30 เม.ย. 2020 เวลา 02:36
เรื่อง “ทางออก” ตอนที่ 1/2
เรื่อง ก็มีอยู่ว่าที่ออฟฟิศ ของหลวงพี่ ตรงประตูทางเข้า ดังภาพที่เอามาให้ดู
ด้านบนเป็นฝ้าเพดานแบบมีช่องสี่เหลี่ยม ที่ถูกออกแบบมาเพื่อความสวยงาม
ประตู เป็นแบบกระจกบานเลื่อน
วันหนึ่ง ประตูกระจกบานเลื่อนเปิดทิ้งไว้ ก็มีนกตัวหนึ่งพลัดหลงบินเข้ามา แล้วมันก็หาทางออกไม่ได้ มันพยายามบินไปบินมาเพื่อหาทางออก
มีอยู่ครั้งหนึ่ง มันบินต่ำ แล้วบินไปตรงทางออก แต่ไปชนกระจก “ปัง” จากนั้น มันก็บินขึ้นไปเกาะบนขอบฝ้าเพดาน มันก็บินไปบินมาอยู่บริเวณด้านบนฝ้าเพดานนั้น ไม่ยอมบินต่ำอีกเลย
หลวงพี่เห็นเหตุการณ์ ก็เดินไปเปิดบานประตูเลื่อนให้กว้างขึ้น แล้วชี้นิ้วชี้มือไปที่ทางออก พยายามสื่อสารกับมันว่า ทางออกอยู่ตรงนี้ แต่มันไม่เข้าใจสิ่งที่หลวงพี่กำลังพยายามสื่อสาร ยังคงบินไปบินมาอยู่บนใต้ฝ้า ไม่ยอมบินออกไปทางที่หลวงพี่บอก
หลวงพี่ก็อดคิดไม่ได้ว่า ทำไมมัน โง่ อย่างนี้นะ
ทันใดนั้น หลวงพี่ ก็ฉุกใจคิดขึ้นมาว่า เราเคยเป็นอย่างนกตัวนี้หรือเปล่า ที่รู้สึกว่าปัญหามาอยู่รอบตัวจนหาทางออกไม่ได้ ทั้งๆ ที่ทางออกก็มีอยู่ ผู้ที่พยายามบอกทางให้ก็มีอยู่ แต่เราไม่เข้าใจในสิ่งที่ผู้หวังดีกำลังสื่อสารกับเรา
ผู้ที่รับฟังหลวงพี่อยู่ในขณะนี้ เคยเป็นแบบนี้บ้างหรือเปล่าเอ่ย
หลวงพี่ก็มาวิเคราะห์ว่า ทำไมมันหาทางออกไม่พบ
สาเหตุหนึ่งน่าจะมาจาก มีอยู่ครั้งหนึ่งมันบินต่ำ แล้วบินไปชนกระจก มันก็เลยมีตรรกะว่า ผนังข้างล่างด้านที่มันเห็นนั้น เป็นทางตันทั้งหมด ทั้งๆ ที่ทางออกก็มี แต่อยู่ด้านเดียวกัน
แล้วหลวงพี่ก็คิดต่อไปว่า แล้วถ้าหลวงพี่เป็นนก หลวงพี่จะหาทางออกยังไง
คิดอยู่หลายวันเหมือนกันนะ แล้วหลวงพี่ก็คิดว่า หลวงพี่จะทำ 2 อย่าง คือ เปลี่ยนมุมมอง และ เปลี่ยนพฤติกรรม
1 เปลี่ยนมุมมองอย่างไร หลวงพี่ จะเปลี่ยนจากที่เกาะอยู่ที่ฝ้าด้านบน มายืนข้างล่าง เพราะถ้ายืนอยู่บนฝ้าด้านบน มันก็จะเห็นมุมมองเดิมๆ คือไม่มีทางออก ลองมายืนข้างล่างมั่ง แล้วจะตั้งสติค่อยๆ สังเกตรอบๆ ตัว เพราะทางออก กับ ทางตัน นั้น มันคล้ายกันมาก ต้องอาศัยความช่างสังเกต ถึงจะแยกแยะได้
2 เปลี่ยนพฤติกรรมอย่างไร หลวงพี่ จะเปลี่ยนจากบิน ซึ่งเป็นความคุ้นเคยเดิม มาเดินมั่ง เพราะเวลาเราบิน ต้องอาศัยความเร็ว ดังนั้นเมื่อเจอสิ่งกีดขวาง ก็จะเบรคไม่ทัน เมื่อหลวงพี่มาอยู่ข้างล่าง และเมื่อเห็นความแตกต่างระหว่างทางออกกับทางตันแล้ว แทนที่จะบิน ก็จะค่อยๆ เดินแทน เพื่อความไม่ประมาท แม้จะช้าหน่อย แต่ข้อดีคือ หากเจอสิ่งกีดขวางก็จะเบรคทัน ไม่เจ็บตัว
ข้อคิดนี้ ทำให้หลวงพี่ นำมาใช้ในการแก้ปัญหาต่างๆ คือเมื่อเจอปัญหา หากหาทางออกไม่ได้ ก็จะทำ 2 เรื่องคือ
1 เปลี่ยนมุมมอง สมมุติว่า เราเป็น Upline เราก็ลองเปลี่ยนมุมมองเป็น Downline มั่ง หรือ หากเราเป็น Downline เราก็ลองเปลี่ยนมุมมองเป็น Upline มั่ง เป็นต้น
2 เปลี่ยนพฤติกรรม เช่น เคยสั่งงาน ก็เปลี่ยนเป็นถามความเห็น หรือถามความเห็นแล้ว งานไม่เดินสักที ก็เปลี่ยนเป็นสั่งไปเลย อย่างนี้เป็นต้น
ที่บอกมาข้างต้น เป็นมุมมองภายนอก กับ พฤติกรรมภายนอก ยังมีมุมมองภายใน กับ พฤติกรรมภายใน นั่นก็คือ ใจของเราเอง
1 มุมมองภายนอก เราลืมตามอง แต่มุมมองภายใน เราหลับตา แล้วใช้ใจมอง ด้วยการเอาใจกลับมาไว้ในกลางตัว ใช้ใจมองใจ เพราะเรื่องราวที่เกิดขึ้น เช่น โรคระบาดนี้ ไม่ได้เกิดขึ้นกับเราเป็นครั้งแรก ในภพชาติก่อนๆ เราผ่านเหตุการณ์แบบนี้มาหลายครั้งแล้ว แต่เราจำไม่ได้ เพราะมีอะไรบางอย่างมันปกปิดไว้ แต่ข้อมูลนั้นก็ไม่ได้หายไปไหน ก็ยังคงบันทึกอยู่ในใจของเรานั่นแหละ หากเราอยากรู้ ว่าเมื่อครั้งที่เราพบกับเหตุการณ์แบบนี้ ตอนนั้นเราแก้ไขสถานการณ์นั้นอย่างไร เราก็ต้องเอาใจกลับมาไว้ในกลางตัว ใช้ใจมองใจอย่างสบายๆ ความรู้ภายในที่ถูกเก็บไว้ ก็จะค่อยๆ ออกมา
2 พฤติกรรมภายใน คือ เปลี่ยนพฤติกรรมของใจ ที่ชอบอยู่ภายนอกตัว ก็น้อมกลับเข้ามาไว้กลางตัว เริ่มจากเปลี่ยนพฤติกรรมภายในใจ จะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงภายนอก

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา