การเรียนรู้ไม่มีที่สิ้นสุดจนกว่าจะตาย.....
พี่พิศาลเป็นทนายความที่อายุมากแล้ว ผมไม่รู้อายุที่แท้จริงของแก แต่ถ้าจะเดาก็น่าจะประมาณ เกือบ 70 ปี แต่ไม่ใช่หมายความว่าแกเป็นทนายความมานาน หรือเริ่มต้นอาชีพทนายความเหมือนผมเลย แกเพิ่งมาเป็นทนายความ เมื่อ 5-6 ปีที่ผ่านมานี่เอง
เมื่อก่อนเท่าที่ผมรู้ แกรับราชการมาก่อน อยู่กระทรวงเกษตร ฯ ไปมาหลายจังหวัดมีตำแหน่ง เป็นเกษตรอำเภอ ระหว่างทำงานก็ไปลงเรียนกฏหมายกับมหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช แกขวนขวายอ่านหนังสือจนเรียนจบได้รับปริญญาตรีนิติศาสตร์มาอีกใบนึง
พี่พิศาลลาออกจากราชการก่อนเกษียณ แกเห็นว่าว่าง ๆ น่าจะไปลองเป็นทนายความดูน่าจะดี แกก็มุมานะอ่านหนังสือ ฝึกเขียนคำฟ้อง,คำให้การ,คำร้อง คำแถลงต่างๆ จนสอบได้ใบอนุญาต ให้เป็นทนายความ สมใจ
ทนายความส่วนใหญ่มาศาลตอนเช้า ก็จะไปที่ห้องพักทนายความที่ศาลแต่ละจังหวัด จัดไว้ให้อยู่ที่ว่า ทนายความจังหวัดนั้นจะบริหารจัดการกันอย่างไร ที่ห้องพักทนายความก็จะมีอุปกรณ์ต่าง ๆ พิมพ์ดีด คอมพิวเตอร์ กาแฟ โอวัลติน ไว้บริการ ผมเจอพี่พิศาลครั้งแรก ก็ที่ห้องพักทนายความนี่แหละครับ
ผมเห็นครั้งแรกก็รู้ว่าพี่พิศาลเป็นทนายใหม่ เพราะครุยแกใหม่เอี่ยม กระเป๋า
เอกสารใบเบ่อเร่อ แต่สิ่งที่ผมชอบแกก็คือ แกใฝ่เรียนรู้ครับ ไม่มีอีโก้เหมือนกับทนายความคนอื่นที่มาเป็นทนายความเช่นเดียวกับแก ก็คือ เป็นข้าราชการมาก่อน แล้วมาเป็นทนายตอนอายุมากคิดว่าตัวเองได้ใบอนุญาตมารู้หมดแล้ว ไม่ต้องถามใครแล้ว เก่งแล้ว มีเยอะครับแบบนี้
" น้อง ๆ วันนี้พี่ขึ้นศาลครั้งแรก ตรวจเอกสารให้พี่หน่อย ว่าถูกต้องไหม แล้วพี่ต้องทำอะไรต่อ " นี่เลยครับคำถามแรกสำหรับคนที่ไม่รู้จักกันมาก่อน
ผมแนะนำพี่พิศาล จนแกเข้าใจ แล้วแกก็ขอเบอร์โทรศัพท์ผมไว้ " ถ้าพี่มีอะไรพี่ขอโทรหาน้องนะ " แกบอกผมไว้อย่างนั้น หลังจากนั้นแกไปว่าความ ผมไม่ได้รอถามแกตอนแกเสร็จคดีหรอกครับ เพราะผมก็ต้องไปว่าความเหมือนกัน
หลังจากวันนั้น ผมรับโทรศัพท์ของพี่พิศาล อาทิตย์นึงก็ 3 - 4 วันยกเว้นวันหยุดราชการ วันดีคืนดีก็ให้ลูกชายเอาผลไม้ที่แกปลูกไว้ที่บ้านมาฝากให้ผมบ่อย ๆ
พี่พิศาลถามทุกเรื่องที่แกไม่รู้หรือไม่เคยทำ ไม่เคยสักครั้งที่แกบอกว่า พี่รู้หมดแล้ว อันไหนที่ผมรู้ผมจะบอกแก แต่ถ้าไม่รู้หรือจำไม่ได้ก็จะบอกแกว่าเดี๋ยวผมโทรไปบอก (เพราะต้องไปค้นคว้าก่อนเหมือนกัน )
ที่สำคัญแกไม่ได้ถามอย่างเดียว แต่พี่พิศาลแกก็ค้นคว้า อ่านหนังสือ รับคำพิพากษาฎีกาใหม่ ๆ จนแกเห็นว่ายังไม่พอ ก็เลยไปสมัครเรียนที่เนติบัณฑิต
ผมเคยถามแกว่า " พี่จะลงเรียนไปทำไมอายุมากแล้ว เหนื่อยนะ อ่านหนังสือหนักมาก "
แกตอบผมว่า " พี่ไม่ต้องการเป็นเนติบัณฑิตหรอก แต่อยากมีความรู้เพิ่มขึ้น
ไม่หยุดอยู่กับที่ ถึงอายุมากการไม่หยุดเรียนรู้ไม่เห็นมีหมอคนไหนห้าม "
เครดิตภาพ pixabay
เออ... จริงของแกครับ ตั้งแต่พี่พิศาลเรียนเนติบัณฑิต แกไม่ค่อยได้โทรหาผมเหมือนเมื่อก่อน เวลาเจอกันที่ศาล พี่แกมีความรู้มากขึ้น ใช้กฎหมายเป็นมากขึ้นผิดจากที่ผมเจอกันครั้งแรก
ครับ โลกนี้มีสิ่งที่เราไม่รู้ไม่เคยทำอีกมาก การเรียนรู้อย่างไม่หยุดหย่อน เป็นการต่อยอดความคิดความอ่านให้กว้างไกลขึ้น
ผมไม่ได้เจอพี่พิศาลอีกหลายเดือน จนวันหนึ่งเสียงโทรศัพท์ของผมดังขึ้น ชื่อของพี่พิศาลที่ผมเมมเบอร์โทรแกไว้ ขึ้นโชว์บนโทรศัพท์ ผมคิดในใจว่าพี่พิศาลคงมีเรื่องปรึกษาเหมือนเคย
1
" หวัดดีครับพี่ หายไปเลยนะ " ผมทักทายแกตามปกติ
" ไม่ใช่ พ่อพิศาลครับ ผมเป็นลูกชายครับ " ผมเริ่มงงลูกแกจะโทรมาทำไม
" ว่าไง พ่อไปไหนละ " ผมถามหาพี่พิศาล แต่คำตอบก็คือ
" พ่อเสียแล้วครับ ด้วยโรคมะเร็ง เมื่อคืนนี้ " ผมต้วชานิ่งอยู่พักนึง แล้วก็ถามไถ่ถึงเรื่องงานพิธีต่าง ๆ
ครับ คนเราอย่าหยุดที่จะเรียนรู้ แต่สำหรับพี่พิศาลการเรียนรู้ของพี่แก หยุดลงแล้วละครับ
ชอบกดไลค์,ใช่กดแชร์ ,ผมไม่มีรังแค กดติดตามได้ครับ
โฆษณา