30 มี.ค. 2020 เวลา 10:30
"จากเจ้าชายนักแข่งรถ สู่ นักล่าสมบัติแห่งอโยธยา"
**โปรดใช้วิจารณญาณ**
พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าพีรพงศ์ภาณุเดช หรือพระองค์ชายพีระ เป็นนักแข่งรถชาวไทยที่มีชื่อเสียงและเป็นที่รู้จักทั้งในและต่างประเทศ ในฐานะเชื้อพระวงศ์ไทยคนแรกที่เข้าแข่งขันรถ ทรงชนะเลิศการแข่งขันครั้งแรกในรายการ Coupe de Prince Rainier ที่เซอร์กิตเดอโมนาโก (ปัจจุบันคือ โมนาโกกรังด์ปรีซ์)
พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าพีรพงศ์ภาณุเดช ชนะเลิศการแข่งขัน
ทรงชนะเลิศการแข่งรถกรังด์ปรีซ์ในยุโรปอีกหลายครั้ง ระหว่างปี ค.ศ. 1936, 1937 และ 1938 จนได้รางวัล ดาราทอง (BRDC Road Racing Gold Star) จากสมเด็จพระเจ้าจอร์จที่ 5 แห่งสหราชอาณาจักร 3 ปีซ้อน ทรงได้รับการบรรจุพระนามในหอเกียรติยศของสมาคมนักแข่งรถอังกฤษ
พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าพีรพงศ์ภาณุเดช ทรงขับรถแข่ง
และในปี พ.ศ. 2482 กรุงเทพมหานครเกือบจะได้มีการจัดการแข่งขันกรุงเทพกรังด์ปรีซ์ (Bangkok Grand Prix) โดยเชิญนักแข่งชั้นนำมาแข่งขันบนเส้นทางรอบสนามหลวงและพระบรมมหาราชวัง ระยะทาง 2 ไมล์ ในวันที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2482 แต่การแข่งขันนี้ต้องยกเลิกไป เพราะเกิดสงครามโลกครั้งที่สองขึ้นเสียก่อน น่าเสียดายครับ
'พระองค์ชายพีระ' ประสูติ เมื่อวันที่ 15 กรกฎาคม พ.ศ. 2457 เมื่อแรกประสูติมีพระอิสริยยศที่ หม่อมเจ้าพีรพงศ์ภาณุเดช ทรงสำเร็จการศึกษาจากโรงเรียนเทพศิรินทร์ และเสด็จไปทรงศึกษาต่อที่วิทยาลัยอีตัน มหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ ประเทศอังกฤษ ก่อนเปลี่ยนไปทรงศึกษาด้านประติมากรรม ที่ Byam Shaw School of Art
1
พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าพีรพงศ์ภาณุเดช
ปลายปี พ.ศ. 2497 พระองค์ทรงเห็นว่าพ้นยุคที่จะทรงแข่งรถแล้ว ประกอบกับหม่อมชลิตาได้ให้กำเนิดพระโอรสคนแรก พระองค์จึงตัดสินพระทัยอำลาชีวิตนักแข่ง แล้วทรงพาครอบครัวกลับมาประทับที่ประเทศไทย
หลังจากที่ท่านกลับมาประทับที่ประเทศไทยได้ไม่นาน พระองค์ชายพีระ ทรงได้ลายแทงขุมทรัพย์ที่ฝังสมบัติล้ำค่าในเขตจังหวัดพระนครศรีอยุธยาจากพระภิกษุรูปหนึ่ง ลายแทงสมบัติอันบ่งบอกจุดที่ซ่อนของขุมทรัพย์มากมายที่อยู่ภายในอาณาบริเวณอาณาจักรกรุงศรีอยุธยา
สมุดข่อยโบราณ
ลายแทงดังกล่าวเป็นสมุดข่อยโบราณทั้งยังบอกว่าพระนครศรีอยุธยามีสมบัติโบราณถูกฝังเอาไว้ถึง 303 แห่ง โดยเฉพาะที่ “วัดกุฎีดาว” มีขุมทรัพย์ฝังอยู่ถึง 16 แห่ง ด้านในสมุดข่อยโบราณเป็นผ้าเยื้อไม้ระบุลายแทงขุมทรัพย์ ซึ่งปรากฎคำสาปแช่งเขียนกำกับเอาไว้ด้วย
ภาพเก่าวัดกุฎีดาว
พระองค์พีระทรงนำลายแทงมาศึกษาหาข้อมูลอย่างละเอียด โดยมีทีมปรึกษาเป็นผู้ที่มีความรู้เฉพาะด้านและเชี่ยวชาญในอักขระไทยโบราณ จนสามารถถอดความและทราบอย่างแน่ชัดว่าบริเวณหน้าโบสถ์ร้างวัดกุฏีดาว ลึกลงไปใต้ดินเป็นที่ฝังขุมทรพย์มหาสมบัติอันล้ำค่าของพระเจ้าอู่ทอง เพื่อเป็นอนุสรณ์สถานแห่งพระมหาสีผู้เป็นดั่งดวงหฤทัยของพระองค์
วัดกุฎีดาวไม่ได้ปรากฏหลักฐานทางประวัติการสร้างที่ชัดเจน แต่ถูกกล่าวถึงในพระราชพงศาวดารกรุงศรีอยุธยาว่าได้รับการบูรณะครั้งใหญ่เมื่อปี 2254 ในสมัยของสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวท้ายสระ โดยสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ ซึ่งขณะนั้นดำรงตำแหน่งพระมหาอุปราชเป็นผู้สร้าง
ภาพเก่าวัดกุฎีดาว
สันนิษฐานทางโบราณคดีว่าวัดนี้สร้างราวๆสมัยอยุธยาตอนต้นและถูกทิ้งร้างเมื่อเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่ 2
พระองค์ชายพีระทรงตัดสินพระทัยทำการขุดค้นหาขุมทรัพย์อันล้ำค่าแห่งนี้ โดยขออนุญาติทางกรมศิลปากรเพื่อขุดหาสมบัติโบราณ ซึ่งมีข้อตกลงเป็นสาระสำคัญว่า ถ้าขุดพบมหาสมบัติโบราณได้จริงๆจะมอบให้แก่รัฐ 90 % ส่วนอีก 10 % เป็นของพระองค์
เมื่อกรมศิลปากรตกลงตามข้อเสนอนั้น พระองค์ทรงดำเนินงานต่อทันที โดยสั่งเครื่องมือค้นหาแหล่งแร่ใต้ดินที่ทันสมัยที่สุดในขณะนั้นคือเครื่องไมน์ ดีเทคเตอร์(Mine Detecter)
Mine Detector
หลังจากเตรียมงานพร้อมแล้วพระองค์เจ้าพีระฯและคณะขุดหาสมบัติซึ่งประกอบด้วย หม่อมสาลี่ พระชายา มร.แฮริสัน และพระสหายลูกครึ่งอีกคนหนึ่งพร้อมด้วยคนงานขุดดินอีก 15 คนก็ออกเดินทางไปวัดกุฎีดาวจังหวัดพระนครศรีอยุธยาในกลางเดือนธันวาคม พ.ศ 2503 เพื่อเริ่มต้นขุดหาสมบัติ
การทำงานของเครื่องมือ Mine Detector
วันแรกที่ดำเนินการขุดค้นหาสมบัติใต้ดิน ทีมงานของพระองค์ได้ใช้เครื่องมือค้นหาบริเวณโบสถ์ก็พบว่า เครื่องมือระบุอย่างแน่ชัดว่าที่หน้าโบสถ์มีแร่บางอย่างถูกฝังอยู่เป็นจำนวนมาก การขุดจึงเริ่มต้นทันที คนงาน 15 คน พร้อมด้วยอุปกรณ์การขุด ทำการเปิดหน้าดิน และเจาะลึกลงไปเรื่อยๆ พอขุดลงไปได้ 6-7 ฟุต กลับพบแต่เพียงกระเบื้องโบราณที่ทับถมซ้อนกันอยู่เป็นจำนวนมาก จนในวันแรกผ่านไปไม่มีการพบเจอสมบัติอะไรทั้งสิ้น
คืนนั้นพระองค์ชายพีระและพระชายาก็เสด็จกลับกรุงเทพฯ ด้วยรถยนต์ส่วนพระองค์
พระองค์ชายพีระตรัสเล่าว่า
"พอกลับมาคืนวันนั้นตอนดึกประมาณเที่ยงคืนปรากฎมีเสียงคล้ายคนขุดดินดังอยู่ที่ใต้พื้นดินตอนแรกคิดว่าเป็นเสียงหนูวิ่งไล่กันแต่พอฟังไปกลายเป็นเสียงคนขุดดิน จึงนึกว่าคงเป็นขโมย มาขโมยดิน เพราะพึ่งขุดสระน้ำเอาไว้ใหม่ๆ จึงถือปืนเดินออกมาดูแต่ไม่เห็นมีอะไร จึงกลับเข้ามานอนใหม่ ก็ได้ยินเสียงขุดดินอีก"
ท่านได้นำเรื่องราวที่เกิดขึ้นในคืนนั้นไปเล่าให้พระญาติตลอดจนชาวบ้านที่มารับจ้างช่วยขุดหาขุมทรัพย์ฟัง ซึ่งทุกคนที่รับรู้เรื่องนี้ต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า ต้องเป็นผีปู่โสมเฝ้าทรัพย์มาแสดงตัวปรากฎให้เห็นเตือนให้ยับยั้งการขุดหาขุมทรัพย์ ซึ่งไม่ใช่ของตนเอง
ภาพจากละครเรื่อง:ปู่โสมเฝ้าทรัพย์
โดยมีผู้รู้แนะนำท่านให้ทรงทำพิธีบวงสรวงเซ่นไหว้ต่อภูตผีปีศาจหรือวิญญาณที่เฝ้าสมบัตินั้นเพื่อขอขมาที่ล่วงเกิน แต่พระองค์ท่านไม่เชื่อว่าภูตผีปีศาจหรือวิญญาณมีจริง จึงมิได้สนพระทัย
การขุดหาสมบัติได้ดำเนินต่อไป พระองค์ได้ใช้เครื่องมือเดิมที่เครื่องส่งสัญญาณระบุไว้และทีมงานทำการขุดหลุมเดิมที่ค้างไว้ พบเพียงแต่หม้อดินโบราณข้างบรรจุกระดูกคน และวันต่อมาก็ลงมือขุดตามเครื่องที่ส่งสัญญาณระบุพิกัดเช่นเดิมพบเพียงแต่พระพุทธรูปองค์เล็กเพียงสององค์
และเหตุการณ์อันน่าแปลกประหลาดก็ได้เกิดขึ้นในเย็นวันหนึ่ง พระองค์และทีมงานได้ทำการขุดต่อไปเรื่อยๆ จนถึงช่วงเย็น พระองค์ทอดพระเนตเห็นชายคนหนึ่งเดินออกมาจากทางหลังโบสถ์ไป มีรูปร่างกำยำโบราณ ลักษณะไม่มีหัว เดินมุ่งหน้าสู่พุ่มไม้ที่ห่างไปกว่าร้อยเมตร
ด้วยความที่พระองค์ทรงอยากรู้ว่าเป็นอะไรจึงวิ่งตามผีไปจนถึงพุ่มไม้ที่ผีหาย ซึ่งอยู่ห่างจากโบสถ์ประมาณร้อยเมตร ก็ได้พบว่าพุ่มไม้ที่เห็นไกลๆว่าเป็นไม้เล็กๆนั้น แท้จริงเป็นไม้ขนาดใหญ่ทีเดียว แต่ขึ้นอยู่ในแอ่งข้างล่างจึงมองเห็นเป็นพุ่ม
พระองค์ชายพีระทรงนำเรื่องที่เห็นผีไปเล่าให้ชาวบ้านฟัง ชาวบ้านก็ทูลว่าเป็นวิญาณของปู่โสมเฝ้าทรัพย์ การมาปรากฎให้เห็นเช่นนี้แสดงว่าผู้ที่เห็นปู่โสมเข้าใกล้ขุมสมบัติแล้ว ซึ่งหมายความว่าพระองค์กำลังขุดเข้าใกล้ขุมสมบัติเข้าไปทุกที
พระสหายชาวต่างประเทศที่ชื่อแฮริสันจึงเปิดเผยออกมา เขาเองก็พบชายหัวขาดเดินออกมาจากทางหลังโบสถ์ แล้วไปหายที่พุ่มไม้เช่นเดียวกัน
จากเรื่องราวอาถรรพ์ที่เกิดขึ้นพระองค์กลับทรงเห็นว่าทรัพย์สินที่เจ้าของเสียชีวิตไปแล้วนั้นย่อมไม่มีใครเป็นเจ้าของ ฉะนั้นผู้ใดค้นพบผู้นั้นย่อมมีสิทธิ์ครอบครอง จึงทรงสั่งให้ทีมงานขุดค้นหาต่อไป วันต่อมาพระองค์ชายพีระได้ใช้เครื่องไมน์ ดีเทคเตอร์ ลงไปตรวจที่ก้นหลุมอีก ปรากฏสัญญาณแรงมาก คล้ายว่าใกล้จะพบสมบัติในไม่ช้า คนงานรีบช่วยเร่งมือขุด จนได้พบกับเหตุการณไม่คาดฝัน
มีเสียงดังครืด ครืด ที่กุ้นหลุม คล้ายกับมีบางสิ่งกำลังเลื่อนอยู่ใต้ดินบนจุดที่เครื่องระบุพิกัดไว้ จนคนงานตกใจหนีเลิกหยุดขุดพักนึง ก่อนที่พระองค์ชายพีระ ได้ทำการตรวจสอบโดยเครื่องมือวัดอีกครั้งปรากฏว่า สัญญาณได้เบาบางลงแทบหายไป โดยชี้ไปทางทิศอื่นแทน
คล้ายกับว่าขุมสมบัติมหาศาลได้เคลื่อนย้ายหนีไปตำแหน่งอื่น แต่อย่างไรแล้วพระองค์ก็มิได้ย่อท้อ สั่งการให้ทีมขุดย้ายไปตำแหน่งใหม่ แต่ก็ต้องพบเจอกับเหตุการ์ประหลาดแบบนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า พอขุดลึกลงไปเจอเสียง ครืด ครืด และสัญญาณจากเครื่องมือก็หายไปเป็นแบบนี้อยู่หลายวันจนพระองค์สั่งให้หยุดทำการขุด
พระองค์ชายพีระเริ่มหันมาสนพระทัยในเรื่องไสยศาสตร์อันเร้นลับ นำเรื่องอาถรรพณ์ต่างๆในการขุดหาสมบัติที่อยุธยา ไปเล่าให้พระรูปหนึ่งฟังจนได้รับคำแนะนำให้ทำพิธีบวงสรวงขออนุญาติขุด เมื่อถึงฤกษ์งามยามดี
ทำพิธีอยู่สักพักแต่เข้าฤดูฝนเสียก่อน การพิธีจึงจำเป็นต้องหยุดชะงักไป
แม้ผ่านฤดูฝนแล้วก็ยังมิได้ดำเนินงานต่อแต่อย่างใด
เรื่องอาถรรพณ์ต่างๆในการขุดหาสมบัติที่อยุธยาได้นำไปเล่าให้พระอาจารย์อีกรูปหนึ่งฟังพระอาจารย์รูปนี้เก่งมาก ท่านหลับตานั่งทางในแล้วไปคุยกับคนไม่มีศีรษะ ที่เป็นผู้เฝ้าทรัพย์สมบัติ อดีตทหารของพระเจ้าอู่ทอง
พระอาจารย์บอกว่าพระองค์ไปรบกวนเขา เขาจะให้ทรัพย์นั้นได้หรือไม่ต้องแล้วแต่บุญแต่กรรมของพระองค์และเขาได้สาปผู้ไปขุดเอาทรัพย์นั้นแล้ว
จากเรื่องราวดังกล่าว พระองค์เคยเสด็จไปประทานสัมภาษณ์ที่สมาคมค้นคว้าทางจิตแห่งประเทศไทย ณ ตึกเกษมปัญญาคาร วัดมกุฎกษัตริยาราม โดยมี พ.ต.อ. ชะลอ อุทกภาชน์ ผู้กำกับการสันติบาลกอง 5 นายแพทย์เชียร สิริยานนท์ และนายแพทย์ประพันธ์ พืชผล เป็นผู้สัมภาษณ์ เมื่อวันที่ 11 มีนาคม พ.ศ 2504
พระองค์ชายพีระ ทรงยอมรับต่อที่ประชุม ณ สมาคมค้นคว้าทางจิตแห่งประเทศไทยว่า แต่เดิมพระองค์ไม่เคยทรงเชื่อเรื่องภูตผีปีศาจเลยแต่ปัจจุบันได้ทรงยอมเชื่อแล้ว ทั้งนี้ เพราะได้ทรงประสบเรื่องวิญญาณลี้ลับมาแล้วด้วยพระองค์เอง
พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าพีรพงศ์ภาณุเดช สิ้นพระชนม์อย่างกะทันหัน เมื่อวันที่ 23 ธันวาคม พ.ศ. 2528 สิริพระชันษา 71 ปี ข่าวสิ้นพระชนม์ถือเป็นข่าวใหญ่ เผยแพร่ข่าวไปทั่วโลก ลงข่าวหน้าหนึ่งของหนังสือพิมพ์ไทยทุกฉบับ รวมทั้งต่างประเทศที่พระองค์ทรงทำชื่อเสียงไว้ สถานทูตจัดพิธีสวดพระอภิธรรมถวายอย่างสมพระเกียรติ
1
นี่คือเรื่องราวของเจ้าชายนักแข่งผู้มีความคิดแบบชาติตะวันตก ผันตัวมาเป็นนักล่าสมบัติของชาติ และเหตุการณ์ที่ทำให้พระองค์หันมาศึกษาพุทธศาสตร์อย่างจริงจังหลังจากนั้น
**โปรดใช้วิจารณญาณ**
❤️กดไลค์ กดแชร์ กดติดตามเป็นกำลังใจ🙏
🙏ขอบพระคุณครับ🙏
โฆษณา