4 พ.ค. 2020 เวลา 10:18 • ความคิดเห็น

บันทึกเรื่องเล่าของปู่จอห์น

(A Memoir of Aussie Grandpa John)
ย้อนกลับไปปลายเดือนเมษายน ปี 2557 เป็นเวลาครบสัญญาเช่า 1 เดือนที่ได้อยู่บ้านโฮมสเตย์หลังหนึ่งของหญิงชราวัย 70 ปี อดีตครูสอนภาษาที่มีพื้นเพจากประเทศอังกฤษและแบ่งสัดส่วนบ้านของตัวเองให้เป็นโฮมสเตย์ต้อนรับชาวต่างชาติจากทุกมุมโลกที่เดินทางมาเรียน มาทำงาน หรือมาหาโอกาสในเมืองโกลด์โคสต์ ควีนส์แลนด์ ประเทศออสเตรเลีย
และแน่นอนว่าการขึ้นบัญชีธุรกิจโฮมสเตย์ที่เชื่อถือได้กับเครือข่ายสถาบันสอนภาษาในเมืองติดชายทะเลนี้ มันได้ทำให้ราคาค่าเช่าพร้อมค่าอาหารสองมื้อ (มื้อเช้าและมื้อเย็น) ความสะดวกสบาย และความปลอดภัยตลอดหนึ่งเดือนที่ผ่านมา มีค่าใช้จ่ายที่ค่อนข้างสูงไม่ต่างจากการอยู่ใจกลางเมืองมากนัก
แม้ว่าระยะแรกจะไม่ทันรู้ทันและยังคงใช้เวลาดูลาดเลาว่าจะขยับขยายตัวเองในเมืองที่ยังไม่คุ้นเคยดีนี้ยังไง จะหาวิธีประหยัดเงินในกระเป๋าที่มีสำหรับชีวิตอีก 3 เดือนข้างหน้าเพื่อเอาไปซื้อโอกาสอย่างอื่นที่มากขึ้นได้ยังไง แต่ก็เข้าใจดีว่าทุกอย่างมันต้องใช้เวลา
พอเริ่มมีเพื่อนชาวต่างชาติจากญี่ปุ่น เยอรมนี และสวิตเซอร์แลนด์ที่อยู่ห้องถัดไปและเพื่อนใหม่จากโรงเรียน ทั้งเพื่อนชาวเอเชียและอเมริกาใต้ ก็ได้รับคำแนะนำว่าให้ลองตั้งต้นจากเว็บไซต์ https://www.gumtree.com.au/ เว็บไซต์ของคนท้องถิ่นที่มีของครอบจักรวาล สากเบือยันเรือรบจริง ๆ แล้วก็เดินหน้าหาห้องเช่าราคาถูกถูกจริตกับเม็ดเงินของเจ้าตัวตามคำแนะนำของเพื่อน ประเมินด้วยสายตาแล้วว่าไม่น่าจะอันตรายมากสำหรับผู้หญิงที่มาตัวคนเดียว และที่สำคัญต้องใกล้กับโรงเรียนสอนภาษาอังกฤษที่สมัครเรียนเอาไว้ด้วย
บ่ายวันหนึ่งหลังเลิกเรียนจึงโทรหาเจ้าของบ้านหลังหนึ่งที่แบ่งพื้นที่ห้องหลังบ้านให้เช่า ติดต่อ walk-in เข้าไปพูดคุยเงื่อนไข ระหว่างนั้นก็ดูเวลา วิธีการเดินทางและสภาพความเป็นอยู่รอบ ๆ ไปด้วย เสร็จสรรพของการเดินเท้าประมาณ 15 นาทีจากโรงเรียนไปถึงที่หมายเพื่อฟังดีลที่ดีที่สุด ว่าไม่มีเงื่อนไข ไม่มีสัญญาผูกมัด ไม่มีจ่ายค่าเช่าล่วงหน้า มีแต่จ่าย $180 ต่อสัปดาห์ (3,000 – 4,000 กว่าบาท รวมค่าน้ำ ค่าไฟ และห้องครัว) ถูกสุด ๆ เพียงแต่เจ้าของขออย่างเดียวคือ โปรดรักษาความสะอาดห้องครัว ห้องน้ำ และห้องโถง
สุดท้ายก็เลยตัดสินใจตกลงให้ล็อกห้องนี้เอาไว้ ขึ้นต้นเดือนพฤษภาจะขนของย้ายเข้ามาแน่นอน โดยที่ไม่รู้เลยว่าการอยู่ห้องเช่าตลอด 3 เดือนที่นี่ จะเป็นจุดเริ่มต้นของบทสนทนาหลายเรื่องราวที่เปิดโลกของหญิงวัยรุ่นชาวไทยอายุ 20 ปี จากบทเรียนชีวิตของคู่สนทนาที่อายุห่างกันถึง 60 ปี ผู้ผ่านร้อนผ่านหนาวมาหลายเหตุการณ์
นี่คือเจ้าของห้องเช่าที่ได้กลายมาเป็นเพื่อนผู้สูงอายุต่างสัญชาติคนแรกในชีวิตที่เรียกว่าเพื่อนได้ และเป็นคนแรกที่เราตั้งใจเขียนบันทึกความทรงจำถึง โดยหวังว่าเขาจะรับรู้ถึงความซึ้งใจและคำขอบคุณนี้ แม้ว่าจะไม่มีโอกาสได้พูดคุยกันแล้ว
รำลึกถึงจอห์น (ที่จากไป)
จอห์น หรือที่เราเรียกว่าปู่จอห์น เป็นชายชราพื้นเพจากอังกฤษอายุประมาณ 80 ปี (ปี 2563 ก็น่าจะประมาณ 86 - 90 ปี) จอห์นเป็นคนที่ไม่ยอมให้อายุเป็นอุปสรรคในการใช้ชีวิต ความคิดและคำพูดของแกยังคงหนุ่มแน่นเหมือนสภาพร่างกายได้หยุดไว้ที่อายุ 18
จอห์นยังคงติดตามความเป็นไปของโลกและการใช้เทคโนโลยี เขามักสั่งของออนไลน์ผ่านเว็บไซต์อะเมซอน ชอบเปลี่ยนโทรศัพท์ไอโฟนมือสองอยู่บ่อยครั้ง แม้ว่าจะใช้ฟังก์ชั่นของมันคุ้มค่าหรือไม่ก็ตาม
จอห์นจะใช้อีเมล์เป็นวิธีติดต่อกับเราหลังจากที่เดินทางกลับไทย แต่บางครั้งเขาก็ส่งอีเมล์ถึงบ้าง ไม่ถึงบ้าง หรือส่งมาผิดบ้าง จอห์นจะนั่งเช็กอีเมล์ทุกวัน ยินดีที่จะอ่านความเป็นไปของชีวิตเรา ให้คำแนะนำแบบคนผ่านโลกมามาก และเขียนถ้อยคำให้กำลังใจอย่าง You shouldn’t be anyone second best. หรือคำพูดขำ ๆ เรื่องความรักอย่าง You know when a lover ends, it’s over.
จอห์นจะเขียนอีเมล์ตอบข้อความ อัพเดทชีวิตตัวเองกับเจ้าหมาที่เลี้ยงกลับมายาว ๆ ด้วยตัวหนังสือห่าง ๆ (คิดเอาเองว่าพิมพ์บนแป้นคีย์บอร์ดมันคงต้องใช้เวลาสักหน่อย บางทีก็คงจะกดพลาด) รวมถึงนัดแนะที่จะเจอกันที่กรุงเทพฯ เสมอเมื่อมีโอกาส
จอห์นไม่ใช่คนร่ำรวย แต่ก็มีวิธีการบริหารจัดการเงินให้ดูแลตัวเองได้โดยไม่ต้องพึ่งพิงลูกหลานมากนักตามแบบฉบับของวิถีชีวิตคนตะวันตก เงินของใครเงินของมัน ชีวิตของใครชีวิตของมัน
วิธีการหาเงินของจอห์นก็อย่างเช่น หย่ากับภรรยาในทางกฎหมายเท่านั้น เพื่อให้ได้เงินดูแลจากรัฐบาลที่มากขึ้น แต่ในความเป็นจริงก็ยังอยู่บ้านใกล้เรือนเคียงคอยช่วยเหลือกัน โดยเฉพาะในยามที่ภรรยาเป็นอัลไซเมอร์และด้วยความที่อายุสภาพร่างกายของจอห์นเองทำให้ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องอยู่บ้านหลังใหญ่ ขอเพียงห้องเล็ก ๆ ที่จะเอามือจับผนังห้องพยุงตัวเองไว้ไม่ให้ล้มก็พอแล้ว จึงเป็นที่มาของการแบ่งห้องภายในบ้านเอาไว้ให้เช่าเพื่อหารายได้เสริม
จอห์นมักจะแพลนทริปออกเดินทางบนเรือยอร์ชล่องไปในท้องทะเลเป็นเวลาหลายเดือน หรือพยายามบิน 8 ชั่วโมงมาไทยให้ได้ทุก ๆ 3 เดือน เพราะไทยเป็นสวรรค์บนดินที่ใกล้ที่สุด (ขณะที่คนออซซี่คนอื่น อาจจะชอบใช้เวลา 8 ชั่วโมงนี้บินไปบาหลี อินโดนีเซีย เพราะใกล้กับออสเตรเลียมากกว่า)
จอห์นจะมีไม้เท้าสองข้างพยุงร่างกายที่มีผิวบอบช้ำและปิดแผลถลอกด้วยเสื้อเชิ้ตยาว ๆ ไม่ให้ตัวเองเสียความมั่นใจเกินไป มีแว่นสายตาพร้อมสายคล้องคอ เวลาคุย ต้องคุยกันใกล้ ๆ ให้ถูกหูข้างที่ได้ยินถนัดมากที่สุด เวลาเดินทางไปไหนมาไหนจอห์นจะจ้างคนขับรถพร้อมรถเข็นไว้ดูแล ใช้เงินซื้อความสุขจากการท่องเที่ยวเปิดหูเปิดตาเมื่อยังมีโอกาส จอห์นบอกว่าลูกหลานก็ปล่อยให้หาเลี้ยงตัวเองไป เงินของเขาที่หาเองมาได้ตลอดทั้งชีวิต ถ้าไม่ให้ใช้ตอนนี้ อายุขนาดนี้ แล้วจะให้ไปใช้ตอนไหน
แต่หลายครั้งที่เพราะไม่มีความต้องการซื้อสิ่งของใด ๆ ไม่ได้ต้องการเสื้อเชิ้ตตัวใหม่ ไม่ได้ต้องการกินอาหารไทย (คงจะเข็ดกับตอนที่เราทำแกงมัสมั่นแล้วกลิ่นเครื่องเทศมันกระแทกเข้าจมูกอย่างจังจนทนไม่ไหวรึเปล่านะ) ร่างกายไม่สามารถรับรสกลิ่นแอลกอฮอล์ลได้แล้ว ด้วยข้อจำกัดเรื่องโรคประจำตัวต่าง ๆ ที่พอเจอกันทีไรก็จะมีโรคมาให้อัพเดทเสมอ เงินที่หอบมาเที่ยวด้วยก็เลยไม่ค่อยได้ใช้ไปกับอย่างอื่นอยู่ดี คงเป็นที่ถูกใจยิ่งนักสำหรับผู้ที่หาเลี้ยงชีพจากอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวที่มีป๋าสายเปย์พร้อมจ่ายไม่อั้นแบบจอห์น
ดังนั้น สำหรับคนที่เพิ่งทำความรู้จักจอห์น ก็ไม่พ้นที่จะมีภาพจำที่อาจจะผิวเผินว่าเขาเป็นชายชราขี้เล่นที่มาเที่ยวไทย ปรนเปรอตัวเองในตรอกซอกซอยของกรุงเทพฯ และเมืองพัทยาเพื่อหาความสุขไม่ต่างจากคนอื่นทั้งคนหนุ่มและคนอายุเท่าเขา แต่สิ่งที่จอห์นทำ เราเชื่อว่าลึก ๆ จอห์นก็มีเหตุผลของจอห์น
วัยเด็กในอังกฤษช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2
วัยหนุ่มที่ย้ายถิ่นฐานมาดินแดนออสเตรเลีย
จอห์นเป็นคนอังกฤษโดยกำเนิด เมื่อวัย 5 ขวบ พ่อของจอห์นซึ่งเป็นทหารต้องเข้ารบในสงครามโลกครั้งที่ 2 เมืองที่เขาอาศัยอยู่ถูกโจมตี ทำให้แม่ต้องพาจอห์นออกจากเมืองนั้นไปหาที่พักพิงที่ปลอดภัยกว่า จอห์นเล่าว่านั่นเป็นเหตุผลที่อย่าคาดหวังว่าจะเรียนภาษาอังกฤษจากเขา เพราะเขาเองตั้งแต่เด็ก ไม่ได้เรียนหนังสือดี ๆ เป็นชิ้นเป็นอัน มันเป็นการเรียนเมื่อเรียนได้เท่าไรก็เท่านั้น และรักษาชีวิตให้รอดมากกว่า
เขาเองไม่มีสำเนียงแบบชาวบริติช และอาจจะสะกดคำบางคำแพ้คนเอเชียซึ่งเรียนภาษาอังกฤษเป็นภาษาที่สอง แต่จอห์นก็พยายามช่วยเหลือด้วยการหาหนังสือมาให้อ่าน เช่นหนังสือเล่มเล็กเกี่ยวกับช่วงเวลาที่ผู้คนทุกที่แห่แหนกันมาขุดทองใน
ออสเตรเลีย หรือที่เรียกว่ายุค Gold Rushes หรือบางทีก็ปริ้นท์บทความสอนภาษาอังกฤษมาให้เรียนด้วยตัวเอง
ภายหลังจากสงครามสิ้นสุดลง (หลายปีจาก 5 ขวบ จอห์นไม่ได้เล่าถึง) จอห์นคิดว่าควรจะไปแสวงหาโอกาสที่อื่นเพื่อเริ่มต้นชีวิตใหม่ จอห์นในวัยหนุ่มราว 18 – 20+ เคยตัดสินใจจะไปอยู่แคนาดา แต่คิดไปคิดมาก็ตั้งคำถามว่าทำไมถึงต้องย้ายจากประเทศหนาวไปประเทศหนาวเหมือนกัน ถ้าจะไปทั้งทีต้องเลือกที่ภูมิอากาศแตกต่างไปเลยอย่างสิ้นเชิง
ในช่วงเวลาเดียวกันนั้น ออสเตรเลีย (ช่วงปี 1946-1980) ต้องการให้มีประชากรในประเทศเพิ่มขึ้น โดยมีนโยบายเปิดรับคนเข้าประเทศ หรือจะเรียกว่า “นำเข้า” ก็ได้
โดยเฉพาะประชากรจากยุโรป และที่มีพื้นเพจากอังกฤษที่แทบจะมีเงินขวัญถุง เงินต้อนรับชักชวนให้มาอยู่ออสเตรเลียเลยทีเดียว (เพราะงั้นเราอาจจะพบว่ามีคนในออสเตรเลียจำนวนมากที่มีพื้นเพมาจากอังกฤษ เพราะได้รับสิทธิประโยชน์จากนโยบายนี้ด้วย ไม่ใช่แค่ว่าตั้งต้นจากการเป็นดินแดนที่นักโทษอังกฤษเป็นผู้ตั้งรกราก)
ซึ่งต่างกันกับ “ชาวผิวเหลือง” (จอห์นเล่าโดยใช้คำว่า “Yellow skin” ซึ่งเป็นคำที่คนผิวขาวจะใช้เรียกคนเอเชีย) ที่ออสเตรเลียจะปิดประตูหนีไล่ส่ง นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมจอห์นถึงเลือกย้ายถิ่นฐานมายังออสเตรเลียโดยไม่ลังเล (เข้าใจว่ามาพร้อมกับแฟนสาว ซึ่งก็คือภรรยาคนปัจจุบันของเขา)
(หมายเหตุ : ในช่วงเวลา 1946 – 1980 เดียวกันนี้ เป็นช่วงเดียวกับนโยบายผสมกลมกลืน หรือ Assimilation Policy คนผิวขาวกับคนพื้นเมือง Aboriginal Australians)
ในช่วงวัยหนุ่มนี้เองที่จอห์นได้กระทำการช้อปปิ้งเลือกเมืองที่จะอยู่ในออสเตรเลีย ย้ายไปเมืองนั้นบ้างเมืองนี้บ้าง ค้นหาความพึงใจว่าอยากจะตั้งรกรากอยู่ที่ไหน เพราะสมัยนั้นก็คงจะมีพื้นที่เหลือเฟือให้เลือกสรร
ในขณะเดียวกันจอห์นก็เปลี่ยนอาชีพไปเรื่อย ๆ ตามสภาพความจำเป็นและความสนใจ เขาทั้งเคยเปิดร้านเย็บผ้ากับภรรยา เคยเป็นหัวหน้าช่างไม้และก่อสร้าง และเคยเป็นนักแข่งรถตัวยง ตอนที่จอห์นเล่า เขาก็โชว์ภาพสมัยยังหนุ่มพร้อมรถแข่งสีแดงให้ดูด้วยความภูมิใจ
เรื่องรถเป็นเรื่องหนึ่งที่จอห์นยังคงสนใจจนถึงขณะที่เขาเล่า เพราะเขาได้ปรับปรุงเครื่องในรถยนต์ของเขาให้บังคับด้วยมือทั้งหมด สาเหตุเพราะว่าถ้าโรค 1 ใน 10 ของเขากำเริบ หรือเพราะว่าลืมทานยาในกระปุกที่เตรียมไว้พร้อมกำหนดเวลากินแล้วมันทำให้เท้าของเขาไม่รู้สึกถึงสัมผัสของคันเร่งและคันเบรก เขาจะมั่นใจได้ว่าเขายังมีชีวิตอยู่ต่อไป แต่ไม่นานเมื่อสภาพร่างกายค่อนข้างกระส่ำกระส่าย เขาก็จำใจต้องถอดใจเรื่องรถที่เขารักไป
ครอบครัวที่จอห์นสร้าง และความรู้สึกผิดในบางเรื่อง
จอห์นเริ่มเปิดเผยความในใจเรื่องครอบครัวของเขา ไปพร้อมกับบางช่วงบางตอนที่จอห์นเล่าว่าเขาพยายามตามร่องรอยประวัติต้นตระกูลนามสกุลของตัวเอง เขาใช้เวลาว่างค้นคว้าจนพบว่า ต้นนามสกุลเป็นขุนนางหรือคนมียศศักดิ์ตระกูลหนึ่งในอังกฤษย้อนกลับไป 100-200 ปีก่อน ไม่ว่าจอห์นจะใช้วิธีใดศึกษาจนพบข้อเท็จจริงนี้ จอห์นก็ได้สร้างภาพแผนภูมิครอบครัวของเขาไว้บนผนังในห้องคอมพิวเตอร์ พร้อมอธิบายให้ฟังขณะที่เรากำลังกินมื้อเย็นเมนูบ้าน ๆ ของอังกฤษ อย่างเจ้าถั่วกระป๋องและมะเขือเทศ
แน่นอนว่าจอห์นประสบความสำเร็จอย่างหนึ่งคือ ทำให้เราสงสัยถึงศักยภาพของตัวเองที่จะตามร่องรอยประวัติต้นนามสกุลตัวเองบ้าง แม้ว่าจะมีความยากเรื่องของการตั้งต้นว่าจะไปหาฐานข้อมูลจากไหน ซึ่งเป็นเรื่องที่สาวได้ถึงวัฒนธรรมการจดบันทึกและเก็บข้อมูลของประเทศที่ต่างกันเลยทีเดียว แต่นั่นก็เป็นสิ่งที่เราคิดในใจเฉย ๆ พลางฟังจอห์นเล่าต่อไป
ไม่ใช่เพียงมื้อนั้นมื้อเดียว แต่หลายครั้งที่จอห์นชงจินและโทนิคให้ดื่ม หรือนั่งคุยกันตอนเย็นเป็นปกติหลังเลิกเรียน เวลาที่เขารู้สึกเปราะบาง เขาก็อดระบายเรื่องลูกชายและลูกคนอื่น ๆ ออกมาไม่ได้
จอห์นมีลูกชายคนหนึ่งที่เขาห่วงที่สุด ลูกชายคนนี้ติดยาอย่างหนักตั้งแต่ยังหนุ่ม มีอาการหลอนเป็นครั้งคราว และมีอาการข้างเคียงจากความพยายามเลิกยา (และในที่สุดไม่กี่ปีก่อนหน้านี้ ลูกชายคนนี้ก็เสียชีวิต) นั่นเป็นสิ่งหนึ่งที่ติดใจจอห์นและพร่ำถามตัวเองว่า หรือเพราะเขาเลี้ยงลูกไม่ดี แต่อีกใจหนึ่ง จอห์นเลือกที่จะปล่อยให้แต่ละคนมีวิถีชีวิตของตัวเอง
ลูกคนอื่น ๆ ของเขาต่างมีครอบครัวและมีหลานให้กับจอห์น ซึ่งมาเยี่ยมจอห์นเป็น
ครั้งคราว บางคนอยู่ต่างเมือง บางคนเลือกจะย้ายกลับไปตั้งถิ่นฐานอยู่อังกฤษ และสำหรับครอบครัวของลูกครอบครัวหลังนี้ มักจะเชิญชวนพร้อมจ่ายค่าตั๋วเครื่องบินให้จอห์นกลับไปฉลองวันคริสต์มาสด้วยกันที่อังกฤษ แต่หลายครั้งเขาได้ปฏิเสธและเลือกที่จะอยู่ที่โกลด์โคสต์หรือไปเที่ยวที่อื่นมากกว่า
การหาความสุขของจอห์น
พอถึงช่วงชีวิตหนึ่ง จอห์นก็พบว่า เขาตื่นนอนตอนตี 4 ทุกวัน เพราะนาฬิการ่างกายมันปลุกตัวเองอัตโนมัติ เขาใช้เวลาตั้งแต่เช้านั่งดูทีวี ข่าวและสารคดีรอบโลกจนจรดเย็น นั่นทำให้เขามีเรื่องให้คุยทั้งจากประสบการณ์ การใช้ชีวิตตัวเอง การฟังจากคนอื่น และการไปกูเกิ้ลหาสิ่งที่เขายังสงสัย
จอห์นมักจะชวนคุยเรื่องการเมืองโลก ประวัติศาสตร์ และชอบที่จะตอบคำถาม เขาจดจำปี พ.ศ. ได้แม่นย้อนกลับไปได้หลาย ๆ ปี จำได้แม่นยำกว่าสถานการณ์ปัจจุบันมาก เราชอบฟังที่จอห์นเล่า แม้ว่าบางครั้งจะจำได้บ้างไม่ได้บ้าง เพราะถ้าให้จอห์นได้มีโอกาสพูดแล้ว จอห์นจะพูดไม่หยุด
เรามักจะชอบถามเรื่องของคนพื้นเมือง Aboriginal Australians จอห์นแลกเปลี่ยนในมุมมองของตนเองอย่างเป็นกลางว่ามีเรื่อง “Stolen Generations” นอกจากนั้น ผลพวงจากการล่อลวงพวกเขาออกจากพื้นที่ป่าด้วยการมอมเมาด้วยแอลกอฮอล์ก็ดี มันก็อาจจะทำให้คนกลุ่มนี้ที่มีการออกมาเรียกร้องสิทธิในการปกครองตนเอง ขณะที่ได้รับสิทธิบางประการ (ที่อาจจะดูมีเอกสิทธิ์มากกว่าในสายตาคนผิวขาว) ได้ถูกตราหน้าว่าเป็นขี้เหล้าขี้ยาไปด้วย
จอห์นบอกอีกว่า ทุกวันนี้เราไม่สามารถจะแยกแยะคนพื้นเมืองจากคนผิวขาวได้ ถ้าไม่ใช่คนที่เป็นรุ่นผสมไปแล้ว ชุมชนที่เป็นของคนพื้นเมืองโดยเฉพาะได้ถูกจำกัดพื้นที่อยู่ทางตอนเหนือ ถึงอย่างนั้น การถกถึงประเด็นนี้ ถ้าได้คุยกับหลายคนก็มีหลายความคิดเห็นอยู่มาก เราสองคนจึงหยุดพูดถึงประเด็นนี้ไป
ส่วนบทสนทนาอื่น ๆ ที่จอห์นมี จอห์นได้จากการออกไปแลกเปลี่ยนกับเพื่อนฝูงรุ่นราวคราวเดียวกันทุกวันจันทร์ (หรือสักวันหนึ่งในสัปดาห์ แล้วแต่นัดหมาย) เพื่อสนทนาภาษากาแฟก่อนกลับเข้ามาบ้านในช่วงบ่ายหรือเย็นของวัน แต่ก็พบว่าเมื่อ วัน เดือน และปีผ่านไป เพื่อนของเขาได้หายไปทีละคน เรื่องทางใจกลายเป็นสิ่งเดียวที่ชัดเจนว่าเขาต้องการ ซึ่งแม้แต่สวัสดิการจากรัฐ ไม่ว่าจะเป็นเงินดูแล คนเข้ามาทำความสะอาดบ้าน ช่วยเหลือเรื่องซื้อของในซูเปอร์มาร์เก็ตและพาไปโรงพยาบาล ก็ไม่สามารถเติมเต็มความต้องการของเขาได้
เขามักรู้สึกละอายเวลาไปไหนมาไหนหรือนั่งอยู่ในบาร์ ด้วยสภาพชายชราร่างใหญ่พร้อมไม้เท้าประคองตัว จอห์นรู้สึกว่าคนหนุ่มสาวที่นี่ไม่ต้อนรับเขาและคงจะมีแต่มองด้วยสายตาสงสัย
แต่ในทางกลับกันจอห์นรู้สึกว่าคนที่ไทยพร้อมต้อนรับและดูแลเขา โดยไม่เกี่ยงว่าเขาจะอายุเท่าไรหรือสภาพของเขาเป็นอย่างไร แม้จะรู้ดีว่ามันคือการใช้เงินซื้อความสุขจากพื้นที่ท่องราตรีเช่นนั้น แต่การที่เขามีเพื่อนใหม่เป็นผู้จัดการบาร์ เป็นแท็กซี่ขาประจำที่เขาจ้าง คนประจำรีเซ็ปชั่นโรงแรม ชายชราจากที่อื่น ๆ ที่นั่งคุยกันอยู่ที่ล็อบบี้ และคนอื่น ๆ ที่จดจำเขาได้เวลาเขามาพักที่เดิม ทำให้จอห์นพยายามข้ามทะเลมาเพื่อมาเติมเต็มความรู้สึกที่ยังคงได้รับการต้อนรับอยู่เสมอ
มันคงจะเป็นสิ่งเดียวที่จอห์นต้องการจริง ๆ ในเวลานี้ ไม่ใช่เรื่องเงินที่เป็นปัญหาและไม่ใช่เรื่องสถานที่ที่ห่างไกลจากบ้าน แต่เป็น “เวลา” ที่จะได้ใช้ไปกับ “ผู้คน” ที่ตัวเองต้องการ
วันนี้จอห์นไม่ได้มากรุงเทพฯ แล้ว ปี 2563 จอห์นไม่ได้เขียนอีเมล์ตอบกลับไปมากับเราอีกต่อไป ไม่มีช่องทางที่ให้ได้ร่ำลา มีแต่ความเข้าใจจากความทรงจำที่ได้พูดคุยกันมาเสมอ มีแต่ภาพจำสุดท้ายที่จอห์นร้องไห้เพราะไม่อยากกลับออสเตรเลีย หรือด้วยเพราะเหตุผลอื่นใดเราไม่อาจรู้ได้ สุดท้ายนี้เรามีแต่บันทึกให้รำลึกถึงชีวิตของจอห์น
4 พฤษภาคม 2563
โฆษณา