ในช่วงก่อนทศวรรษ1990 นั้นได้ถือกำเนิดปรัชญาฟุตบอลต่างๆมากมาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งสองปรัชญาที่มีชื่อเสียงและประสบความสำเร็จอย่างมากในยุโรปอย่างปรัชญาฟุตบอลสายเกมรับ Catenaccio และปรัชญาฟุตบอลสายเกมรุก Total Football ซึ่งทั้งสองปรัชญานั้นมีสไตล์การเล่นที่ต่างกันสุดขั้ว ทำให้โลกฟุตบอลในตอนนั้นถูกแบ่งออกเป็นสองขั้วอำนาจต่อสู้แย่งชิงความยิ่งใหญ่กันในยุโรปจนในที่สุดเป็นปรัชญาฟุตบอลสายเกมรุก Total Football ที่มีสไตล์การเล่นที่สวยงามราวกับศิลปะ สามารถขึ้นเป็นที่สุดได้สำเร็จและครองยุโรปอย่างยาวนานตั้งแต่ช่วงทศวรรษ 1970 มาจนถึงช่วงต้นทศวรรษ 1980 แต่สุดท้ายก็ต้องล้มลงจากบัลลังก์เมื่อการมาถึงของศัตรูตัวฉกาจที่เปรียบดั่งภัยร้ายที่กำลังคืบคลานเข้ามาซึ่งนั่นก็คือปรัชญาใหม่สายดุดัน Shadow Play ของบุรุษที่มีชื่อว่า อาร์ริโก้ ซาคคี่
ในช่วงทศวรรษ 1970 เส้นทางอาชีพกุนซือของอาร์ริโก้ ซาคคี่ กุนซือชาวอิตาลีก็ได้เริ่มต้นขึ้น ซึ่งในช่วงแรกนั้นด้วยอิทธิพลของปรัชญา Catenaccio ของเอเลนิโอ เอร์เรราตั้งแต่ยุครุ่งเรืองในช่วงทศวรรษ1960 จึงทำให้ฟุตบอลในอิตาลีในตอนนั้นให้ความสำคัญกับเกมรับเป็นอันดับแรก ทุกทีมจะต้องเล่นเกมรับรูปแบบ Man Marking และมี Libero ห้อยอยู่หลังแผงกองหลัง บวกกับผู้เล่นเพลย์เมกเกอร์เบอร์10 ที่มีเทคนิคพรสวรรค์ชั้นเลิศและมีการสร้างสรรค์เกมที่ยอดเยี่ยมซึ่งเปรียบดั่งหัวใจสำคัญของทีมๆนั้น ซึ่งมันขัดใจของซาคคี่อย่างมากเนื่องจากซาคคี่นั้นเชื่อในปรัชญา Total Football ของไรนุส มิเชลส์ ซะมากกว่าซึ่งเป็นปรัชญาที่สามารถโค่นล้มปรัชญา Catenaccio ลงจากบัลลังก์ได้สำเร็จ ซึ่งสิ่งที่ซาคคี่นั้นหลงใหลในตัวปรัชญาของTotal Football ก็คือทีมเวิร์คในการเพรซซิ่งกดดันแย่งบอลกันเป็นทีมตั้งแต่ในแดนของคู่ต่อสู้และพอได้บอลกลับมาก็ช่วยกันต่อบอลสร้างสรรค์เกมเข้าไปทำประตูอย่างสวยงาม ซึ่งมันสวนทางกับปรัชญาบ้านเกิดของเขาที่พึ่งพาเพลย์เมกเกอร์ในการทำเกมเพียงคนเดียวส่วนที่เหลือก็เน้นในการเล่นเกมรับเป็นหลัก
อาร์ริโก้ ซาคคี่ ช่วงเริ่มต้นอาชีพการเป็นกุนซือ
ต่อมาเมื่อเข้าสู่ช่วงปลายทศวรรษ 1980 ซึ่งตรงกับช่วงที่ Total Football นั้นกำลังอ่อนแอลง และแล้วเหตุการณ์สำคัญที่จะเข้ามาเปลี่ยนหน้าประวัติศาสตร์อีกครั้งก็ได้เริ่มต้นขึ้น ในขณะนั้น อาร์ริโก้ ซาคคี่ คนเดิมซึ่งในเวลานั้นได้เป็นกุนซือของเอซี มิลาน ยอดทีมจากอิตาลี เขาได้คิดค้นปรัชญาใหม่จนสำเร็จ ซึ่งตัวปรัชญานั้นเกิดจากการนำหลายต่อหลายแทคติกมาผสมผสานหล่อหลอมจนออกมาเป็นปรัชญาใหม่สายดุดัน Shadow Play ในที่สุด
โดยส่วนผสมแรก ซาคคี่ได้นำการเล่นเกมรับแบบเพรซซิ่งสูงของTotal Football มาพัฒนาเพิ่มเติมรายละเอียดลงไปจนออกมาเป็นการเพรซซิ่งสูงที่สมบูรณ์และดียิ่งกว่าของต้นตำรับเสียอีกโดยการลดระยะห่างระหว่างกองหน้ากับกองหลังให้สั้นลงไม่เกิน 25 เมตรระหว่างการเพรซซิ่งและให้ผู้เล่นยืนกันให้ชิดกันเป็นทรงแคบเพื่อเกาะกลุ่มกันเพรซซิ่งไปตามโซนที่บอลอยู่อีกทั้งยังเพื่อปิดช่องส่งบอลของอีกฝ่ายให้จ่ายบอลได้ยากอีกด้วย
แต่อย่างไรก็ตามทีมส่วนใหญ่ก็ไม่ได้ใช้ปรัชญา Shadow Play ของซาคคี่ที่มีข้อจำกัดในเรื่องของพละกำลังมากจนเกินไปแต่กลับใช้วิธีอื่นโดยการผสมผสานระหว่างการนำผู้เล่นแนวรุกจอมเทคนิคพรสวรรค์สูงสักสามถึงสี่คนที่มีการสร้างสรรค์เกมที่ดีมารับผิดชอบในการทำเกมรุกร่วมกันและการใช้ผู้เล่นแนวรับที่เชี่ยวชาญในการเล่นเกมรับเฉพาะทางมารับผิดชอบในการเล่นเกมรับ ซึ่งถือเป็นการผสมผสานความคิดสร้างสรรค์ในการทำเกมรุกกับความเหนียวแน่นเป็นระบบในเกมรับอย่างลงตัว
สองบทบาทนี้จะช่วยให้แทคติกนี้ยากที่จะมีแทคติกหรือปรัชญาไหนล้มได้ แต่อย่างไรก็ตาม Balanced tactic ก็ไม่ได้ถูกจัดว่าเป็นปรัชญาใดๆทั้งสิ้นเนื่องจากการที่ไม่มีรูปแบบตายตัวที่ชัดเจนเมื่อเปรียบเทียบกับปรัชญาที่มีสไตล์ชัดเจนอย่าง Catenaccio, Total Football และ Shadow Play
และเรื่องสุดท้ายซึ่งถือเป็นปัจจัยสำคัญในระบบของคล็อปป์เลยนั่นก็คือการเน้นให้ฟูลแบ๊คสองข้างเติมขึ้นสูงกว่าปกติเพื่อโจมตีในพื้นที่Wing Space จนเหมือนเป็นกองหน้า 5 คนเพื่อเป็นการเพิ่มจำนวนในกรอบเขตโทษเพื่อใช้ในการเจาะทีมที่ชอบอุดด้วยแผน Park the Bus