25 ก.พ. 2020 เวลา 22:47 • ปรัชญา
“เปลี่ยนจิตใจจากปุถุชนไปเป็นพระอริยบุคคล”
ธรรมะรุ่งอรุณ ☀️
๒๖ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๓
“อริยบุคคล” มี ๔ ระดับ โสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี อรหันต์ ดวงวิญญาณเหล่านี้จะลดการเวียนว่ายตายเกิดน้อยลงไปตามลำดับ พระโสดาบันจะกลับมาเวียนว่ายตายเกิดในกามภพอีกไม่เกิน ๗ ชาติ คือภพของมนุษย์หรือภพของเทวดา พระสกิทาคามีนี้จะกลับมาเกิดในกามภพอีกเพียง ๑ ชาติ ส่วนพระอนาคามีนี้จะไม่กลับมาเกิดในกามภพ ก็หมายความว่าจะไม่มีร่างกายอีกต่อไป จะเป็นดวงวิญญาณที่อยู่ในระดับของพรหมโลก และพระอรหันต์นี่ก็เป็นดวงวิญญาณที่หลุดออกจากไตรภพอย่างสิ้นเชิง ติดกับการเวียนว่ายตายเกิดในไตรภพอีกต่อไป อันนี้ก็เกิดจากการทำบุญชนิดต่างๆ ครั้งแรกเราก็ทำบุญไม่ทำบาป เราก็จะเลื่อนดวงวิญญาณจากมนุษย์ให้ไปเป็นเทวดา หลังจากนั้นถ้าเราอยากจะขึ้นสูงกว่าระดับเทวดา เราก็ต้องเพิ่มการรักษาศีล จากศีล ๕ มาเป็นศีล ๘ แล้วเราก็ต้องไปปฏิบัตินั่งสมาธิเข้าฌานกัน ถ้าเราเข้าฌานได้ ๔ ขั้นแรกเรียกว่า “รูปฌาน” ก็ได้เข้าไปสู่สวรรค์ชั้นพรหมที่มีรูปเรียกว่า “รูปพรหม” แล้วถ้าเราเข้าอรูปฌานได้อีก ๔ ชั้นด้วยกัน เราก็จะไปสู่สวรรค์ชั้นพรหมที่ไม่มีรูปหรือเรียกว่า “อรูปพรหม” นี่คือดวงวิญญาณแต่ยังเป็นปุถุชนอยู่ ดวงวิญญาณเหล่านี้ยังเป็นปุถุชนอยู่ ไม่ว่าจะเป็นพรหม รูปพรหม หรืออรูปพรหม เป็นเทพชั้นไหนก็ตาม ชั้นดาวดึงส์ชั้นดุสิต ชั้นอะไรก็ยังเป็นปุถุชนอยู่ คือยังต้องเสื่อมลงมาเกิดเป็นมนุษย์ใหม่ จะไม่อยู่เป็นพรหมไปได้ตลอด จะไม่อยู่เป็นเทวดาไปได้ตลอด พอบุญที่ส่งให้เป็นพรหมหรือเป็นเทวดาหมดลง ดวงวิญญาณก็จะลดลงมาเป็นดวงวิญญาณของมนุษย์ แล้วก็จะมาได้ร่างกายของมนุษย์ แล้วก็จะกลับมาทำบุญทำบาปอีกรอบหนึ่ง แล้วพอตายไปก็จะไปเป็นดวงวิญญาณชนิดต่างๆ ตามอำนาจของบุญของบาปที่ได้ทำไว้ในขณะที่เป็นมนุษย์ ก็จะทำอย่างนี้ไปเรื่อยๆ เรียกว่า “เวียนว่ายตายเกิด” ดวงวิญญาณที่ยังอยู่ในไตรภพเราถึงเรียกว่าเป็นปุถุชน ไม่ใช่เป็นพระอริยบุคคล แต่ผู้ที่หลังจากได้ระดับเข้าฌานได้ ปฏิบัติธรรมถือศีล ๘ เข้าฌานได้ แล้วได้มาเจอคำสอนของพระพุทธเจ้าที่ทรงสอนให้ ทำลายกิเลสตัณหาที่มีอยู่ในใจให้หมดไปด้วยการพิจารณา “ไตรลักษณ์” อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ในสิ่งต่างๆ ที่กิเลสตัณหาต้องการ พอใจเห็นว่าทุกอย่างเป็นทุกข์ ทุกข์เพราะว่ามันไม่เที่ยง ทุกข์เพราะว่ามันไม่ได้เป็นของเรา มันจะต้องมีการจากเราไปวันใดวันหนึ่ง พอรู้ก็ตัดกิเลสตัณหาความโลภความอยากต่างๆ ไป ถ้าตัดได้แล้วระดับแรกก็เรียกว่า “โสดาบัน” โสดาบันไปตัดความอยากที่เกี่ยวกับร่างกายของตนเองได้ ความอยากไม่แก่อยากไม่เจ็บอยากไม่ตายนี้ทำลายได้หมด ไม่กลัวความแก่ไม่กลัวความเจ็บไม่กลัวความตาย พร้อมที่จะแก่พร้อมที่จะเจ็บพร้อมที่จะตาย เรียกว่าเป็นโสดาบันขึ้นมา ก็จะไม่ติดกับการมีร่างกาย แต่ยังติดกับการมีร่างกายของคนอื่น พระโสดาบันนี้ยังชอบมีแฟนอยู่ ยังอยากมีแฟนอยู่ เพราะยังไม่เห็นความไม่สวยงามของร่างกายของแฟน ยังไปเห็นความสวยงามของร่างกายของแฟนอยู่ ไม่ได้เห็นทะลุเข้าไปใต้ผิวหนังนั่นเอง ไม่มีตาของปัญญาหรือตาของซุปเปอร์แมน ซุปเปอร์แมนนี่สามารถมองทะลุฝาพนังได้ ตาปัญญาก็สามารถมองทะลุผิวหนังเข้าไปได้ จะทำยังไงให้เกิดตาปัญญา ก็ต้องนึกถึงอาการต่างๆ ที่อยู่ภายใต้ผิวหนังอยู่เรื่อยๆ นั่นเอง
พระพุทธเจ้าจึงทรงสอนให้พิจารณาอาการ ๓๒ “ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง” นี้อยู่ข้างนอก แต่ เนื้อ เอ็น กระดูก เยื่อในกระดูก ม้าม หัวใจ ตับ พังพืด ไต ปอด ลำไส้ใหญ่ ลำไส้น้อย อาหารใหม่ อาหารเก่า เยื่อในสมองศีรษะ ของพวกนี้มองไม่เห็น ต้องใช้ตาปัญญาถึงจะมองเห็น วิธีสร้างตาปัญญาก็คือให้นึกถึงภาพเหล่านี้อยู่เรื่อยๆ ถ้ายังไม่เห็นอยากจะไปดูภาพถ่ายก็ได้หรือภาพวาดก็ได้ นักศึกษาแพทย์นี่เขามีหนังสืออนาโตมี เขาจะวาดหรือถ่ายอวัยวะต่างๆ ให้นักศึกษาไว้ศึกษา ต่อไปจะต้องไปดูแลรักษาอวัยวะเหล่านี้นั่นเอง ก็เลยต้องรู้จักว่ามันอยู่ตรงไหน รูปร่างลักษณะอย่างไร มีหน้าที่อย่างไร หัวใจมีหน้าที่ทำอะไร ปอดมีหน้าที่ทำอะไร ตับมีหน้าที่ทำอะไร ไตมีหน้าที่ทำอะไร ลักษณะของปอดเป็นอย่างไร ไม่อย่างนั้นเดี๋ยวจับผิดจับถูก จะไปผ่าหัวใจไปผ่าปอดแทน ใช่ไหม ก็ต้องมีการศึกษาอวัยวะต่างๆ ของร่างกาย พวกเราผู้ปฏิบัติธรรมเราไม่ได้ศึกษาเพื่อไปรักษา เราศึกษาเพื่อให้เห็นความจริงของร่างกายว่ามันไม่สวยไม่งามอย่างที่เราคิดกันหรอก เราถูกหลอกรู้ไหมทุกวันนี้ นี่เราเห็นใครสวยใครหล่อนี่เรากำลังถูกหลอกแล้ว ใครหลอกเรา ก็ความโง่ของเราหลอกเรา โมหะอวิชชา อวิชชาก็คือขาดปัญญาไม่มีปัญญาไม่มีความรู้จริง แต่พอมาเรียนอาการ ๓๒ แล้วจะหายโง่ จะเห็นความจริงของร่างกาย เห็นว่าร่างกายทั้งร่างนี้สวยแต่ข้างนอก สวยแค่ผิวหนัง อย่างฝรั่งบอกว่า “ความสวยของคนนี้เพียงแค่ระดับผิวหนังเท่านั้นเอง พอใต้ผิวหนังเข้าไปแล้วนี่ไม่มีอะไรน่าดูเลย” ไม่เชื่อลองไปดูเวลาที่หมอเขาชันสูตรศพกันดู เขาผ่าศพออกมา แหวกอก ผ่าหนังผ่าเนื้อออกมา แหวกเนื้อแหวกหนังก็เจอโครงกระดูก ใช่ไหม จากโครงกระดูกเข้าไปนี้จะเห็นแล้วซิ อยากจะดูว่าปอดเป็นยังไงก็เห็นชัด อยากจะดูว่าหัวใจเป็นยังไง ตับเป็นยังไง ไตเป็นยังไง ลำไส้เป็นอย่างไร เห็นหมดละทีนี้ ถ้าอยากจะเห็นอยู่เรื่อยๆ ก็ต้องนึกอยู่เรื่อยๆ มีคนถามว่าเป็นหมอทำไมยังอยากมีแฟนอยู่ ก็เพราะหมอมองแต่ตอนที่ทำงานเท่านั้นเอง ตอนที่ผ่าตัดเท่านั้นเอง เวลาไม่ผ่าตัดก็ไม่มองแล้ว ไม่คิดถึงมันแล้ว ก็จะไปมองแต่ข้างนอก มองแต่ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เท่านั้นเอง หนังสวยไหม หนังเนียนไหม หนังขาวไหม ก็เลยไปหลงใหลคลั่งไคล้กับร่างกาย ยังไปรักไปชอบร่างกายอยู่ นี่พระโสดาบันยังไม่ถึงขั้นที่ศึกษาอนาโตมีของร่างกาย ก็ยังอยากมีแฟนอยู่ เห็นใครหน้าตาถูกอกถูกใจก็ยังอยากจะได้เขามาเป็นแฟนอยู่ แต่ถ้าได้รู้แล้วว่าการมีแฟนนี้มันก็มีทั้งสุขมีทั้งทุกข์นะ เวลาอยู่ด้วยกันก็สุขนะ เวลาชอบกันก็สุขนะ เวลาโกรธกันมันก็จะทุกข์นะ หรือเวลาอยู่ห่างกันมันก็จะทุกข์นะ ถ้าเริ่มเห็นว่าการมีแฟนนี่มันไม่ใช่แต่ได้ความสุขอย่างเดียว นอกจากได้ความสุขแล้วมันยังมีความทุกข์แถมมาอีก ถ้าไม่อยากจะได้ของแถมก็ต้องไม่เอาความสุขจากแฟน ก็ต้องไม่มีแฟน แล้วจะทำยังไงทำให้เลิกมีแฟน ก็ต้องอย่าไปมองส่วนที่น่าดูของแฟนซิ หันไปดูส่วนที่ไม่น่าดูของแฟน ไปดูภายใต้ผิวหนัง ไปศึกษาดูอาการต่างๆ ภายใต้ผิวหนัง ภายนอกก็มี ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง นี่เราเห็นกันทุกวัน หลงกันรักกันก็อยู่ที่ตรงผม ขน เล็บ ฟัน หนัง นี่เอง ฟันเป็นยังไง ฟันเย้รึเปล่า ถ้าฟันเย้ก็ต้องไปจัดฟัน ถ้าฟันไม่สวยก็ต้องไปจัดฟัน หนังถ้ามันมีฝ้ามีอะไรก็ต้องไปกำจัดฝ้า ทำให้มันสวย ผมถ้ามันไม่สวยก็ย้อมได้ ผมมันขาวก็ย้อมให้มันดำได้ ตกแต่งได้ร่างกายภายนอกแต่ภายในนี้ตกแต่งไม่ได้ ถ้าไม่อยากจะมีแฟนก็ต้องดูส่วนภายในของร่างกาย ดูตั้งแต่เนื้อเข้าไป ใต้ผิวหนังก็คือเนื้อ ใต้เนื้อก็จะมีเอ็นรัดกระดูก ภายในกระดูกก็มีเยื่อในกระดูก แล้วโครงกระดูกที่ครอบก็มีอวัยวะต่างๆ อยู่ภายใต้โครงกระดูก มีปอด ชิ้นใหญ่ที่สุดก็คือปอด หัวใจ ตับ ไต แล้วก็ลำไส้ ยาวที่สุดก็คือลำไส้ มีลำไส้น้อย ลำไส้ใหญ่ แล้วมีสิ่งที่บรรจุอยู่ในลำไส้ก็คืออาหารใหม่ อาหารเก่านี้เอง ต้องศึกษาต้องนึกบ่อยๆ คิดบ่อยๆ เวลามองใครเห็นร่างกายของใครไม่ว่าของเราหรือของใคร ต้องมองให้มันเข้าไปข้างในให้ได้ ถ้ามองเห็นข้างในแล้วต่อไปจะไม่หลงรักแม้แต่ร่างกายของเราก็จะไม่รัก แต่เราไม่เห็น โอ้โฮ เราคิดว่าร่างกายเราน่าดูน่าชม โอ๊ย พยายามรักพยายามหวงมันเหลือเกิน แต่พอมาดูเข้าจริงๆ ไม่มีอะไรน่าหวงเลยร่างกายของเราหรือของใครก็ตาม มีแต่สิ่งที่น่าเกลียด ไม่น่าดูเต็มไปหมด นอกจากนั้นยังมีส่งกลิ่นเหม็น แล้วยังมีน้ำชนิดต่างๆ น้ำที่ส่งกลิ่นเหม็นชนิดต่างๆ น้ำเลือด น้ำเหลือง น้ำดี น้ำเสลด น้ำลาย น้ำมูก น้ำไขข้อ น้ำมันเหลว น้ำมันข้น น้ำตา น้ำเหงื่อ น้ำมูตร นี่คือส่วนประกอบของร่างกายที่เรามองไม่เห็นกันหรือไม่มองกัน พอเรามองไม่เห็นก็เลยไม่คิดว่ามันไม่น่าดู กลับไปหลงใหลคลั่งไคล้กับมัน คิดว่ามันเป็นร่างกายที่น่าดูน่าชม น่าเอามาเป็นสมบัติ อันนี้ก็เลยทำให้ติดอยู่กับการมาเกิดเป็นมนุษย์อยู่ เพราะยังต้องมีแฟนนั่นเอง
แต่พอได้พิจารณาอสุภะความไม่สวยงามของร่างกายไปเรื่อยๆ ต่อไปความอยากมีแฟนก็จะหายไปหมด ต่อไปพอหมดแล้วทีนี้ก็ไม่รู้จะกลับมามีร่างกายทำไม เพราะไม่มีความอยากมีแฟนแล้ว ร่างกายของเราก็ไม่น่าดู ร่างกายของเราก็ไม่น่ามีเพราะมีแล้วมันก็ต้องแก่ต้องเจ็บต้องตาย พระอนาคามีคือระดับที่ ๓ ก็จะตัดการเกิดเป็นมนุษย์ได้อย่างเด็ดขาด พระสกิทาคามียังกลับมาอีกครั้งหนึ่งเพราะยังเห็นไม่ตลอดเวลา เริ่มเห็นแล้วบางเวลา บางเวลาไม่เห็น เผลอไปคิดถึงส่วนที่สวยงามก็ยังเกิดความรักความใคร่ขึ้นมา พอเวลาที่เห็นส่วนที่ไม่สวยงามความรักความใคร่ก็หายไป นี่คือกระบวนการของการเปลี่ยนจิตใจจากปุถุชนไปเป็นพระอริยบุคคล
สนทนาธรรมบนเขา
วันที่ ๕ กรกฎาคม พ.ศ.๒๕๖๒
พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
วัดญานสังวรารามฯ จังหวัดชลบุรี
ณ จุลศาลา เขตห้ามล่าสัตว์ป่าเขาชีโอน
โฆษณา