12 ก.พ. 2020 เวลา 06:16 • หุ้น & เศรษฐกิจ
ลงทุนด้วยเงินน้อย สร้างความมั่งคั่งได้จริงหรือ?
น่าเสียดายที่คนส่วนใหญ่คิดว่าการลงทุนในระยะสั้นจะสร้างความมั่งคั่งได้ ซึ่งสามารถเป็นไปได้จริง แต่เป็นไปได้ยาก
การที่ใครคนใดคนหนึ่ง จะประสบความสำเร็จจนก้าวมาเป็น นักลงทุนที่มั่นคงได้ ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ
เบื้องหลังการทำงานอย่างหนัก และความเข้าใจในการลงทุนที่ถูกต้อง รวมถึงการมีทักษะการลงทุนที่ชำนาญ ถือเป็นปัจจัยสำคัญอย่างยิ่งที่จะนำเราสู่ความสำเร็จ
หากย้อนเวลากลับไปไม่กี่ปีที่ผ่านมา ในช่วงเวลาที่เกิดวิกฤติเศรษฐกิจ Subprime ทำให้ตลาดหุ้นตกอย่างรุนแรง
และในเวลานั้นก็ทำให้ใครบางคนเห็นโอกาสใหญ่ จนสามารถปั้นพอร์ตของตัวเองจากแค่หลักแสน กลายเป็นหลักหลายสิบล้าน จนปัจจุบันพอร์ตหุ้นของบางคนทะลุพันล้านไปแล้ว
วิเคราะห์บทความโดย วัยรุ่นลงทุน
ก่อนอื่นต้องทำความเข้าใจในทฤษฎีของการเติบโตแบบทวีคูณ (Exponential Growth) ประกอบกับผลตอบแทนของการลงทุนในสินทรัพย์ สอดคล้องกับเวลาที่เหมาะสม
ยกตัวอย่าง การลงทุนในเงินฝากธนาคาร (กำไร10 เปอร์เซ็นต์ต่อปี ซึ่งในสมัยก่อนทำได้ แต่ปัจจุบันทำไม่ได้) , การลงทุนใน ETF หรือการลงทุนในทองคำก็ตาม ปกติจะโตปีละประมาณ 10 เปอร์เซ็นต์ หรือถ้าจะไม่โตเลย อย่างน้อย ๆ มันก็จะโตตาม อัตราเงินเฟ้อ ถ้าเราเลือกสินทรัพย์ที่ถูก ซึ่งอัตราเงินเฟ้อจะเติบโตอยู่ที่ประมาณ 3 เปอร์เซ็นต์ต่อปีอยู่แล้ว
เพราะฉะนั้นหากเราเลือกสินทรัพย์ได้ถูกต้อง ที่มีพื้นฐานที่ถูกต้อง จะเติบโตโดยธรรมชาติของมันเอง และที่เหลือเป็นเรื่องของกลยุทธ์การเทรด หรือกลยุทธ์การลงทุน ที่เรียกว่าทักษะนั่นเอง
เราสามารถทำกำไรจากรอบพวกนี้ได้ ถ้าเราเข้าใจการลงทุนอย่างถูกต้องแล้ว รอบของการลงทุนสอดคล้องกับระยะเวลา ต่อปี จะสามารถทำได้ประมาณ 10-30 เปอร์เซ็นต์ ต่อปี โดยปกติแบบไม่น่าเกลียด
แล้วลองคิดดูว่า ถ้าคุณเทรดเก่งหรือ invest เก่ง ๆ
30 เปอร์เซ็นต์ของกราฟ Exponential เท่ากับ เงินทุนของคุณ X 1.3 (30 เปอร์เซ็นต์) ยกกำลังด้วยปี
ตัวอย่าง
เงินทุน 10,000 บาท , ระยะเวลา 15 ปี
30 เปอร์เซ็นต์ของกราฟ Exponential = 10,000บาท X 1.3ยกกำลัง15 = 511,858 บาท
ถอดออกมาจะเห็นได้ว่า ระยะเวลา 15 ปี สร้างรายได้จาก 10,000 บาท เพิ่มขึ้นเป็น 500,000 บาทได้ เท่ากับเงินเพิ่มขึ้นมา 5,000 เปอร์เซ็นต์นั่นเอง
ตัวอย่างนี้เฉพาะพอร์ตที่เติบโต 30 เปอร์เซ็นต์ต่อปี แต่สำหรับนักลงทุนเก่ง ๆ อาจจะทำได้ถึง 50-60 เปอร์เซ็นต์ และระหว่างทาง อาจจะมีการเติมจากเงินเดือนหรือเงินที่หาได้มาด้วย จึงทำให้เงินเติบโตมากกว่าที่คิด (ที่คำนวณได้ด้านบน)
แล้วถ้าเป็น 20 ปีล่ะ?
จะเพิ่มจาก 10,000 เป็น 1,900,496 บาท คิดเป็นเปอร์เซ็นต์แล้วได้ถึง 19,000 เปอร์เซ็นต์เลยทีเดียว
จะเห็นได้ว่า เพียงเวลาที่ไม่ต่างกันสักเท่าไหร่ แต่จากทฤษฎี Exponential Growth สามารถสร้างผลกำไรได้ทวีคูณอย่างเห็นได้ชัด เมื่อถึงเวลาของมัน
ตัวอย่างคนที่ลงทุนเก่ง ๆ เช่น วอเรน บับเฟต สามารถสร้างกำไรได้ถึงปีละ 50 เปอร์เซ็นต์ บางคนก็อาจะเฉลี่ยอยู่เท่า วอเรน บับเฟต และมีการเติมเงินไประหว่างทางด้วย เงินเขาถึงสร้างกำไรจาการลงทุนมากกว่าหมื่น ถึงล้านเปอร์เซ็นต์ ก็อาจจะทำได้
สำหรับคนแรกที่วัยรุ่นลงทุนเสนอคือ คุณฮง สถาพร งามเรืองพงศ์ นักลงทุนชื่อดังในประเทศไทยนั่นเอง
คุณฮงเข้าตลาดหุ้นด้วยเงิน 100,000 บาท ตอนอายุ 19 ปี
โดยปี 2554 ให้สัมภาษณ์ว่า ในอีก 10 ปีข้างหน้าต้องการมีพอร์ต 300 ล้านบาท
ปัจจุบัน ปี 2563 พอร์ตลงทุน มีมูลค่า มากกว่า 6,000 ล้านบาท
“ผมโชคดีที่เล่นหุ้นตั้งแต่เรียนปี 1 ม.กรุงเทพ กว่าจะจับจุดได้ (รู้ความลับตลาดหุ้น) ใช้เวลานาน 2-3 ปี ผมจะยึดอาชีพนักลงทุนเลี้ยงตัวเองไปเรื่อยๆ ตั้งแต่เรียนจบก็ไม่เคยไปทำงานบริษัท ทุกวันนี้ผมมีเงินทำอะไรได้หลายๆ อย่าง อย่างที่เพื่อนๆ ไม่มี”
คุณฮงเคยกล่าวว่าเงินลงทุนของเขาเพิ่มขึ้นราวๆ 20 เท่า ภายในระยะเวลา 2 ปี (2552-2553) ขณะที่พอร์ตลงทุนขยายตัวประมาณ 40-50 เท่า ภายในเวลา 7 ปี (2547-2553)
หลักการลงทุนของคุณฮง
ทฤษฎีลงทุน 10 เด้ง “สถาพร งามเรืองพงศ์”
1. วันนี้ผมจับจุดถูก รู้ว่าจะลงทุนหุ้นสักหนึ่งตัว ต้องดูอะไรเป็นหลัก เล่นหุ้นให้ ‘รวย’ ต้องดูพื้นฐาน 70% เทคนิค 30%
2. การดูกราฟย้อนหลังจะทำให้เห็น Demand และ Supply ของหุ้นในอดีต ที่สำคัญจะเห็นจุด “นิวไฮ” ของหุ้นด้วย
New High คือ วอลลุ่มที่มากผิดปกติ พร้อมกับ คัดเลือกหุ้นที่ “สวย” (ผลประกอบการดีที่สุด) เข้าพอร์ต
3. เลือกหุ้นที่ “เพิ่งทำจุดสูงสุดใหม่ของกำไร” และต้องอ่านเกมต่อไปว่า “ไตรมาสที่เหลือ” ของปีนั้นๆ ต้องสามารถรักษากำไรสุทธิระดับนี้ (ดี) ได้ต่อเนื่อง
4. สำหรับวิธีการเข้าเก็บหุ้นจะใช้สูตร 30:30:30:10 ซื้อแล้วหุ้นขึ้นถึงซื้อ “สเต็ปที่สอง” “สเต็ปที่สาม” และ “สเต็ปที่สี่” ตรงกันข้ามถ้าซื้อแล้ว 30% ราคาหุ้นปรับตัวลดลง 8% ก็จะ Cut Loss (ตัดขายขาดทุน) ทิ้งทันที
5. เทคนิคที่ทำให้พอร์ตโตเร็ว 20 เท่า เมื่อตลาดหุ้นอยู่ในภาวะ “กระทิง” หรือ “ขาขึ้นรอบใหญ่” มั่นใจสุดๆ เขาจะใช้ “เงินกู้มาร์จิน” เพิ่มพลังบวกให้กับพอร์ต
6. ปัจจุบัน Block Trade
7. ปรับพอร์ตลงทุนทุกไตรมาส (3 เดือน) เพราะสถานการณ์มักมีการเปลี่ยนแปลง ทุกครั้งที่งบการเงินประจำไตรมาสออก
8. ยกตัวอย่างผลดีจากการดูกราฟ เช่น ราคาหุ้นทำนิวไฮ 10 บาท อยู่ดีๆ ลงมา 8-9 บาท แล้วซื้อขาย 8-9 บาทนานพอสมควร อยู่ๆ ก็วิ่งขึ้นไป
10 บาท โดยมีวอลุ่มเข้ามาเยอะมาก เหตุการณ์ลักษณะนี้ทำให้คิดได้ว่าบริษัทนี้ต้องมีอะไรเปลี่ยนแปลง “ผมก็จะเริ่มตรวจสอบข้อมูลทันที” บางครั้งคุณฮงเริ่มแกะรอยจากหุ้นที่มี “วอลุ่มผิดสังเกต” จากนั้นก็จะคัดเลือกหุ้นที่ “สวย” (ผลประกอบการดีที่สุด) เข้าพอร์ต
9. เริ่มทำ “ประมาณการผลประกอบการล่วงหน้า” เพื่อประเมินราคาที่เหมาะสมในอนาคต
10. คุณฮงย้ำว่า ข้อผิดพลาดของนักลงทุนจำนวนมาก ชอบซื้อหุ้นตามคำแนะนำของเพื่อน หรือซื้อตามโบรกเกอร์ โดยที่คุณไม่รู้ข้อมูลอะไรเลย เท่าที่พบ 90% จะขาดทุน คนที่จะทำกำไรจากตลาดหุ้น (ยุคนี้) ต้องศึกษาหาความรู้ รู้ทุกซอกทุกมุมของหุ้น
คนที่สองคือ ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
ได้รับการยอมรับนับถือว่าเป็นผู้เผยแพร่แนวคิดการลงทุนแบบเน้นคุณค่าคนแรกในประเทศไทยจากการเขียนหนังสือ "ตีแตก" การแปลหนังสือ การเขียนบทความ และการบรรยายในวาระต่าง ๆ เพื่อให้นักลงทุนเลิกเก็งกำไรอย่างไร้หลักการในตลาดหุ้น หันมาลงทุนแบบเน้นคุณค่าและลงทุนอย่างปลอดภัยมากขึ้น
ปัจจุบันอายุ 66 ปี จากบทความของดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร ตอนนึงได้กล่าวว่า
จากประสบการณ์กว่า 20 ปีในตลาดหุ้น ผมเองคิดว่าตนเองนั้น “โชคดีมาก” ที่เข้าตลาดเริ่มลงทุนอย่างจริงจังและ “เพื่อชีวิต”
นั่นคือทุ่มเทเงินทุกบาทลงทุนในหุ้น ในเวลาที่ถูกต้องและด้วยกลยุทธ์ที่ถูกต้องนั่นคือ ลงทุนแบบ “VI” ในยามที่ตลาดหุ้นเกิดวิกฤติ
ราคาหุ้นตกลงมาอย่างหนักและแทบไม่มีใครสนใจจะลงทุนหรือพูดถึงตลาดหุ้นเลย ปริมาณการซื้อขายหุ้นต่อวันเพียงไม่เกิน 3-4 พันล้านบาท
ผลที่ได้รับหลังจากเวลาผ่านไปกว่า 2 ทศวรรษก็คือ ชีวิตที่เปลี่ยนไปอย่างมาก ผลตอบแทนการลงทุนที่สูงจนแทบไม่น่าเชื่อ
ทำให้กลายเป็นคนที่มีความมั่งคั่งสูง จากคนชั้นกลางกินเงินเดือนที่กำลังตกงานและไม่รู้ว่าอนาคตจะต้องย้ายลูกจากโรงเรียนอินเตอร์ ออกมาเรียนโรงเรียนไทยหรือไม่
ทั้งหมดนั้น เป็นสิ่งที่ไม่ได้คาดคิด ไม่ได้เกิดจากการวางแผนรวยจากตลาดหุ้น ว่าที่จริงในยุคนั้น มีแต่ตัวอย่างของคน “จนจากตลาดหุ้น” จนคิดฆ่าตัวตาย
คนอาจจะคิดหลังจากที่ผมประสบความสำเร็จแล้วว่า ผมน่าจะเป็นคนที่มีวิสัยทัศน์ยาวไกล มองขาดว่าตลาดหุ้นจะฟื้นตัว และเติบโตขึ้นมากจนทำให้กล้าลงทุนและรวยไปเลย
หลักการลงทุน ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
1. มนุษย์เป็นสัตว์ประเภทเดียวที่ต้องคิดเรื่องลงทุน เพราะ "คน" มีช่วงชีวิตที่อ่อนแอและแข็งแรง ช่วงที่แข็งแรงก็ต้องสะสมและลงทุนเพื่อเก็บไว้กินในอนาคตเมื่อยามอ่อนแอ
2. ในนาทีนี้ "หุ้น" เป็นการลงทุนที่ดีที่สุดสำหรับคนที่มีรายได้สม่ำเสมอ เพราะทยอยลงทุนได้
3. ถ้าเราลงทุนโดยไม่ถอนเงินมาใช้ ดอกผลจะสะสมทบต้นไปเรื่อยๆ
4. ช่วงที่ยังมีแรงยังหาเงินได้ อย่าใช้เงินเกินจากที่หาได้
5. ราคาหุ้นขึ้นๆลงๆทุกวัน คนส่วนมากราคาลงก็ตกใจรีบขาย พอขายเสร็จราคาขึ้นก็กลับไปซื้อใหม่เพราะเสียดาย สุดท้ายค่าคอมมิชชั่นเอาไปกินหมด
6. ถ้าคุณเป็นแค่ "คนเล่นหุ้น" คุณจะเลือกหุ้นมาเพื่อซื้อๆขายๆ แต่ถ้าคุณเป็น "นักลงทุน" คุณจะเลือกซื้อหุ้นดีแบบเดียวกับการเลือกลงทุนในธุรกิจ โดยไม่สนใจว่าในแต่ละวันราคามันจะขึ้นๆลงๆอย่างไร
7. ก่อนซื้อหุ้น จะเลือกธุรกิจที่จะอยู่กับเราไปตลอดชีวิต หรืออย่างน้อยสุดก็ 3 ปีขึ้นไป โดยดูจากรายได้เพิ่มขึ้นทุกไป กำไรเพิ่มขึ้นทุกปี ปันผลเพิ่มขึ้นทุกปี
8. สมัยนี้ต้องเลือกธุรกิจที่ไม่ถูกทำลายโดยเทคโนโลยีหรือดิจิตอลสมัยใหม่
9. ราคาหุ้นในวันที่ซื้อก็ต้องเหมาะสมด้วย ถ้าซื้อหุ้นแพงเกินไปก็อาจจะไม่คุ้มค่า เรื่องนี้ดูได้จากมูลค่าของค่า P/E
10. นักลงทุนต้องไม่ยุ่งกับหุ้นปั่น หุ้นเก็งกำไร หุ้นที่เพื่อนบอกว่าดี จงเลือกแต่หุ้นที่มั่นใจว่าอยู่มานาน หุ้นที่ราคาขยับช้าๆแต่ขยับทุกปี เจ้าของมีธรรมาภิบาลที่ไว้ใจได้
1
11. ควรซื้อหุ้นในจังหวะที่ตลาดหุ้นไม่ได้ร้อนแรงมากเกินไป และจะดีมากขึ้นไปอีก ถ้าซื้อในเวลาที่ตลาดหุ้นไม่ค่อยดี แต่สถานการณ์แบบนี้ก็มีไม่บ่อยนัก นานๆจะเกิดสักที แต่พอเกิดปุ๊บ ต้องกล้าตัดสินใจอย่าลังเลที่จะลงทุน
12. หลายคนบอกว่าเล่นหุ้นต้องมีขาดทุนมีกำไร แต่จริงๆแล้วไม่ใช่ ถ้า 3 ปีแล้วยังขาดทุน นั่นคือเราลงทุนผิด ก็ต้องขาย แต่ไม่ใช่ว่าลงทุนไป 3 เดือนต่อมา ราคาตกแล้วก็ขาย นั่นไม่ใช่การลงทุน
13. ก่อนซื้อหุ้นแต่ละตัวต้องคิดให้มาก เลือกตัวที่มีโอกาสขาดทุนน้อยที่สุด พอซื้อแล้วก็ต้องถือยาว
14. หุ้นของผมไม่ได้ทำกำไรทุกตัว แต่มีหุ้นที่ทำกำไรเยอะกว่าเท่านั้นเอง
15. คนที่เจ๊งส่วนใหญ่เป็นเพราะ "ฝืนความโลภ" ไม่ได้
16. เมื่อเลือกลงทุนในหุ้นแล้ว ก็ต้องปล่อยให้เค้าเติบโต แล้ววันหนึ่งข้างหน้า เราจะมี "อิสรภาพทางการเงิน" เราจะมีธุรกิจที่จ่ายปันผลให้มากพอจนแทบไม่ต้องทำงาน ถือเป็นรายได้ที่เข้ามาโดยไม่ต้องทำอะไร (Passive Income)
17. การทำงานหลังมีอิสรภาพทางการเงินนั้นมีความสุขมาก เพราะคุณจะเลือกทำแต่งานที่คุณทำแล้วมีความสุข โดยไม่สนใจว่าเค้าจะจ่ายเงินมากหรือน้อย
18. "วีไอ" คือ การลงทุนที่คนซื้อคิดถึงความคุ้มค่า และผลตอบแทนในระยะยาว
19. ในระยะยาว ราคาหุ้น กับ กำไร มันจะไปด้วยกันเสมอ
20. ตลาดหุ้นไทยดีมานานเป็น 10 ปีแล้ว มันเป็นวัฏจักรที่เวลาขึ้นไปสูงๆ ก็ต้องมีตกลงมาบ้าง พอตกมาหนักๆ เดี๋ยวก็ขึ้นกลับไปที่เดิม
"ไม่ว่าตลาดหุ้นจะดีหรือไม่ดี ขอให้เราเลือกหุ้นที่ดีไว้ก่อน ถ้าหุ้นดี ต่อให้ตลาดไม่ดีเราก็กระทบน้อย แถมเงินปันผลที่ได้ยังดีกว่าดอกเบี้ยเงินฝากอยู่ดี"
จะเห็นว่า ความจริงตามหลักธรรมชาติ การเป็นนักลงทุนระยะยาวจึงจะสามารถประสบความสำเร็จได้
เพราะฉะนั้นการเป็นวัยรุ่นลงทุนถึง เป็นสิ่งที่น่าสนใจ มากกว่าการลงทุนตอนอายุมาก
เพราะว่าคนอายุมากจะไม่มีเวลามาก ทำให้ต้องรีบแล้วเสี่ยงที่จะล้มเหลวมากกว่า ก็เลยพลาด แต่วัยรุ่นลงทุนยังมีเวลาอีกเยอะ ผิดพลาดสามารถเริ่มต้นใหม่ได้ดีกว่า
และถ้าลงทุนอย่างถูกต้องจะสร้างความมั่งคั่งได้ ในเวลาที่เหมาะสม ไม่ถึง40 ปีก็รวยได้ ร้อยล้าน พันล้านก็มีสิทธิ์
ทั้งนี้การลงทุนที่จะทำให้มีผลตอบแทนถึงขั้นนี้ได้ ต้องอาศัยทักษะเป็นอย่างมาก ซึ่งถ้าหากลงทุนแบบปกติอย่างถูกต้อง ก็จะอาศัยเพียงการเติบโตของธรรมชาติหรือปัจจัยพื้นฐานของสินทรัพย์ที่ดีในการลงทุน ประกอบกับอัตราเงินเฟ้อที่เติบโตอยู่ทุกปี กำไรอาจจะไม่เท่ากับนักลงทุนที่มีทักษะ แต่จะไม่ขาดทุนอย่างแน่นอน ถ้าเลือกลงทุนในสินทรัพย์ที่มีปัจจัยพื้นฐานดีพอ…
บทความนี้เป็นเพียงสรุปจากเนื้อหาที่หญิงศึกษาด้วยตัวเอง และอยากจะแบ่งปันให้เพื่อน ๆ ศึกษาไปพร้อมกัน
เพื่อน ๆ ควรศึกษาความรู้จากหลาย ๆ ที่ เพื่อประกอบการตัดสินใจ และขอให้ทุกคนประสบความสำเร็จและมีความสุขในการลงทุนค่ะ
วัยรุ่นลงทุน
#วัยรุ่นลงทุน
#virunlongtun
โฆษณา