13 มี.ค. 2020 เวลา 11:36
" แสงสว่าง ในความมืด "
ท่านกลางวิกฤตการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น คงทำให้ท่านผู้อ่านหลายท่าน เริ่มตื่นตระหนก และเป็นกังวลอย่างมาก
เพราะมีทั้งภัยธรรมชาติ ภัยจากคนที่เข่นฆ่ากันเอง จนเกือบที่จะบานปลายเป็นสงครามโลก อีกทั้งยังมีทั้งภัยทางเศรษฐกิจ ข้าวยากหมากแพง คนตกงานมากมาย ภัยจากคนที่ฉกฉวยผลประโยชน์ให้กับตนเองโดยไม่คำนึงถึงส่วนรวม ภัยจากโรคร้ายที่กำลังระบาดหนักอยู่ในตอนนี้
ชีวิตของพวกเราช่างเปราะบางเสียเหลือเกินครับ
จะขยับตัวออกจากบ้านที แทบจะราดตัวด้วยแอลกอฮอล์ เพราะกลัวโรคร้ายจะมาคุกคาม
ผ้าปิดปากก็หนาเป็นนิ้ว จะขยับตัวไปไหนที่ก็ลำบาก แม้แต่ที่ ๆ ชอบไป ก็ไม่ได้ไป
จะไปไหนก็ต้องระวัดระวังจะโดนใครยิงไหม ?
บ้านก็กลัวว่าจะมีโจรมาขโมยของไหม ?
ใครมีกิจกรรมที่คิดไว้ว่าจะทำ ก็ต้องเลื่อน
อยู่ด้วยความหวาดระแวง ใครไอจามใกล้ ๆ ก็กลัวไปหมด
ผมมีเรื่องหนึ่งอยากจะเล่าให้ท่านผู้อ่านรับชมครับ ซึ่งหลายท่านอาจจะรู้สึกคุ้นๆ หรือเคยได้ยินกันมาบ้างแล้ว เป็นเรื่องที่เล่าสืบ ต่อ ๆ กันมาในสมัยพระพุทธกาล ผมจึงได้นำเอามาดัดแปลงและเล่าใหม่เพื่ออรรถรสที่เพิ่มขึ้น เชิญรับชมได้เลยครับ
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีครอบครัวหนึ่งอยู่กันอย่างมีความสุข 3 คน พ่อ แม่ และลูกตัวน้อย ๆ
วันหนึ่งมีหมอดูคนหนึ่ง ที่ขึ้นชื่อว่าเป็นหมอดูที่ดูดวงแม่นที่สุดในขณะนั้น ชนิดที่ว่าไม่เคยพลาด ไดัมีโอกาสทำนายให้เจ้าหนูน้อย ผู้เป็นลูกของ 2 สามีภรรยาคู่นี้ว่า
1
"ลูกของเจ้าจะต้องเคราะห์กรรมหนัก จนถึงขั้นเสียชีวิต ภายใน 7 วัน เขาอยากกินอะไร อยากทำอะไรก็ตามใจเขานะ เขามีเวลาเหลือแค่นั้นที่จะอยู่กับพวกเจ้า"
พ่อแม่ได้ฟัง ปานว่าฟ้าผ่าลงมากลางใจ หัวใจคนเป็นพ่อ เป็นแม่ แทบสลาย ในวินาทีนั้น
พวกเขาได้แต่ขอร้องให้หมอดูช่วย เปลี่ยนเคราะห์ร้ายให้หน่อย มีวิธีไหนช่วยลูกได้บ้างจะยอมทำ
แต่หมอดูยืนกราน ว่าหมดวิธีที่จะช่วยแล้ว หากตนทำนายพลาด จะเผาตำราทิ้งเสีย แล้วเขาก็จากไป
หลังจากนั้นมา พ่อแม่ของเด็กน้อย ก็กักตัวลูกให้อยู่แต่ในบ้าน ไม่ให้ออกไปไหน คอยเฝ้าระแวดระวัง ภัยอันตรายที่จะมากล้ำกรายลูกน้อย เป็นเวลา 6 วัน ก็ไม่ได้มีวี่แววว่าจะเกิดอะไรขึ้น
จนกระทั่งวันที่ 7 พ่อแม่ ได้ออกไปทำงาน แต่ก็เอาลูกเก็บไว้ในบ้านอย่างดี คิดว่าคงไม่มีภัยอันตรายอะไรแล้ว
ในวันนั้นมีคนมาหา พ่อแม่ของเด็กน้อย เลยทำให้ได้เปิดประตูบ้านออก พอไม่พบ ก็ได้จากไป
เด็กน้อย พอเห็นประตูเปิดออกก็ดีใจ เพราะถูกกักตัวไว้นานทำให้เบื่อมาก เลยหนีออกไปวิ่งเล่น พร้อมกับถือขันกระลาใบใหญ่ตักน้ำไปกินด้วย และได้เข้าไปในป่า ที่เคยไปประจำกับพ่อ
1
หนูน้อยสนุกมากกับการวิ่งเล่นจนเพลิดเพลิน ในขณะที่ผ่านริมแม่น้ำ ทันใดนั้นเห็นปลาตัวหนึ่ง ได้เกยตื่นอยู่ ชักกระแด่ว ๆ หนูน้อยมีความเมตตาตั้งแต่เด็ก ๆ เลยเอาขันกะลา ตักปลาตัวนั้น ปล่อยลงสู่แม่น้ำอีกครั้ง ทำให้ปลารอดจากความตาย
ในขณะนั้น ท้องฟ้ามืดครึ้น ฟ้าร้องเสียงดังสนั่น ฝนได้ตกลงมาห่าใหญ่
เด็กน้อยเมื่อปล่อยปลาเสร็จแล้ว ก็เอาขันกะลา ครอบหัวกันฝน แล้วรีบวิ่งกลับบ้าน
พอวิ่งผ่านต้นไม้ใหญ่ มีงูพิษตัวหนึ่งอยู่บนต้นไม้ ได้พุ่งลงมาฉกใส่เด็กน้อย
แต่เดชะบุญ ฉกโดนขันกะลาที่เด็กน้อยเอามาครอบหัวกันฝนพอดี เด็กน้อยเลยรอดมาได้อย่างปลอดภัย
ตัดภาพมาที่พ่อแม่ เมื่อกลับบ้านมา เห็นลูกหายไป ก็ร้องไห้ปานใจจะขาดเสียให้ได้ คิดว่าลูกคงตายไปแล้วตามคำทำนาย
พอสักพัก เมื่อได้เห็นลูกวิ่งกลับมาก็ดีใจ โผเข้าไปกอดลูกน้อยอย่างหมดห่วง
วันรุ่งขึ้น ครบกำหนด 7 วันตามคำทำนาย ปรากฎว่าลูกยังไม่ตาย จึงพากันไปต่อว่าหมอดู ที่ทำนายว่าลูกจะตายภายใน 7 วัน ทำให้พวกเขาต้องหวาดระแวง ทนทุกข์ทรมานอยู่หลายวันกินไม่ได้นอนไม่หลับ
หมอดูแปลกใจมาก เพราะได้ใช้ทุกศาสตร์ที่ตัวเองมีในการพยากรณ์จนสิ้นความรู้ ทำไมถึงพลาดได้ เพราะที่ผ่านมาก็ตรงเป๊ะ 100 % ไม่เคยพบว่าทำนายผิดพลาดมาก่อน
แต่ถึงกระนั้นก็ยอมเผาตำราทิ้งตามคำพูด คนที่เสียดายก็พากันไปดับไฟ เลยมีตำราโหราศาสตร์หลงเหลือจากการถูกเผามาจนถึงทุกวันนี้
เห็นไหมล่ะครับ เด็กน้อยคนนี้ ซึ่งเดิมทีต้องตายแน่ ๆ แต่เพราะความดีของเขาที่ได้ช่วยเหลือปลาตัวหนึ่งให้รอดจากภัยอันตรายมาได้ ตัวเขาเลยรอดมาได้เช่นเดียวกัน
ถ้าท่านผู้อ่านท่านใด กำลังวิตกกังวลอยู่ ถึงเภทภัยต่าง ๆ นา ๆ ลองทำเหมือนเด็กคนนี้ดูไหมครับ ทำความดีด้วยใจบริสุทธิ์
จริง ๆ แล้วประเทศของเราและโลกของเราในตอนนี้ ก็เปรียบเสมือนกับปลาที่กำลังนอนดิ้นชักกะแด่ว ๆ รอความตายเหมือนกับในเรื่องนี้ เราก็เหมือนเด็กคนนี้ ถึงแม้จะมีความเสี่ยงที่จะตายเหมือนกัน แต่ก็ไม่ได้นิ่งเฉยรอความตายเปล่าๆ หากแต่เด็กคนนี้ ยังได้ช่วยปลาเอาไว้อีก แทนที่พวกเรามัวแต่หวาดระแวง เราลองหันมาช่วยโลกใบนี้เอาไว้ ไม่ดีกว่าหรอครับ ยังไงมันก็เสี่ยงทั้งนั้น ไม่ว่าเราจะอยู่เฉย ๆ ก็เสี่ยงเหมือนกัน ไม่แน่ว่าการที่พวกเราลุกขึ้นมาช่วยกันอาจจะทำให้ท่านรอดพ้นจากวิกฤตในครั้งนี้ก็เป็นได้
ช่วยกันคนล่ะไม้ คนล่ะมือครับ ใครมีกำลังทำอะไรได้ก็ทำ ใครมีกำลังไม่มาก อย่างน้อยที่สุดก็เป็นกำลังใจให้กันก็ยังดี ไม่ตอกย้ำซ้ำเติมผู้ประสบภัย หรือแสดงท่าทีรังเกียจเดียดฉันผู้ติดเชื้อ ส่วนผู้ประสบภัยเองก็ไม่ควรไปแพร่เชื้อต่อ เพราะไม่แน่โรคที่ท่านเป็นอาจจะรักษาหายได้ แต่ถ้าท่านพยายามไปแพร่เชื้อต่อ เช่นไอจามใส่คนอื่น รู้ว่าเป็นยังไปเที่ยวในที่ชุมชน ท่านอาจจะโดนสหบาทาสามัคคี สิ้นชีวีก่อนที่ป่วยตายก็ได้นะครับ
ส่วนคนที่เอาเปรีบบเพื่อนร่วมโลกด้วยการกักตุนสินค้า หรือหน่วยงานต่างๆ ที่บริหารงานด้วยความมิชอบ ก็เพรา ๆ หน่อยนะครับ วันไหนท่านติดเชื้อขึ้นมา ใครจะอยากช่วยท่านล่ะครับ โลกใบนี้เป็นของทุกคนครับ เราต้องช่วยกันรักษา ตอนนี้มันกลายเป็นปัญหาระดับโลกไปแล้ว เมื่อก่อนมีโรคห่า หรือโรคร้ายต่าง ๆ คนตายอย่างกับใบไม้ร่วง เรายังผ่านมันมาได้ น้ำใจของพวกเรานี่แหละครับ ที่จะเปลี่ยนแปลงวิกฤตในครั้งนี้ให้ดีขึ้นได้ พวกเรานี่แหละครับที่จะเป็นแสงสว่างในสถานการณ์ที่มืดมิดเช่นนี้ ร่วมด้วยช่วยกันครับ
ขอโทษครับที่ผมหายไปหลายวันเลย คิดถึงท่านผู้อ่านมาก ๆ เลย ขอบคุณท่านผู้อ่านทุกท่านครับ by ชนดิเรก

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา