การเกิดมาได้อัตภาพเป็นมนุษย์ นับเป็นโอกาสที่หาได้ยาก และร่างกายของมนุษย์เป็นอุปกรณ์ที่เหมาะสมต่อการสร้างบารมีที่สุด เรายังโชคดีที่ได้เกิดมาในยุคที่พระพุทธศาสนาเจริญรุ่งเรือง มีโอกาสได้ฟังพระสัทธรรม ที่ผู้รู้ได้ถ่ายทอดกันมา จึงควรที่จะนำสิ่งที่เราได้โดยยากนั้นมาใช้ให้เกิดประโยชน์อย่างเต็มที่
การออกบวช เป็นหนทางที่จะนำเราไปสู่ความหลุดพ้น ทำให้เรามีโอกาสศึกษาพระธรรมคำสอนอันบริสุทธิ์ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นหนทางลัดที่จะนำพาเราไปสู่จุดหมายปลายทางของชีวิต การบวชอย่างมีเป้าหมาย เพื่อสลัดออกจากกองทุกข์และกระทำพระนิพพานให้แจ้ง เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้ยากในโลก เพราะผู้บวชจะต้องมีคุณสมบัติครบถ้วนบริบูรณ์ คือ ได้เกิดในบวรพระพุทธศาสนา ในดินแดนที่พระพุทธศาสนากำลังเจริญรุ่งเรือง ได้เกิดเป็นมนุษย์ มีร่างกายสมประกอบ ไม่พิกลพิการ ได้เกิดในครอบครัวที่เป็นสัมมาทิฐิ และตนเองต้องเป็นสัมมาทิฐิบุคคลด้วย
นอกจากการบวช จะเป็นการให้โอกาสแก่ตัวเราเอง ที่จะได้สั่งสมบุญอย่างเต็มที่แล้ว ยังเป็นการตอบแทนพระคุณบิดามารดาผู้ให้กำเนิดเราอีกด้วย มารดาบิดานับเป็นบุคคลที่มีพระคุณอันยิ่งใหญ่ต่อเรา ท่านได้ให้กำเนิดกายเนื้อ เป็นต้นแบบทั้งทางกายและทางใจ ทำให้เรามีโอกาสสร้างความดี จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่เราจะต้องหาโอกาสตอบแทนคุณของท่าน ใครทำได้เช่นนี้ ย่อมได้ชื่อว่า เป็นลูกยอดกตัญญู
ดังเช่นที่พระพุทธองค์ตรัสไว้ว่า "บุคคลจะพึงแบกมารดาไว้บนบ่าซ้าย แบกบิดาไว้บนบ่าขวา คอยป้อนข้าวป้อนน้ำ ให้ท่านถ่ายอุจจาระและปัสสาวะบนบ่าทั้งสอง ปฏิบัติดูแลเอาใจใส่ท่านทั้งสองเป็นอย่างดี แม้มีชีวิตยืนยาวถึง ๑๐๐ ปีก็ตาม ยังไม่ได้ชื่อว่า ตอบแทนพระคุณมารดาบิดาอย่างแท้จริง"
ผู้ที่จะได้ชื่อว่า ตอบแทนพระคุณของมารดาบิดาอย่างแท้จริงนั้น คือ ผู้ที่ชักชวนมารดาบิดาที่ยังไม่มีศรัทธาในพระพุทธศาสนาให้มีศรัทธา ถ้าท่านยังไม่ถึงพร้อมด้วยการให้ทาน ก็ชักชวนให้ยินดีในการบริจาคทาน ถ้าท่านยังไม่ได้รักษาศีล ก็พยายามให้รักษาศีล ถ้าท่านยังไม่ได้ปฏิบัติธรรมเจริญสมาธิ(Meditation)ภาวนา ก็พยายามชักชวนให้ได้ปฏิบัติธรรม เพื่อให้เข้าถึงพระรัตนตรัยในตัวให้ได้
การบวชเป็นโอกาสที่จะทำคุณประโยชน์ ทั้งต่อตนเองและมารดาบิดา ตลอดจนหมู่ญาติทั้งหลาย เพราะหากไม่ได้บิดามารดาเป็นต้นแบบของกายมนุษย์ หรือหากเราพลาดพลั้งไปเกิดในกำเนิดสัตว์เดียรัจฉานแล้ว เราก็คงหมดโอกาสที่จะทำความดี หมดโอกาสที่จะชำระกาย วาจา ใจ ให้สะอาดบริสุทธิ์ ด้วยการประพฤติพรหมจรรย์ บำเพ็ญเนกขัมมบารมี
เช่นในสมัยพุทธกาล *มีพญานาคตนหนึ่ง เกิดความอึดอัดอิดหนาระอาใจ รังเกียจกำเนิดสัตว์เดียรัจฉานของตน เหตุเพราะเคยอธิษฐานจิตไว้ไม่ดี คิดว่าเป็นพญานาคแล้วจะมีความสุข แต่เมื่อได้อัตภาพนั้นกลับพบว่า ไม่ได้มีความสุขที่แท้จริง จึงอยากจะพ้นจากอัตภาพของนาค ได้คิดอุบายว่า "เราจะต้องหากุศโลบายที่ทำให้ได้อัตภาพกลับเป็นมนุษย์อีก" นาคเห็นว่า "พระสัมมาสัมพุทธเจ้าของเรา เคยเป็นกษัตริย์ครองกรุงกบิลพัสดุ์ พรั่งพร้อมไปด้วยเบญจกามคุณทุกอย่าง แต่ทรงสละราชบัลลังก์ออกบวช โดยไม่มีความเยื่อใยอาลัยอาวรณ์ ประหนึ่งบุคคลบ้วนน้ำลายทิ้งแล้ว"
พญานาคคิดต่อไปว่า "ถ้าเราจะบวชในสำนักของพระผู้มีพระภาคเจ้า เราก็จะได้อัตภาพกลับเป็นมนุษย์อีกครั้ง" จึงแปลงร่างเป็นชายหนุ่ม เข้าไปหาพระภิกษุเพื่อขอบรรพชา ภิกษุเหล่านั้นไม่รู้ว่าชายหนุ่มผู้นี้เป็นพญานาคแปลงกายมา เห็นว่ามีความเลื่อมใสในพระรัตนตรัย จึงอุปสมบทให้ พระภิกษุผู้เป็นพญานาคได้อยู่ในวิหารเดียวกันกับเพื่อนสหธรรมิกอีกรูปหนึ่ง