14 มี.ค. 2020 เวลา 12:30 • ธุรกิจ
กรณีศึกษา รถยนต์ MG ที่เติบโต แต่ยังเต็มไปด้วยความท้าทาย - MarketThink
1
ปี 2560 MG มียอดขาย 12,013 คัน
ปี 2561 MG มียอดขาย 23,740 คัน
ปี 2562 MG มียอดขาย 26,516 คัน
ในเวลา 2 ปี ยอดขายรถยนต์ MG เติบโตถึง 121%
และหากเราย้อนกลับไป 5 ปีที่แล้วในวันที่รถ MG เปิดตัว MG 6 รถยนต์คันแรกในไทย
โดยบอกในโฆษณาว่าเป็น ยนตรกรรมสายพันธ์ุอังกฤษ
ซึ่งเป็นการนำจุดกำเนิดมาใช้เป็นจุดขาย เพราะหากย้อนอดีตไป 99 ปีที่แล้ว
บริษัทที่เป็นผู้ผลิตรถยนต์ MG คันแรกคือบริษัท เอ็มจี คาร์ คอมแพนี จำกัด ซึ่งอยู่ในประเทศอังกฤษ
แต่ด้วยประสบปัญหาขาดทุนต่อเนื่องก็เปลี่ยนมือเจ้าของมาโดยตลอด
จนมาถึงในปี 2550 บริษัทจีน Nanjing Automobile Group ต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็น SAIC Motor
ได้เข้าซื้อกิจการพร้อมกับผลิตรถ MG ขายในจีนและในต่างประเทศ
เพราะฉะนั้น ณ วันนี้แบรนด์ MG ได้เปลี่ยนสัญชาติจากอังกฤษ
เป็นรถยนต์แบรนด์จีนอย่างเต็มตัว
1
ส่วนจุดกำเนิดในประเทศไทยก็คือบริษัท SAIC Motor ประกาศจับมือกับ CP
ร่วมทุนกันก่อตั้งบริษัท เอสเอไอซี มอเตอร์-ซีพี จำกัด เพื่อผลิตและขายรถยนต์ MG ในไทยและอาเซียน
โดยลงทุนถึง 9,000 ล้านบาทเพื่อสร้างโรงงานผลิตที่จังหวัด ชลบุรี
1
โดยเปิดตัวรถยนต์คันแรกรุ่น MG 6 เครื่องยนต์ 1.8 ลิตร ที่มีราคาขาย 988,000 บาท
ซึ่ง ณ เวลานั้นเป็นราคาขายที่ใกล้เคียงกับแบรนด์ญี่ปุ่นในสเป็กรถที่ไล่เลี่ยกัน
ที่สำคัญการเป็นแบรนด์ใหม่ในตลาด คนยังไม่เชื่อมั่น ทำให้ยอดขายไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่ควร
ซึ่งทั้งหมด MG ก็รู้ดีว่าเป็น “จุดอ่อน” ที่ทำให้ตัวเองล้มเหลวกับรถคันแรกในตลาด
การเพิ่มระยะเวลาประกันจาก 4 ปีเป็น 5 ปี
และใน 5 ปีเพิ่มศูนย์บริการและตัวแทนจำหน่าย 140 แห่งทั่วประเทศ
เป็นกลวิธีที่ MG ใช้สร้างความเชื่อมั่นให้คนกล้าตัดสินใจซื้อรถตัวเอง
ขณะเดียวกัน MG ก็เลือกที่จะผลิตรถยนต์ที่ดีไซน์สปอร์ตโฉบเฉี่ยวเท่ๆ ที่มีราคาเข้าถึงมากขึ้น
ปี 2558 เปิดตัวรุ่น MG 3 ราคาเริ่มต้น 519,000 บาท
ปี 2560 เปิดตัวรุ่น MG ZS ราคาเริ่มต้น 679,000 บาท
ปี 2562 เปิดตัว MG HS ราคาเริ่มต้น 919,000 บาท
และเมื่อค่อยๆ ลบจุดอ่อนของตัวเอง MG ก็มียอดขายเติบโตต่อเนื่อง
มาถึงตรงนี้ ดูเหมือนเส้นทางบนถนนอุตสาหกรรมรถยนต์เมืองไทยของ MG กำลังไปได้สวย
แต่รู้หรือไม่ว่า ก็ยังมีลูกค้าอีกจำนวนไม่น้อยที่คลางแคลงใจในมาตรฐานของ MG
เนื่องจากที่ผ่านมา มีผู้ใช้รถ MG จำนวนหนึ่งเกิดปัญหากับการใช้รถพร้อมโพสต์ลงในโลกออนไลน์
ซึ่งอย่าลืมว่าหากนิ่งเฉยและไม่แก้ไขสถานการณ์ให้หมดไปในเร็ววัน MG อาจต้องเจอปัญหาความศรัทธาของผู้บริโภค
เหมือนอย่าง เชฟโรเลต ที่ต้องเลิกผลิตรถที่นั่งเหลือแต่รถกระบะและรถ SUV
และสุดท้ายก็ต้องพบจุดจบเลิกผลิตและขายรถยนต์ในเมืองไทยไปในที่สุด
หรือแม้แต่ Ford ก็เคยเจอปัญหานี้จนลูกค้ารวมตัวกันฟ้องร้อง
สุดท้ายต้องเลิกขายรถรุ่น Fiesta และ Focus ไปในที่สุด
1
ซึ่งเราก็คงต้องตามดูกันต่อไปว่า MG จะแก้ไขปัญหาที่ค้างคาเหล่านี้ได้ดีแค่ไหน
หากทำสำเร็จยอดขาย MG ก็น่าจะยังเติบโตต่อเนื่องทุกๆ ปี
แต่หากล้มเหลว.. ก็น่าเป็นห่วงอนาคต
โฆษณา