และอีกเรื่องราวที่ทับซ้อนอยู่ในช่วงเวลาเดียวกันหลังจากมูรินโญ่พาปอร์โต้คว้าแชมป์ยุโรปนั่นก็คือการกลับมาอีกครั้งของปรัชญาสายเกมบุก Tiki Taka ที่เป็นร่างวิวัฒนาการขั้นสุดยอดของปรัชญา Total Football ซึ่งแต่เดิมได้ถูกพัฒนาไว้นานมากแล้วโดยโยฮัน ครัฟฟ์ ในช่วงปลายทศวรรษ 1980 แต่ครัฟฟ์ก็ไม่อาจพาปรัชญาที่ยังไม่สมบูรณ์ครองความยิ่งใหญ่ได้
ซึ่งทำให้พอเข้าสู่ช่วงทศวรรษ 2010 ด้วยอิทธิพลและความสำเร็จของเป๊ปทำให้โลกฟุตบอลในขณะนั้นเริ่มหันมาใช้ปรัชญานี้ที่มีสไตล์การเล่นที่นอกจากจะมีประสิทธิภาพแล้วยังมีความสวยงามที่ดึงดูดแฟนบอลได้มากกว่าสไตล์ Park the Bus ของมูรินโญ่เสียอีก
เป๊ป กวาร์ดิโอล่า ผู้สืบทอดแห่งปรัชญา Total Football
นอกจากนี้มันยังส่งผลกระทบโดยตรงไปสู่ปรัชญา Tiki Taka ที่ครองบัลลังก์อยู่ในขณะนั้นให้มิอาจหลีกเลี่ยงที่จะต้องเผชิญหน้ากับศัตรูตัวฉกาจอย่างปรัชญา Counter Pressing ที่พร้อมจะขึ้นมาท้าทายพวกเขาอย่างเต็มตัวแล้ว และนี่ยังไม่รวมถึงปรัชญา Park the Bus ที่เปรียบเสมือนขวากหนามที่พร้อมทิ่มแทงอยู่ตลอดเวลาเพื่อขัดขวางความสำเร็จของพวกเขาอีกด้วยเช่นกัน
และหลังจากนั้นไม่นานด้วยความแข็งแกร่งที่ทวีคูณขึ้นมาเรื่อยๆของศัตรูที่ไม่เคยอยู่ในสายตาอย่างปรัชญา Park the Bus ที่ตอนนี้กลับอันตรายมากขึ้นกว่าแต่ก่อนด้วยเหตุมาจากโรแบร์โต้ ดิ มัตเตโอ ได้ใช้ปรัชญานี้พาเชลซี สโมสรจากอังกฤษ คว้าแชมป์ยุโรปได้สำเร็จในฤดูกาล2011-12 และศัตรูตัวฉกาจอย่างปรัชญา Counter Pressing ที่นำโดยราชันแห่งเยอรมันอย่าง บาเยิร์น มิวนิค ที่สามารถคว้าแชมป์ยุโรปได้สำเร็จในฤดูกาล 2012–13 อีกทั้งยังสามารถทวงบัลลังก์แห่งเยอรมันคืนมาจากดอร์ทมุนด์ได้สำเร็จอีกด้วย และที่ยิ่งไปกว่านั้นทั้งเชลซีและบาเยิร์นสามารถคว้ำบาร์ซ่าที่เป็นเหมือนตัวแทนของปรัชญาTiki Taka จนตกรอบรองชนะเลิศไปทั้งสองฤดูกาลจึงทำให้ทั้งสองปรัชญาสามารถขึ้นมาทัดเทียมกับปรัชญาที่ครองความยิ่งใหญ่ในยุคนั้นอย่าง Tiki Taka ได้สำเร็จ
กรณีที่อยากลงมาตั้งรับลึกก็มิอาจทำได้ดีเหมือนปรัชญา Park the Bus เนื่องจากการต้องลงมาตั้งรับในแดนตัวเองของผู้เล่นตัวรุกบางคนที่อ่อนในการเล่นเกมรับจะคอยถ่วงทำให้เกมรับนั้นเสื่อมประสิทธิภาพลง
กรณีที่อยากครองบอลนานๆเพื่อควบคุมเกมอย่างใจเย็นด้วยการค่อยๆต่อบอลเข้าไปทำประตูก็มิอาจทำได้ดีเหมือนปรัชญา Tiki Taka เนื่องจากผู้เล่นตัวรับที่ขาดทักษะการครอบครองบอลและการจ่ายบอลที่ดีจึงทำให้เสี่ยงต่อการเสียบอลได้ง่าย
และสองปรัชญาที่เขาเลือกมาใช้ก็คือ Park the Bus ซึ่งเป็นปรัชญาที่ถูกวิวัฒนาการมาจาก Catenaccio ที่เขาคุ้นเคยดีอยู่แล้วตั้งแต่สมัยคุมทีมในประเทศอิตาลีบ้านเกิดของเขาเนื่องจากทีมในอิตาลีนั้นยังคงนิยมใช้ปรัชญานี้อยู่ไม่น้อยและ Counter Pressing หรือ Shadow play ที่แต่เดิมอันเชล็อตติได้เคยถูกปลูกฝังโดยอาร์ริโก้ ซาคคี่ ปรมาจารณ์ผู้คิดค้นปรัชญานี้เนื่องในฐานะที่เป็นทั้งลูกศิษย์และอดีตผู้เล่น
เรอัล มาดริดในยามใช้ปรัชญา Tiki Taka (ควบคุมเกมด้วยการครองบอลต่อบอลสั้นไปมา)
ซึ่งเปรียบได้ว่าซีดานได้นำก๊กทั้งสามปรัชญามารวมกันเป็นหนึ่งได้สำเร็จในทีมๆเดียว จึงทำให้ซีดานกลายเป็นกุนซือคนแรกที่ถูกยกย่องว่าเป็นปรมาจารย์แห่งทุกปรัชญา (Master of Every Tactics) ผู้ที่สามารถยุติสงครามสามก๊กแห่งโลกฟุตบอลให้จบลงอย่างสมบูรณ์
โชเซ่ มูรินโญ่ได้เสริมปรัชญา Counter Pressing เข้ากับปรัชญาหลักของเขาอย่าง Park the Bus ที่สเปอร์ในปัจจุบันซึ่งเขาเองก็ได้เคยใช้อยู่พักหนึ่งก่อนหน้านั้นแล้วกับเรอัล มาดริดเพียงสโมสรเดียวเท่านั้น ซึ่งทำให้เรอัล มาดริดในเวลานั้นที่นอกจากจะมีเกมรับที่ยอดเยี่ยมแล้วยังมีเกมรุกที่รวดเร็วและดุดันที่สุดในยุโรปเลยทีเดียว
เจอร์เก้น คล็อปป์ได้เสริมปรัชญา Park the Bus เข้ากับปรัชญาหลักของเขาอย่าง Counter Pressing ที่ลิเวอร์พูลเนื่องจากการใช้พละกำลังที่มากจนเกินไปของปรัชญานี้ส่งผลให้ช่วงท้ายเกมลิเวอร์พูลมักจะทำแต้มหล่นอยู่ตลอด ซึ่งมันได้เข้ามาช่วยให้ลิเวอร์พูลสามารถรักษาสกอร์ที่นำอยู่เอาไว้ได้จนสำเร็จอีกทั้งมันยังช่วยให้ลิเวอร์พูลสามารถกลับมาประสบความสำเร็จอีกครั้งด้วยการคว้าแชมป์ยุโรปในฤดูกาล 2018-19
และไม่พอยังส่งผลให้แนวรุกบางคนที่ต้องลงมาช่วยเกมรับในแดนตัวเองนั้นมีประโยชน์มากยิ่งขึ้นกว่าเดิมเสียอีกอีกทั้งแนวรุกที่ห้อยอยู่ข้างหน้าก็สามารถใช้ประโยชน์จากความเร็วในการสวนกลับอีกด้วยเหมือนกับแนวรุกของปรัชญา Park the Bus ซึ่งผู้เล่นแนวรุกตัวหลักของเรอัล มาดริดที่รับบทบาทนี้ก็คือ คริสเตียโน่ โรนัลโด้และแกเร็ธ เบล
ซึ่งส่วนใหญ่ในยามต้องตั้งรับลึก(Park the Bus)จะเป็นทางเบลซะมากกว่าที่จะต้องลงมาช่วยเล่นเกมรับเนื่องจากเบลเคยเป็นฟูคแบ๊คมาก่อนจึงทำให้ไม่ใช่เรื่องยากสำหรับเบลที่จะช่วยเล่นเกมรับได้อย่างมีประสิทธิภาพ ในขณะที่โรนัลโด้ส่วนใหญ่จะยืนปักหลักอยู่ข้างหน้าเพื่อรอสวนกลับเร็ว แต่ถ้าในกรณีต้องเพรซซิ่งสูงในแดนคู่ต่อสู้(Counter Pressing)ทั้งสองคนก็จะต้องวิ่งไล่บอลอย่างเต็มที่ไม่ต่างกัน
ไม่ว่าจะเป็นแผนการเล่นยอดนิยมอย่าง 4-3-3, 4-2-3-1, 3-4-3 และ3-5-2, บทบาทกองหน้าตัวหลอก (False 9) อย่างลิโอเนล เมสซี่ และโรแบร์โต้ ฟีร์มีโน่ที่ส่งผลกระทบต่อผู้เล่นที่เป็นกองหน้าแท้ๆอย่างมาก, ปรัชญายอดนิยมอย่าง Tiki Taka, Counter Pressing และ Park the Bus และรวมถึงการที่มีกุนซือบางคนนำนวัตกรรมในอดีตมาผสมผสานเข้ากับแทคติกเวอร์ชั่นใหม่อย่างการนำแผนการเล่นยอดนิยมแห่งยุคโบราณอย่าง 2-3-5 หรือ พีระมิด มาประยุกษ์ใช้ในปรัชญาแห่งยุคสมัยใหม่ของตนเพื่อเพิ่มจำนวนตัวรุกในการเจาะเกมรับสไตล์ Park the Bus หรือจะเป็นการนำสไตล์ Long Ball มาใช้เป็นส่วนหนึ่งในปรัชญาต่างๆในปัจจุบันเพื่อสร้างความได้เปรียบในเรื่องส่วนสูง ซึ่งทุกอย่างล้วนเกิดขึ้นและส่งผลกระทบต่อโลกลูกหนังไปก่อนแล้วทั้งนั้น
ดังนั้นจึงไม่ต้องสงสัยหรือแปลกใจเลยว่าการปฏิวัตินวัตกรรมแทคติกแห่งโลกลูกหนังได้สิ้นสุดลงอย่างสมบูรณ์ไปนานแล้วตั้งแต่ปรัชญา Shadow Play ซึ่งเป็นการปฏิวัตินวัตกรรมแทคติกครั้งที่8 และถึงแม้จะมีนวัตกรรมใหม่อย่างบทบาท Inverted Full Back ที่ถูกคิดค้นขึ้นในปัจจุบันโดยเป๊ป กวาร์ดิโอล่า แต่นวัตกรรมนี้ก็ยังไม่ได้ส่งผลกระทบมากนักอยู่ดีจึงไม่ได้ถูกจัดว่าเป็นการปฏิวัตินวัตกรรมใดๆทั้งสิ้นซึ่งมันไม่ได้ช่วยให้สามารถหลีกเลี่ยงกับคำว่าจุดจบได้เลย แต่อย่างไรก็ตามบางครั้งคำว่าจุดจบอาจไม่เป็นจริงเสมอไปก็ได้และไม่แน่สักวันหนึ่งเราอาจได้เห็นการปฏิวัตินวัตกรรมแทคติกแปลกๆที่จะเข้ามาเขย่าวงการลูกหนังอีกครั้งก็เป็นได้