ก่อนปี 2593 เพื่อตอบสนองความต้องการอาหารทั่วโลก แต่ในสถานการณ์การปัจจุบัน มีการขยายตัวของเมืองซึ่งกำลังเข้ายึดครองพื้นที่ทำการเกษตรเพิ่มขึ้น
2. ทรัพยากรขาดแคลน
ภาคการเกษตรมีการใช้น้ำถึง 70 เปอร์เซ็นต์ของการใช้น้ำทั่วโลก จากการประมาณการว่าประชากรครึ่งหนึ่งของโลกจะประสบปัญหาขาดแคลนน้ำภายในปี 2573 วิธีการผลิตทางการเกษตรแบบดั่งเดิมจึงไม่ยั่งยืน
1
รวมไปถึงความไร้ประสิทธิภาพที่เกิดขึ้นในระบบ เช่น พืชที่เน่าเสียได้ง่าย มีตำหนิและของเสียในระหว่างการเก็บเกี่ยว การบรรจุ การแปรรูปและการจำหน่าย ซึ่งมีรายงานว่ามีการสูญเสียไปมากถึงเกือบร้อยละ 40 เลยทีเดียว
3. ความไม่เสมอภาคของอาหาร
นอกเหนือจากปัญหาการขาดสารอาหารที่และความยากจนที่แพร่หลายในประเทศกำลังพัฒนาความไม่เท่าเทียมกันที่เกี่ยวข้องกับราคาอาหารก็เกิดขึ้นในประเทศอุตสาหกรรมด้วยเช่นกัน
ในสหรัฐอเมริกา ต้นทุนที่สูงขึ้นของอาหารสดทำให้ประชากรเลือกซื้ออาหารแปรรูปไขมันและน้ำตาลที่มีคุณค่าทางโภชนาการน้อย
ผลลัพธ์อาหารเหล่านี้คือ การส่งผลร้ายต่อสุขภาพ เช่น การแพร่ระบาดของโรคอ้วนรวมถึงการเพิ่มขึ้นของโรคที่เกี่ยวกับอาหารเช่นโรคเบาหวาน
ในอีกด้านหนึ่ง ผู้ประกอบการที่มีเงินทุนขนาดใหญ่ได้ผลักดันความต้องการผลิตภัณฑ์ "superfoods" ที่ดีต่อสุขภาพมากขึ้นเช่น คะน้าที่อุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ โดยเป็นการนำเสนอต่อผู้บริโภคที่มีความสามารถในการซื้อสูง ผู้บริโภคทั่วไปจะเข้าไม่ถึงเนื่องจากระดับราคา
4. ความเสี่ยงต่อภัยธรรมชาติ
การเกษตรยังคงเป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมที่มีความเสี่ยงมากที่สุดเมื่อเกิดภัยธรรมชาติ การเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศทำให้เกิดเหตุการณ์สภาพอากาศสุดขั้วซึ่งสามารถทำลายการเก็บเกี่ยวได้ทั้งฤดู อุณหภูมิที่สูงขึ้นนอกจากนี้ยังนำไปสู่การอาละวาดการแพร่กระจายของศัตรูพืช ที่มุ่งทำลายผลผลิต
จากทั้งหมดที่กล่าวไป เราจะเห็นว่าการเกษตรแบบดั้งเดิมเพียงอย่างเดียวจะไม่ยั่งยืนในฐานะแหล่งผลิตอาหารที่เชื่อถือได้และราคาไม่แพง
การทำฟาร์มในแนวดิ่ง เกิดจากความท้าทาย
ในการหาคำตอบสำหรับปัญหาการจัดหาอาหารเหล่านี้ โดยเกิดขึ้นจากโครงสร้างและการจัดการที่ทันสมัย
การทำฟาร์มแนวดิ่ง คือวิธีการผลิตอาหารในชั้นซ้อนกันในแนวตั้ง "ฟาร์ม" เหล่านี้ใช้ประโยชน์จากโครงสร้างที่ปิดล้อมเช่นโกดังเก็บสินค้าและตู้คอนเทนเนอร์เพื่อให้มีสภาพแวดล้อมที่มีการควบคุมเพื่อปลูกพืชในระบบไฮโดรโพนิกหรือระบบเติมอากาศ เซ็นเซอร์อิเล็กทรอนิกส์ ทำให้มั่นใจได้ว่าพืชได้รับแสงจากหลอด LED สารอาหารและอุณหภูมิในปริมาณที่เหมาะสม รวมถึงความเป็นอิสระจากที่ดิน ซึ่งจะเหมาะแก่การเพาะปลูกอาหารที่ให้กำลังการผลิตตลอดทั้งปี มีการใช้น้ำน้อยลงและการคาดการณ์ผลผลิตที่แน่นอน
📷 basicknowledge101.com
ยกตัวอย่างเช่น AeroFarms ฟาร์มแนวดิ่งขนาด 70,000 ตารางฟุตในรัฐนิวเจอร์ซีย์มีการใช้น้ำน้อยลง 95 เปอร์เซ็นต์และให้ผลผลิตมากกว่าฟาร์มเชิงพาณิชย์ที่มีพื้นที่เป็นตารางฟุตเท่ากันถึง 390 เท่า
บริษัท Growtainer ใช้คอนเทนเนอร์ขนาด 20 หรือ 40 ฟุตตั้งเป็นฟาร์มไฮโดรโพนิคแบบปิด ช่วยให้ท้องถิ่นปลูกผักสำหรับการบริโภคที่เพียงพอ รวมถึงสามารถกระจายผลผลิตไปยังสถานที่ต่างไป เช่น โรงเรียน แหล่งอาหาร ร้านอาหารและฐานทัพทหาร ได้ด้วย
ฟาร์มในแนวดิ่งสามารถช่วยตอบสนองความต้องการของประชากรที่เพิ่มขึ้น โดยการนำเสนอวิธีการเพิ่มเติมในการผลิตอาหารที่ไม่มีความผันผวนและความเสี่ยงเหมือนการเกษตรทั่วไป
ในขณะที่ฟาร์มแนวดิ่งต้องการน้ำและที่ดินน้อยกว่าฟาร์มทั่วไป สภาพภูมิอากาศของพวกเขาก็สามารถควบคุมได้ มีการใช้กระแสไฟฟ้าส่องสว่างและควบคุมสภาพแวดล้อมในร่ม
และหากมีการนำพลังงานหมุนเวียนมาใช้อย่างแพร่หลายมากขึ้นต้นทุนคาร์บอนของการทำฟาร์มแนวดิ่งจะลดลงต่อไป
แม้ว่าจากมุมมองของตลาด การทำฟาร์มแบบแนวตั้งอาจไม่ทำให้ราคาลดลง แต่ในระดับสังคมการทำฟาร์มแนวดิ่งสามารถช่วยแก้ปัญหาความต้องการอาหารโดยรวมที่การเกษตรทั่วไปล้มเหลว
เกษตรกรต้องรับรู้การเปลี่ยนแปลง
การทำฟาร์มแบบดั้งเดิมมีลักษณะเป็นที่ใช้แรงงานมากและห่างไกลกับวิถีชีวิตที่ทันสมัยและความเป็นชุมชนเมือง
1
ในบางสถานที่การเกษตรแบบดั่งเดิม หมายถึงความยากจนและความโดดเดี่ยว แต่ในฟาร์มแนวดิ่งนั้น เกษตรกรต้องเป็นนักวิเคราะห์ข้อมูลโดยมีความร่วมมืออย่างใกล้ชิดกับนักวิทยาศาสตร์การเกษตร
อนาคตของการเกษตร
แม้ว่าฟาร์มในแนวดิ่ง อาจจะไม่สามารถแทนที่ฟาร์มแบบดั้งเดิมได้ทั้งหมด สิ่งที่สำคัญคือจะต้องเสริมซึ่งกันและกัน
ถ้าเราจะสนองความต้องการด้านอาหารของวันพรุ่งนี้ให้เพียงพอ โดยวิธีการที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม มีการใช้ความรู้ทางเทคโนโลยี ความรู้เรื่องการจัดการผลิตภัณฑ์ ความรู้เรื่องการตลาดและที่สำคัญคือมีความเข้าใจเรื่องผลิตภัณฑ์ทางการเกษตรที่ดีต่อสุขภาพ
การทำฟาร์มแนวดิ่ง.. ไม่ใช่เรื่องไกลตัว
มันกำลังเกิดขึ้นแล้ว ตอนนี้
📷 bloomberg
บทความตัวอย่างการเกษตรแนวตั้งที่โคโลราโด
ในเขตอุตสาหกรรมของ Lakewood รัฐโคโลราโดเป็นโอเอซิสทางการเกษตรที่เรียกว่า Infinite Harvest มีการผลิตผักกาดแก้วที่ขายโดยมีรากติดอยู่ ตามแนวคิดแบบสวนไฮโดรโพนิกแนวดิ่ง
1
มีพื้นที่เพาะปลูกมากกว่า 30,000 ตารางฟุตซึ่งสามารถจัดการผักกาดหอมได้ประมาณ 52,000 หัว
ซึ่งแทนที่จะปลูกพืชในดินและใช้แสงแดดธรรมชาติ ที่นี่ผลิตพืชภายใต้แสงไฟ LED ด้วยการใช้น้ำที่ใส่สารอาหารเข้าไปในราก
การผลิตแบบนี้ไม่ได้รับผลกระทบจากสภาพอากาศและฤดูกาลที่เปลี่ยนแปลง - ซึ่งช่วยให้สามารถเก็บเกี่ยวได้เกือบทั้งปี และใช้น้ำน้อยกว่ามาก รวมถึงการใช้การรีไซเคิลน้ำ เพื่อนประหยัดน้ำเพิ่มขึ้นอีก
ผลผลิตทางการเกษตรในแนวตั้ง จะมีการทำเครื่องหมายระบุไว้อย่างชัดเจนเพื่อให้คุณรู้ว่าเมื่อคุณซื้อผักและผลไม้ที่ไม่ใช่แบบดั้งเดิม
แม้ว่าผลผลิตที่ปลูกในอาคารจะมีราคาแพงกว่าบ้าง แต่มีความคุ้มค่า ในแง่ความหนาแน่นของสารอาหาร
โฆษณา