20 ก.พ. 2020 เวลา 14:55
💤"ศิลปะแห่งความเงียบ"💤
บางครั้งการที่ส่งเสียงประกาศให้คนทั้งโลกรู้ ว่านี่คือสุดยอดงานศิลปะ ก็ไม่ใช่สิ่งที่จำเป็น คุณค่ายังคงมีอยู่ในตัวมันเองเสมอ สักวันโลกจะรู้เอง ก็เพราะ ว่ามันคือสุดยอดงานศิลปะยังไงล่ะ...
ดอกไม้งามกลางป่าดงดิบ ไม่มีผู้พบห็น แล้วความงามมันจะหายไปไหม ?
ช้างเผือกในป่าลึก แข็งแกร่ง สง่างาม ไม่มีใครสามารถครอบครองมันได้ แล้วมันมีจริงๆไหม ?
ชายเสียงเพราะ แต่เกิดในครอบครัวคนหูหนวก เสียงของเขายังคงเพราะอยู่ไหม ?
ถ้าสิ่งเหล่านี้ไม่ได้ถูกค้นพบ มันยังจะสวยงามอยู่ไหม ?
ในเมืองฮ่องกงมีผู้หญิงคนหนึ่ง เลี้ยงลูก 3 คนด้วยตัวคนเดียวหลังการหย่าร้างกับสามี ประกอบด้วย ลูกผู้หญิง2คน และลูกชายหนึ่งคน
แต่เรื่องน่าสนใจ ตรงลูกชายคนกลางของบ้านนี้ เขาเป็นเด็กที่ดื้อเงียบ
โดยเฉพาะเรื่องการกินอาหาร
เพราะเขาเป็นลูกผู้ชายคนเดียวของบ้าน แม่เลยตามใจเขามาก
แม่ก็ต้องหาเนื้อหาปลามาให้พวกเขา 3 คนกินเสมอ แต่อาจเป็นเพราะลูกชายคนกลางถูกตามใจจนเคยตัว หรือไม่ก็เพราะนานๆ จะมีเนื้อมีปลากินสักครั้ง ทันทีที่อาหารขึ้นโต๊ะ เขาก็จะยกจานมาไว้ตรงหน้าตัวเอง เลือกกินของที่ชอบ พี่สาวน้องสาวก็ดีเหลือเกิน ไม่เคยแย่งเขากินเลย แต่ว่าเขากินไม่ค่อยมาก กินแค่สองสามคำก็เลิกกิน หันไปเล่นซน
เด็กชายคนนี้ยังมีนิสัยเสียอีกอย่าง คือ ชอบเอาของกินมาเคี้ยวเล่น แล้วก็คายกลับลงบนจาน ของที่เขาคายทิ้งนั้นพี่สาวน้องสาวไม่กล้ากิน แต่เพราะเสียดายของ แม่จึงเป็นคนกินทุกครั้ง นิสัยเสียนี้แม่ตำหนิเด็กชายหลายครั้ง แต่ก็ไร้ประโยชน์ อาจเพราะว่าเรื่องเรียนเรื่องนิสัยอื่น ของเขาไม่มีปัญหาอะไร แม่จึงยอมให้เพราะคิดว่าเป็นนิสัยซนของเด็กๆ
แต่มีครั้งหนึ่งแม่เหลืออด แม่โกรธจริงๆและลงมือทำโทษลูกชาย ในครั้งนั้นแม่ไม่ได้เงินเดือนมา 2 เดือนแล้ว ต้องไปยืมเงินคนอื่นมาซื้อน่องไก่ 2 น่องให้พวกเรากิน น่องไก่ย่างจนเหลืองหอม พอยกขึ้นโต๊ะเด็กชายก็ปีนขึ้นไปหยิบใส่ปากกัดคำโต แถมยังทำท่าทำทางล้อเลียนพี่สาวน้องสาวด้วย ทันใดนั้น น่องไก่ก็หลุดมือตกลงบนพื้น เปื้อนดินจนสกปรก
แม่ทั้งโกรธทั้งเสียดาย คว้ากิ่งไม้มาหวดลูกชายสิบกว่าครั้ง จนพี่สาวน้องสาวต้องเข้ามาดึงตัวเขาออกมา แม่ถึงยอมวางไม้ลงได้ ทั้งแม่ทั้งลูกสามคนกอดกันร้องไห้...หลังคราบน้ำตาแห้งลง พวกเราก็เริ่มกินข้าวกันใหม่ แม่เสียดายน่องไก่ จึงเก็บขึ้นมาแล้วเอาน้ำร้อนลวก แล้วกินเสียเอง
เวลาผ่านไปอีกหลายปี เด็กผู้ชายคนนี้ได้เติบโตขึ้น และไปเป็นนักแสดงชื่อดังของฮ่องกง
แม้ว่าเขาจะเป็นนักแสดงที่เก่งกาจ แต่เขากลับไม่เป็นที่ถูกใจ ของเพื่อนร่วมงานหลายคน
เพราะการทำงานของเขา ค่อนข้างจะเผด็จการ ทำให้มีคนออกมาโจมตีเขาอยู่หลายครั้ง ว่าเขาเอาแต่ใจ ไม่นึกถึงใจคนอื่น ไม่มีใครอยากร่วมงานด้วย เขาเลยกลายเป็นหมาหัวเน่าของวงการ
แต่เขากลับให้สัมภาษณ์น้อยมากเกี่ยวกับเรื่องนี้เวลามีนักข่าวมาสอบถาม และเขาไม่เคยโจมตีใครกลับ เอาแต่นิ่งเงียบซะส่วนใหญ่ เหมือนตอนที่เขาเป็นเด็ก ครั้งที่โดนแม่ตีตอนที่ทำไก่ตกพื้น
เขาไม่เคยอธิบายให้แม่ฟังเลย ว่าเขาทำไปทำไม เก็บไว้นานถึง10กว่าปี จนวันหนึ่งเขากับแม่ได้ไปออกรายการทีวีรายการหนึ่งด้วยกัน
แม่เล่าเรื่องนี้ให้ผู้ชมฟัง และบอกว่า “ตอนเด็กๆ ลูกชายซนมาก ไม่รู้เลยว่ากับข้าวแต่ละอย่างหามายากลำบากแค่ไหน ไม่รู้จักคุณค่าของเลย”
เขาย้อนคิดถึงเรื่องนี้อยู่สักพัก แล้วก็บอกออกไปว่า “ไม่ครับแม่ ผมรู้ว่าแม่ลำบาก...แต่ถ้าผมไม่แกล้งทำน่องไก่ตกดิน แม่จะยอมกินไหม? สมัยเด็กๆ มีของกินดีๆ อะไร แม่ก็จะให้พวกเราสามพี่น้องกินเสมอ แม่กินข้าวเปล่ากับผักดองตลอด ผมก็เลยคิดอุบาย เคี้ยวเนื้อแล้วก็คายทิ้ง หรือทำไก่ตกพื้น แม่ถึงยอมกินเพราะความเสียดาย”
พอแม่ได้ยินความลับที่เก็บงำมากว่าสิบปี ถึงกับน้ำตาริน บอกว่า “แม่น่าจะคิดได้ตั้งนานแล้ว เพราะลูกเป็นเด็กดีทุกเรื่อง ยกเว้นแค่เรื่องกินเรื่องเดียวที่นิสัยเสีย”
เหตุการณ์ที่เขาถูกโจมตีว่าเผด็จการก็คล้ายกัน ถึงคนในวงการหลายคนจะร้องอี๋ เมื่อได้ทำงานกับเขา แต่ก็มีนักแสดงอีกหลายคนที่ให้การอีกด้านหนึ่งว่า ความจริงแล้วเขาแค่เป็นคนที่จริงจังในการทำงาน และไม่ได้เป็นอย่างที่ข่าวลือซะทีเดียว
แต่จนแล้วจนรอดนักแสดงคนนี้ก็ไม่เคยออกมาแก้ตัวอะไรเลย ได้แต่ก้มหน้าก้มตาทำงานไป
และผลงานของเขาก็ได้พิสูจน์ตัวของมันเองจนหมดแล้ว....
ผู้ชายคนนี้มีนามว่า "โจวซิงฉือ"
😎😍😚รวมคำสัมภาษณ์อีกด้านที่มีคนออกมาพูดแทนโจวซิงฉือ
"ตอนที่ทำงานกับโจวซิงฉือสมัยเขายังเป็นนักแสดง คำพูดของผู้กำกับไม่มีอำนาจเท่าคำพูดของโจวซิงฉือ โจวซิงฉือก็แค่ต้องการทำให้ทุกอย่างออกมาดีที่สุด ยอมผิดต่อผู้กำกับ นักแสดง แต่จะไม่ยอมทำให้ผู้ชมผิดหวัง แต่มันก็ค่อยๆ ทำให้เขากลายเป็น คนโดดเดี่ยว "
《จางเหมี่ยน 》นางเอกที่มีผลงานร่วมกับโจวซิงฉือมากมาย
“เวลาคุณได้ยินคนมากมายพูดว่าไม่ดี คุณเคยเห็นเขาพูดถึงคนอื่นมั้ย?” “คนโดดเดี่ยว มักยากที่จะได้รับความเข้าใจ เขาไม่ใช่คนไม่ดี แต่เข้าใจโลกในมุมที่ต่างไป”
《  อันโทนี หว่อง 》
"ผมเคยทำงานกับ โจวซิงฉือ ตอนอยู่ TVB ด้วยกัน และยอมรับว่าเขาเป็นนักแสดงที่เก่ง แต่นอกเวลางานแล้วเขากับ โจวซิงฉือ ก็แทบไม่ได้พูดคุยอะไรกันเลย"
《หลิวชิงหวิน》
“ผมยืนยันว่าไม่เคยพูดเลยว่า โจวซิงฉือไม่ใช่เพื่อนของผม แต่ผมพูดเพียงว่า “เซี่ยงหัวเฉียง”(ชาร์ล เฮียง) ผู้อำนวยการสร้างภาพยนตร์ชื่อดังซึ่งมีประเด็นกับโจวซิงฉือนั้นเป็นเพื่อนของเขาทั้งในอดีต ปัจจุบันและอนาคต และยังเป็นเจ้านายที่ดีมากด้วยส่วนประเด็นข่าวลือเรื่องส่วนแบ่งค่าตัวนั้น ผมก็ยืนยันว่ามันเป็นเพียงข่าวลือ เราทั้งคู่ต่างได้รับค่าตอบแทนที่สมเหตุสมผล อีกทั้งในอนาคตถ้าหากมีโอกาสก็อยากจะร่วมงานกับโจวซิงฉืออีก “
《หลิวเต๋อหัว และ โจวซิงฉือ》
จากคำให้สัมภาษณ์จากบุคคลชื่อดังต่างๆ เป็นไปในทิศทางเดียวกันครับ ว่าบุคลิกคนเฮียโจวซิงฉือ คือ เงียบขรึม จริงจังกับการทำงานมาก สิ่งที่เขาทำมาตลอดคือก้มหน้าก้มตาทำงาน ใครจะว่ายังไง ใครมองยังไง ใครจะเกลียดเขาแค่ไหน เขาไม่เคยตอบโต้ เพียงแต่ทำงานอย่างหนัก จนผลงานของเขาได้ถูกพิสูจน์ไปทั่วโลก ว่าเขาคือของจริง นิตยสาร Time ของสหรัฐอเมริกาเคยเขียนว่า ถ้ามีชาร์ลีแชปลินในฮ่องกง เขาก็คือ โจวซิงฉือ เขาสมควรได้รับเกียรติเป็น "ราชาแห่งนักแสดงตลก"
ขอบพระคุณทุกท่านที่ติดตามเพจนี้มาตลอดครับ ผมพยายามเขียนให้ดีขึ้นในทุกๆวัน เพื่อท่านผู้อ่านทุกท่าน แต่ถ้าหากยังผิดพลาดอยู่ต้องขออภัยมาในที่นี้ด้วยครับ by ชนดิเรก

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา