29 ก.พ. 2020 เวลา 22:35 • ปรัชญา
(ไวรัสโคโรนา COVIC-19)
“ไม่ต้องไปวิตกกังวลมากเกินไป”
ธรรมะรุ่งอรุณ ☀️
๑ มีนาคม ๒๕๖๓
วันนี้เป็นวันเสาร์ที่ ๒๙ กุมภาพันธ์ พุทธศักราช ๒๕๖๓ เป็นช่วงที่มีโรคระบาดคือโรคไข้หวัดใหญ่ (ไวรัสโคโรนา COVIC-19) ที่พวกเราทุกคนคงได้ยินได้ฟังกันมา แต่เป็นเรื่องที่เราไม่ต้องไปหวาดวิตกเกินเหตุเกินผล เพราะเป็นโรคที่รักษาให้หายได้และอัตราการตายจากโรคนี้ก็ต่ำ มีอยู่ประมาณร้อยละ ๒ คือทุกคนที่ติดโรคนี้จะมีตายอยู่ ๒ คน และผู้ที่เสี่ยงต่อความตายโรคนี้ก็จะเป็นผู้ที่มีภูมิต้านทานโรคต่ำ เช่น ผู้สูงอายุประมาณ ๖๐ ปีขึ้นไป หรือเด็กที่ต่ำกว่า ๒ ขวบ หรือผู้ที่มีโรคประจำตัว เป็นผู้ที่เสี่ยงต่อการตายจากโรคไข้หวัดใหญ่นี้ และอาการของไข้หวัดใหญ่นี้ก็ต่างจากไข้หวัดใหญ่ที่ตรงที่จะมีไอแล้วก็จะหายใจไม่ออก นี่คือลักษณะของโรคนี้ที่พวกเราควรที่จะเรียนรู้ เพื่อที่เวลาเกิดขึ้นเราจะได้รู้ว่าเราเป็นโรคอะไร ถ้าเราไม่แน่ใจก็ไปโรงพยาบาล ไปให้หมอตรวจดู การแพร่หรือการติดโรคนี้ก็เกิดจากมือของเรานี่แหละที่ไปแตะพื้นผิวที่มีเชื้อโรคติดอยู่ เพราะเราจะต้องใช้มือเราจับนู่นจับนี่ เปิดประตูเปิดหน้าต่าง จับอาหารใส่ปาก เวลามือเราไปแตะพื้นผิวต่างๆ พื้นผิวนั้นอาจจะมีเชื้อโรคอยู่ พอเราไปแตะเราก็เอาเชื้อโรคติดมากับมือ แล้วเวลาเรารับประทานอาหารหรือรับประทานขนม เราก็ใช้มือหยิบเข้าปาก เราก็เอาเชื้อโรคเข้าไปในร่างกายของเรา ดังนั้น จึงควรพยายามล้างมือให้สะอาดด้วยน้ำสบู่ก่อนที่จะรับประทานอาหารทุกครั้ง จะช่วยลดโอกาสที่จะติดโรคนี้ได้ ถ้าไม่สามารถใช้น้ำกับสบู่ได้ก็มีน้ำยาที่เราสามารถพกพาติดตัวไปได้ ทุกครั้งที่จะใช้มือหยิบอาหารเข้าปากก็ควรที่จะเช็ดมือล้างมือให้สะอาดก่อน แล้วโอกาสที่เราจะติดโรคนี้ก็มีน้อยลงไป ถ้าไม่จำเป็นก็ควรหลีกเลี่ยงไปตามสถานที่ที่มีคนแออัดยัดเยียดกัน
นี่คือสิ่งที่เราสามารถจะทำได้กับการรับของโรคระบาดอันนี้ แต่เราไม่ต้องไปตื่นเต้นตกใจ เพราะเป็นโรคที่รักษาได้และป้องกันได้ในระดับหนึ่ง ขอให้เรามีสติ อย่าใช้อารมณ์ อย่าใช้ความตื่นตระหนก โดยเฉพาะสติดูเวลาที่เราใช้มือเรา เวลาที่เราจะหยิบอาหารหยิบอะไรเข้าปาก ขอให้มีสติ ถามว่ามือเราสะอาดหรือไม่ ถ้าไม่สะอาดไม่มั่นใจก็ควรที่จะไปล้างมือเช็ดมือก่อน แล้วค่อยรับประทานอาหาร เรื่องโรคภัยไข้เจ็บนี้พระพุทธเจ้าก็ทรงตรัสสอนไว้ว่าเป็นเรื่องธรรมดาของร่างกายที่เกิดมาแล้วย่อมมีความเจ็บไข้ได้ป่วยเป็นธรรมดา และโรคภัยที่เป็นนี้ก็มีอยู่ ๓ ชนิดด้วยกันที่ทุกๆร่างกายจะต้องพบไม่ช้าก็เร็ว โรคภัยชนิดที่ ๑ ก็คือโรคที่เป็นแล้วหายเองไม่ต้องรักษา เช่น โรคหวัดธรรมดา เป็นแล้ว ๔ – ๕ วัน โรคหวัดก็หายไปเองได้ โรคชนิดที่ ๒ เป็นโรคที่เมื่อเป็นแล้วต้องรักษาถึงจะหาย ถ้าไม่รักษาก็ไม่หาย แล้วก็โรคชนิดที่ ๓ โรคที่รักษาหรือไม่รักษาก็ไม่หาย มีแต่จะตายเท่านั้น นี่คือลักษณะของโรคชนิดต่างๆที่ร่างกายของพวกเราทุกคนที่เกิดมาแล้ว จำเป็นที่จะต้องเจอจะต้องเป็นกัน แต่ข่าวที่ดีสำหรับพวกเราก็คือข่าวที่พระพุทธเจ้ามอบให้กับพวกเรา ก็คือพวกเราไม่ได้เป็นร่างกาย เวลาร่างกายเจ็บไข้ได้ป่วย เวลาร่างกายตายไป เราไม่ได้เจ็บเราไม่ได้ตายไปกับร่างกาย เพราะเราคือผู้รู้ผู้คิด ผู้ใช้ร่างกาย ผู้สั่งให้ร่างกายทำอะไรต่างๆ เรานี้เป็นนายของร่างกาย ร่างกายเป็นบ่าว เป็นผู้รับใช้เรา เห็นเป็นคนละคนกัน ร่างกายเป็นอะไรไม่ได้ทำให้เราเป็นไปกับร่างกาย ร่างกายเจ็บไข้ได้ป่วย เราไม่ได้เจ็บไข้ได้ป่วยไปกับร่างกาย ร่างกายตายเราก็ไม่ได้ตายไปกับร่างกาย เพราะฉะนั้นเราไม่ต้องไปวิตกกังวลมากเกินไปกับความเป็นไปความเป็นความตายของร่างกาย ด้วยการมาคอยเตือนใจสอนใจให้ปล่อยวางร่างกาย อย่าไปเดือดร้อนกับความเป็นความตายของร่างกาย เพราะเราห้ามความเป็นความตายของร่างกายไม่ได้ แต่เราห้ามความทุกข์ใจของเราได้ ห้ามไม่ให้ใจเราทุกข์กับความเป็นความตายของร่างกายได้ ด้วยการใช้ความรู้ที่พระพุทธเจ้าทรงสอนพวกเรานี้ คอยเตือนใจเราอยู่เรื่อยๆว่าเราไม่ได้เป็นร่างกาย เราเป็นผู้รู้ผู้คิดที่เรียกว่าจิตใจ แล้วเวลาที่ร่างกายตายไปจิตใจก็จะเปลี่ยนชื่อไปเป็นดวงวิญญาณไป ใจไม่มีวันตายไม่มีวันเจ็บไม่มีวันแก่ แต่จิตใจมีปัญหาอยู่ตรงที่ยังหยุดการมาเกิดไม่ได้ ยังหยุดมาเกิดมาแก่มาเจ็บมาตายไม่ได้ คือหยุดไปมีร่างกายไม่ได้ ชอบไปหาคนใช้มารับใช้อยู่เรื่อยๆ เพราะเราไม่สามารถที่จะมีความสุขหรือหาความสุขได้ด้วยตัวของเราเอง เราเลยต้องไปจ้างร่างกายไปซื้อร่างกายมารับใช้เรา เราเลยต้องมารับผิดชอบกับเรื่องของร่างกาย ต้องเลี้ยงดูร่างกายแล้วก็ต้องรักษาพยาบาลร่างกายซึ่งเป็นสิ่งที่เราไม่ชอบกัน แต่ก็เป็นสิ่งที่เราหลีกเลี่ยงไม่ได้ถ้าเรายังต้องใช้ร่างกายเป็นเครื่องมือหาความสุขให้กับเรา
ถ้าเราไม่อยากที่จะต้องมาเจอปัญหากับเรื่องของร่างกาย เราก็ต้องเลิกใช้ร่างกายเป็นเครื่องมือหาความสุข มาเปลี่ยนวิธีหาความสุขกันดีกว่า วิธีหาความสุขที่ไม่ต้องใช้ร่างกายนี้ พระพุทธเจ้าเป็นผู้ทรงค้นพบแล้วนำเอามาสอนพวกเรา พระพุทธเจ้าเมื่อก่อนก็ต้องใช้ร่างกายเหมือนพวกเรา ใช้ร่างกายพาเราไปหาความสุขจากการกินการดื่มการดูการฟังการไปเที่ยวตามสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ แต่ร่างกายก็มีอุปสรรคอย่างที่เรารู้กัน เพราะร่างกายต่อไปก็ต้องแก่และก็ต้องเจ็บไข้ได้ป่วย แล้วในที่สุดก็ต้องตายไป พอร่างกายแก่หรือเจ็บหรือจะตาย เราก็จะไม่มีความสุขกัน เพราะไม่สามารถใช้ร่างกายหาความสุขต่างๆอย่างที่เคยใช้ได้ แต่ถ้าเรามาเปลี่ยนวิธีหาความสุขกัน มีวิธีหาความสุขอีกวิธีหนึ่งที่จะให้ความสุขกับเราที่ดีกว่าความสุขที่เราได้จากร่างกาย เพราะเป็นวิธีที่มั่นคงที่แน่นอน ที่เราสามารถหาได้ตลอดเวลาไม่ว่าร่างกายจะแก่หรือไม่แก่ ร่างกายจะเจ็บหรือไม่เจ็บ ร่างกายจะตายหรือไม่ตาย เราสามารถมีความสุขได้ ถ้าเรารู้จักวิธีหาความสุขที่ไม่ต้องใช้ร่างกายนี้เอง นี่แหละจะเป็นวิธีที่จะแก้ปัญหาที่เราต้องมาเจอกับปัญหาของร่างกาย ถ้าตราบใดมีร่างกายตราบนั้นเราก็จะต้องเจอความแก่เจอความเจ็บเจอความตายของร่างกาย พอเจอมันก็ทำให้เราไม่สบายใจ ทำให้เราไม่มีความสุข ทำให้เรามีความทุกข์กัน
ธรรมะบนเขา
วันที่ ๒๙ กุมภาพันธ์ พ.ศ.๒๕๖๓
พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
วัดญาณสังวรารามฯ จังหวัดชลบุรี
ณ จุลศาลา เขตห้ามล่าสัตว์ป่าเขาชีโอน
โฆษณา