25 เม.ย. 2020 เวลา 07:12 • กีฬา
Total Football ปรัชญาฟุตบอลสายศิลปิน
ภาคจบ เส้นทางไปสู่อนาคต
หลังจากที่ปรัชญาฟุตบอล Total Football สไตล์การเล่นที่สวยงามราวกับภาพวาดของศิลปินนั้นสามารถล้มล้างปรัชญาฟุตบอลมหาอุด Catenaccio จนสามารถขึ้นครองบัลลังก์จนกลายเป็นมหาอำนาจลูกหนังตั้งแต่ช่วงทศวรรษ 1970 มาจนถึงช่วงต้นทศวรรษ 1980 ซึ่งหลังจากนั้นในไม่ช้าปรัชญานี้กำลังจะต้องเผชิญกับศัตรูตัวฉกาจซึ่งก็คือปรัชญาใหม่สายดุดันอย่าง Shadow play ของอาร์ริโก้ ซาคคี่
ย้อนกลับไปในทางด้านของ ไรนุส มิเชลส์ หลังจากเข้ามาคุมบาร์ซ่าในฤดูกาล1971-72 เขาได้ค่อยๆเริ่มปลูกฝังปรัชญา Total Footballของเขาลงที่บาร์เซโลน่า สโมสรฟุตบอลจากสเปนและค่อยๆสร้างทีมขึ้นเรื่อยมาจนกระทั่งในฤดูกาล1973-74 การเซ็นสัญญาครั้งยิ่งใหญ่ก็ได้บังเกิดขึ้นซึ่งเป็นการคว้าตัวผู้เล่นคู่บุญของเขาอย่างโยฮัน ครัฟฟ์ มาร่วมทีม
การร่วมงานกันอีกครั้งของยอดกุนซือและยอดผู้เล่นที่สเปน
ซึ่งการมาของครัฟฟ์ถือเป็นจิ๊กซอร์ตัวสำคัญที่เข้ามาเป็นหัวใจของปรัชญาTotal Football เหมือนครั้งที่เคยทำงานร่วมกันที่อาแจกซ์จนสามารถคว้าแชมป์ลีกสเปนได้ในปีนั้นทันที แต่อย่างไรก็ตามบาร์ซ่าในตอนนั้นก็ทำได้เพียงคว้าแชมป์ลีกมาได้แค่เพียงฤดูกาลเดียวเท่านั้น
ต่อมาหลังจากนั้นมิเชลส์ได้ออกจากบาร์ซ่าไปกุมบังเหียนทีมชาติฮอลแลนด์เพื่อลุยศึกฟุตบอลโลก 1974 ซึ่งเขาก็ได้ทำให้โลกนี้ได้ประจักษ์รับรู้ถึงปรัชญาสไตล์ฟุตบอลของเขา แต่ถึงแม้จะจบได้เพียงรองแชมป์โดยพ่ายต่อทีมชาติเยอรมันตะวันตกไป 2-1ก็ตาม
ขุนพลอัศวินสีส้มของไรนุส มิเชลส์
ซึ่งหลังจากนั้นมาก็ถึงยุคที่ฟุตบอล Total Football แบบฉบับต้นตำรับ ไม่อาจควานหาความสำเร็จได้เหมือนกับอาแจกซ์ชุดยุคทอง นอกนั้นก็เป็นแบบฉบับผสมอย่างบาเยิร์นและลิเวอร์พูลเพียงเท่านั้นที่ประสบความสำเร็จ อีกทั้งการถือกำเนิดขึ้นของศัตรูตัวฉกาจที่เป็นฟุตบอลสายดุดันอย่าง Shadow play ของอาร์ริโก้ ซาคคี่ ก็ส่งผลทำให้บัลลังก์ของพวกเขาถึงกับต้องสั่นคลอนและหลังจากนั้นไม่นานบัลลังก์ของพวกเขาก็ได้ล้มลงในที่สุด
และแล้วก็ได้เข้าสู่ยุคที่ยุโรปนั้นไร้ซึ่งปรัชญาฟุตบอลใดๆที่สามารถครองบัลลังก์ได้ยาวนานเหมือนแต่ก่อน ซึ่งจากเหตุการณ์ทั้งหมดล้วนแสดงให้เห็นว่าปรัชญาTotal Football นั้นกำลังเดินอยู่บนเส้นทางที่ไร้ซึ่งอนาคตที่ไม่อาจมองเห็นปลายทางได้ แต่อย่างไรก็ตามก็ยังคงมีความหวังในความมืดมิดอยู่เพราะยังมีบุรษผู้หนึ่งที่ไม่เคยคิดยอมแพ้ที่จะหยุดพัฒนาปรัชญาของไรนุส มิเชลส์ อาจารย์ของเขา ซึ่งเขาคนนั้นก็คือ โยฮัน ครัฟฟ์ ซึ่งเป็นทั้งอดีตผู้เล่นและลูกศิษย์ของมิเชลส์
อาจารย์และศิษย์
หลังจากที่สุดยอดตำนานผู้เล่นโยฮัน ครัฟฟ์แขวนสตั๊ดไปในปี1984 นั้นเขาได้ขึ้นมาคุมทีมอาแจกซ์ทันทีในปี1985 ถึงแม้อาแจกซ์ภายใต้การคุมทีมของครัฟฟ์ที่ตอนนั้นจะยังด้อยประสบการณ์และไม่ได้แชมป์รายการใหญ่ใดใดเลยก็ตาม แต่อย่างน้อย DNAที่มิเชลส์ได้ปลูกฝังไว้ที่อาแจกซ์ก็ได้ถูกปลุกให้ตื่นขึ้นแล้วโดยลูกศิษย์คู่บุญของเขา ต่อมาครัฟฟ์ได้ย้ายไปคุมบาร์ซ่าอีกหนึ่งสโมสรที่อาจารย์ของเขาได้ปลูกฝังDNA ไว้ในฤดูกาล 1988-89
ในช่วงเวลาที่บาร์ซ่า ครัฟฟ์ได้ใช้เวลาพัฒนาปรัชญาTotal Football ต่อไปจนกลายมาเป็นสไตล์ฟุตบอลที่เรารู้จักกันเป็นอย่างดีอย่าง Tiki Taka ที่ยังไม่สมบูรณ์ดีนักในตอนนั้น โดยการปรับเปลี่ยนจากสไตล์ต้นตำรับ
เริ่มที่เรื่องแรกนั่นก็คือการเปลี่ยนจากการที่ผู้เล่นทุกคนในสนามยกเว้นผู้รักษาประตูสามารถสลับสับเปลี่ยนตำแหน่งกันได้แบบไม่ตายตัวนั้นให้มีการลดลงกลายเป็นผู้เล่นสามารถเคลื่อนที่ได้อิสระเหมือนอย่างเดิมแต่จะทำได้ก็ต่อเมื่ออยู่ใกล้ตำแหน่งของตนเองเท่านั้นเพื่อให้เพื่อนร่วมทีมมาซ้อนตำแหน่งแทน ส่วนผู้เล่นบริเวณอื่นก็ประจำตำแหน่งตัวเองเหมือนเดิม
เรื่องที่สองซึ่งสอดคล้องกับเรื่องแรกนั่นก็คือการเปลี่ยนจากการเคลื่อนคนกลายเป็นการเคลื่อนบอลแทนซึ่งจะส่งผลให้ทีมนั้นสามารถครองบอลได้นานขึ้นและมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น อีกทั้งยังกลบจุดอ่อนของสไตล์ต้นตำรับที่เน้นพึ่งพาความสามารถเฉพาะตัวของกลุ่มผู้เล่นที่มากจนเกินไปโดยการเน้นความสามัคคีและทีมเวิร์คในการจ่ายบอลของผู้เล่นแทน
และเรื่องสุดท้ายซึ่งสอดคล้องกับสองเรื่องก่อนหน้านี้นั่นก็คือการให้ผู้เล่นยืนกันเป็นสามเหลี่ยมเพื่อที่จะทำให้ง่ายต่อการส่งบอลได้อย่างต่อเนื่องแบบโอกาสที่จะเสียบอลยากที่จะเกิดขึ้นได้เลยซึ่งมันก่อให้เกิดเป็นเกมการครองบอลที่สวยงามชิ่งบอลกันไปมาแบบสั้นๆจนหาโอกาสทำประตูได้ในที่สุด อีกผลดีของสไตล์นี้จะช่วยผลาญพลังงานของผู้เล่นฝ่ายตรงข้ามที่ต้องไล่บอลจนเหนื่อยแถมยังส่งผลต่อจิตใจที่เกิดความรู้สึกหงุดหงิดที่ไม่สามารถนำบอลกลับมาเล่นได้โดยไว
Tika Tika ร่างวิวัฒนาการของ Total Football
ครัฟฟ์ได้นำสไตล์นี้พาบาร์ซ่าเถลิงแชมป์ยุโรปสมัยแรกได้สำเร็จในฤดูกาล 1991-92 ซึ่งนำทัพโดย โรมาริโอ้, ฮริสโต้ สตอยช์คอฟ, ไมเคิล เลาดรู๊ป, โรนัลด์ คูมัน และ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า จนบาร์ซ่าในยุคนั้นได้ถูกขนานนามว่า “Dream Team”
แชมป์ยุโรปสมัยแรกของบาร์เซโลน่า
ในขณะเดียวกันทางด้านอาแจกซ์ภายใต้การคุมทีมของหลุยส์ ฟาน กัลก็ได้ใช้ปรัชญานี้เช่นกันในการคว้าแชมป์ยุโรปได้สำเร็จหลังจากรอคอยมากว่า 20 ปีในฤดูกาล 1994-95 ที่นำทัพโดยแฟรงค์ ไรจ์การ์ด, มาร์ค โอเวอร์มาร์ส, แพทริค ไคลเวิร์ต และเหล่าเด็กเยาวชนของสโมสรอย่าง คลาเรนซ์ เซดอร์ฟ, เอ็ดการ์ ดาวิดส์, เอ็ดวิน ฟาน เดอร์ ซาร์ และสองพี่น้องฝาแฝดเดอ บัวร์
แชมป์ยุโรปที่รอคอยมาแสนยาวนานของอาแจกซ์
ซึ่งจากเหตุการณ์เหล่านี้ช่วยต่อลมหายใจของปรัชญานี้ออกไปได้เพียงช่วงสั้นๆเท่านั้นและหลังจากนั้นเรื่อยมาก็ไม่มีทีมใดสามารถคว้าแชมป์ยุโรปด้วยปรัชญานี้อีกอย่างยาวนานหลายต่อหลายปี ถึงแม้หลุยส์ ฟาน กัลผู้ที่เคยประสบความสำเร็จด้วยปรัชญานี้จะเข้ามาคุมบาร์ซ่าในช่วงที่ครัฟฟ์อำลาทีมไปแล้วก็ตามแต่เขาก็ไม่อาจพาทีมประสบความสำเร็จได้เท่าที่ควร
จนกระทั่งแฟรงค์ ไรจ์การ์ด ลูกศิษย์ของฟาน กัลป์ได้เข้ามาคุมทีมบาร์ซ่าในฤดูกาล2003-04 ซึ่งถึงแม้ไรจ์การ์ดจะไม่ได้เป็นศิษย์ของครัฟฟ์ที่มีDNAของบาร์ซ่าโดยตรงแต่เขาก็เป็นศิษย์ต่างสำนักที่ยึดมั่นในปรัชญาเดียวกัน
แฟรงค์ ไรจ์การ์ด ลูกศิษย์ของฟาน กัลป์
เขาใช้เวลาเพียงไม่นานพาบาร์ซ่ากลับมาคว้าแชมป์ยุโรปหลังจากรอคอยมาอย่างยาวนานในฤดูกาล2005-06 นำทัพโดย โรนัลดินโญ่ สุดยอดผู้เล่นชาวบราซิล และแล้วยุคสมัยที่ Tiki Taka ที่วิวัฒนาการมาจาก Total Football ที่ทิ้งช่วงหายไปกว่า 10 ปีจะได้กลับมาครองความยิ่งใหญ่อีกครั้งก็ได้เริ่มต้นขึ้น
แชมป์ยุโรปที่รอคอยมาแสนยาวนานของบาร์ซ่า
ถึงแม้จะถูกขั้นไปสองฤดูกาลซึ่งเป็นช่วงที่ไรจ์การ์ดไม่สามารถรักษามาตรฐานเดิมที่เคยทำไว้ได้โดยบาร์ซ่าของเขาไม่สามารถคว้าถ้วยในรายการใหญ่ใดๆได้เลย จึงทำให้ไรจ์การ์ดจำต้องแยกทางไปแบบที่เจ้าตัวก็ไม่ได้เต็มใจสักเท่าไหร่ แต่ในที่สุดช่วงเวลาที่แท้จริงของ Tiki Taka ก็มาถึงเมื่อเป๊ป กวาร์ดิโอล่า ซึ่งเป็นทั้งอดีตผู้เล่นและลูกศิษย์ของครัฟฟ์ได้เข้ามาคุมทีมบาร์ซ่าแทน
เป๊ป กวาร์ดิโอล่า ผู้สืบทอดเจตนารมณ์ของครัฟฟ์
ซึ่งเป๊ป กวาร์ดิโอล่า ถือเป็นปรมาจารณ์ผู้ที่ขัดเกลา Tiki Taka จนสมบูรณ์โดยเขาได้ใช้บทบาทกองหน้าตัวหลอก False 9 ถอยลงต่ำมาช่วยกองกลางในการสร้างสรรค์เกมโดยการจ่ายทะลุให้ปีกกึ่งกองหน้าเข้าไปทำประตูซึ่งส่งผลทำให้กองหลังฝ่ายตรงข้ามสับสนในการประกบตัวสาเหตุมาจากการยืนตำแหน่งของFalse 9 ที่ยืนลงต่ำกว่ากองหน้าแท้ๆทั่วไปและผู้ที่รับบทบาทนี้นั่นก็คือ ลิโอเนล เมสซี่ สุดยอดผู้เล่นชาวอาร์เจนติน่า
(สามารถอ่านเนื้อหาเกี่ยวกับจุดกำเนิดของ False 9 ได้ที่ https://www.blockdit.com/articles/5e9bb5f06794280cb29f3306/# )
1
การยืนตำแหน่งของ False9 ในปรัชญา Tiki Taka
ลิโอเนล เมสซี่ กองหน้าตัวหลอก(False 9) ของบาร์ซ่า
และอีกหนึ่งบทบาทคือ Sweeper keeper ซึ่งเป็นบทบาทที่ผู้รักษาประตูจะต้องมีความสามารถในการใช้เท้าได้ดีเพื่อช่วยในการทำเกมเหมือนเป็นกองหลัง Libero ในสมัยก่อน อีกทั้งยังต้องมีร่างกายที่คล่องแคล่วรวดเร็วระดับนึงเพื่อวิ่งออกมาตัดบอลในจังหวะสุดท้าย และผู้ที่รับบทบาทนี้นั่นก็คือ บิกตอร์ บัลเดส นายทวารชาวสเปน
บิกตอร์ บัลเดส Sweeper keeper ของบาร์ซ่า
จึงทำให้เกิดประสิทธิภาพในการครองบอลและการสร้างสรรค์เกมมากกว่าเวอร์ชั่นดั้งเดิมและยากที่อีกฝ่ายจะป้องกันอีกด้วย หลังจากนั้นเป๊ปก็ได้พาบาร์ซ่ากลับมาครองความยิ่งใหญ่ได้อีกครั้งทั้งในสเปนและในยุโรปโดยในสเปนสามารถคว้าแชมป์ลีกได้ 3 สมัยในฤดูกาล 2008–09, 2009–10 และ 2010–11 และคว้าแชมป์ยุโรปได้ 2 สมัยในฤดูกาล 2008–09 และ 2010–11 ซึ่งนำทัพโดย ลีโอเนล เมสซี่ สุดยอดผู้เล่นชาวอาร์เจนติน่าและ ชาบี เอร์นานเดซ กับ อันเดรส อินเนียสต้า คู่หูอัจฉริยะชาวสเปน
การกลับมาครองความยิ่งใหญ่อีกครั้งของปรัชญาสายศิลปิน
เมสซี่คว้าบัลลงดอร์ตามมาโดยอันดับสอง อินเนียสต้าและอันดับสาม ชาบี ในปี 2010
ซึ่งอิทธิพลของเป๊ปนั้นยังไม่จบลงเพียงเท่านี้ อิทธิพลของเป๊ปได้แพร่ไปสู่ทีมชาติสเปนด้วยเช่นกันสเปนของวิเซนเต้ เดล บอสเก้ ได้ใช้สไตล์การเล่นนี้นำพาสเปนคว้าแชมป์ฟุตบอลโลก 2010 ได้สำเร็จนำโดยขุมกำลังจากบาร์ซ่าอย่างชาบี เอร์นานเดซ กับ อันเดรส อินเนียสต้า
ทีมชาติสเปนครองโลกด้วยปรัชญา Tiki Taka
บาร์ซ่าของเป๊ปในช่วงเวลานั้นยากที่จะหาทีมไหนมาเทียบได้เลย แต่แล้วความสำเร็จของบาร์ซ่าชุดนั้นก็ต้องหยุดชะงักลงเมื่อหลังจากการจากไปของเป๊ป กวาร์ดิโอล่า ที่รู้สึกอิ่มตัวกับการคุมทีมและขุมกำลังหลักอย่างชาบี เอร์นานเดซ กับ อันเดรส อินเนียสต้าก็มีอายุที่มากขึ้นซึ่งเริ่มโรยราลงไปทุกที
ต่อมาบาร์ซ่าหลังจากการจากไปของเป๊ปก็ไม่ได้ประสบความสำเร็จสักเท่าไหร่จนกระทั่งได้กุนซืออย่างหลุยส์ เอนริเก้ อดีตผู้เล่นของบาร์ซ่าที่มีDNA ของบาร์ซ่าไหลเวียนอยู่เช่นกันผนวกกับพลังสตาร์ของเหล่าสามกองหน้าที่เรียกได้ว่าเป็นหนึ่งในสามผสานที่ดีที่สุดตลอดกาลอย่างลิโอเนล เมสซี่, เนย์มาร์ และ หลุยส์ ซัวเรสบวกกับชาบี เอร์นานเดซ กับ อันเดรส อินเนียสต้า ในช่วงโรยรา ทำให้บาร์ซ่าสามารถกลับมาผงาดคว้าแชมป์ยุโรปได้อีกหนึ่งสมัยเพื่อต่อท่อลมหายใจออกไปได้ในฤดูกาล 2014–15
MSN สามผสานที่อันตรายที่สุดแห่งยุค
หลังจากนั้นด้วยการจากไปของชาบี, อินเนียสต้า และ เนย์มาร์ บาร์ซ่าก็ไม่อาจหาความสำเร็จในยุโรปได้อีกเลย ดังนั้นจึงเป็นการปิดตำนาน Tiki Taka บาร์เซโลน่ามหาอำนาจแห่งโลกฟุตบอลช่วงปลายทศวรรษ 2000 ถึง ช่วงต้นทศวรรษ 2010 ลงอย่างสมบูรณ์
ในขณะที่ทางด้านเป๊ปเองได้ออกเดินทางไปที่ต่างๆเพื่อหาความท้าทายใหม่ๆแก่ตัวเขาและในขณะเดียวกันก็นำปรัชญาของเขาไปแพร่หลายสู่ที่นั้นๆอีกด้วยได้แก่ บาเยิร์น มิวนิค สโมสรยักษ์ใหญ่แห่งเยอรมันและ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ สโมสรเจ้าบุญทุ่มแห่งเกาะอังกฤษ
ช่วงเวลาที่บาเยิร์นของเป๊ป
ช่วงเวลาที่แมน ซิตี้ของเป๊ป
ยิ่งไปกว่านั้นเป๊ปยังพัฒนา Tiki Taka ขึ้นไปอีกขั้นระหว่างอยู่ที่บาเยิร์นและแมน ซิตี้ โดยอย่างแรกคือการกลับมาใช้กองหน้าแท้ๆและปีกแท้ๆ ที่เจ้าตัวไม่เคยแม้แต่จะคิดใช้ที่บาร์ซ่าเนื่องจากในช่วงเวลาที่เป๊ปอยู่กับทีมอื่นนั้น ทีมเหล่านั้นไม่ได้มีนักเตะจอมเทคนิคพรสวรรค์ชั้นสูงเหมือนบาร์ซ่า ทำให้เป๊ปได้เรียนรู้ที่จะปรับตัวและหาวิธีใหม่ได้สำเร็จ
เขาได้ใช้กองหน้าตัวเป้าทำหน้าที่เป็นตัวจบสกอร์หลักและใช้ปีกสองข้างยืนชิดเส้นข้างคอยโจมตีด้วยความเร็วสูงและคอยครอสเปิดบอลจากด้านข้างเข้าไปให้กองหน้าทำประตู ซึ่งกองหน้าคู่ใจของเขาก็คือโรเบิร์ต เลวานดอฟสกี้ ที่บาเยิร์นและเซร์คิโอ กุน อเกวโร่ ที่แมน ซิตี้ และปีกสองข้างคู่ใจของเขาก็คือ อาร์เยน ร็อบเบนกับฟร้องค์ ริเบรี่ ที่บาเยิร์นและราฮีม สเตอร์ลิงกับเลรอย ซาเน่ ที่แมน ซิตี้
กองหน้าคู่ใจของเป๊ป
ปีกสองข้างคู่ใจของเป๊ป
อย่างที่สองคือการคิดค้นบทบาทใหม่ขึ้นมานั่นก็คือ Inverted Fullback ซึ่งบทบาทนี้ทำหน้าที่เหมือนฟูลแบคทั่วไปในเกมรับแต่ที่เปลี่ยนไปคือในเกมรุกพวกเขาจะหุบเข้าในเพื่อเพิ่มจำนวนกองกลางส่งผลให้ขึ้นเกมรุกจากหลังขึ้นหน้าได้ง่ายขึ้นในยามที่ถูกเพรซซิ่ง Inverted Fullback ที่มีผลงานยอดเยี่ยมภายใต้การคุมทีมของเป๊ปได้แก่ ฟิลิปป์ ลาห์ม, ดาวิด อลาบา และไคล์ วอล์คเกอร์
การยืนตำแหน่งของ Lahm และ Alaba Inverted Full backของบาเยิร์น (ตัวสีแดงคือบาเยิร์น)
และอย่างสุดท้ายคือการใช้กองกลางกึ่งเพลย์เมกเกอร์ในการทำเกมในพื้นที่ Half space จนเหมือนเป็นกองหน้า 5 คนเพื่อเป็นการเพิ่มจำนวนในกรอบเขตโทษเพื่อใช้ในการเจาะทีมที่ชอบอุดด้วยแผน Park the Bus ดังนั้นด้วยการมาของสองอย่างแรกจึงทำให้กองกลางจำเป็นต่อพื้นที่สุดท้าย(ในกรอบเขตโทษ)เป็นอย่างมากและกองกลางกึ่งเพลย์เมกเกอร์ก็คือคำตอบนั่นเอง
ภาพ 2D จากวิดิโอของ Nouman (Youtube)
ภาพ Real จากวิดิโอของ Nouman (Youtube)
Tiki Taka รูปแบบใหม่ที่ถูกพัมนาขึ้นโดยเป๊ป จากวิดิโอของ Nouman (Youtube)
สิ่งที่ปรัชญานี้มีไม่เหมือนกับปรัชญาอื่นนั่นก็คือการถูกสืบทอดต่อๆกันมาหลายต่อหลายรุ่นตั้งแต่ผู้คิดค้น Total Football อย่างแจ๊ค เรย์โนลด์ส มาสู่ปรมาจารณ์แห่ง Total Football อย่างไรนุส มิเชลส์ ซึ่งเป็นลูกศิษย์ของเรย์โนลด์สและถูกพัฒนาต่อยอดกลายเป็น Tiki Taka โดยโยฮัน ครัฟฟ์ ซึ่งเป็นลูกศิษย์ของมิเชลส์และตกทอดมาจนสู่ปรมาจารณ์แห่ง Tiki Taka อย่างเป๊ป กวาร์ดิโอล่า ซึ่งเป็นลูกศิษย์ของครัฟฟ์
ซึ่งเห็นได้ชัดว่ากว่าปรัชญานี้จะถูกสานต่อมาถึงปัจจุบันได้นั้นก็เปรียบดั่งการเดินทางอันแสนยาวนานบนเส้นทางอันแสนมืดมิดที่มีแสงสว่างรออยู่ปลายทาง และการเดินทางครั้งนี้ของเป๊ปเองก็เป็นเช่นนั้นไม่ต่างกัน ซึ่งมันเปรียบเสมือนภารกิจที่ยิ่งใหญ่ในการสืบสานปรัชญาที่ได้รับสืบทอดต่อๆกันมานั้นเพื่อที่จะได้นำปรัชญานี้กลับมาครองความยิ่งใหญ่อีกครั้งในสักวัน
เป๊ป กวาร์ดิโอล่า ผู้แบกภาระอันยิ่งใหญ่
สามารถอ่านภาคแรกซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของTotal Football ย้อนหลังได้ที่ https://www.blockdit.com/articles/5ea250ff450ced16113c3f98/#
และรูปภาพโดย
โฆษณา