9 พ.ค. 2020 เวลา 01:00 • การศึกษา
ปาฏิหาริย์ของ..คำขอบคุณ
ชีวิตคนเราลุ่มๆ ดอนๆ เราคงเคยได้ยินคำนี้กันมาบ้าง บางช่วงเป็นจังหวะธรรมดา บางช่วงเป็นจังหวะขาขึ้น และก็มีขาลง ไม่ว่าจะเป็นใครก็ตาม
เมื่อเรารู้แล้วว่าชีวิตคนเราต้องเจออย่างนี้แน่นอน แล้วเราต้องทำอย่างไร
สิ่งที่ดี ที่อยากพูดถึง คือการกล่าวคำว่า..ขอบคุณ ตอนช่วงจังหวะขาขึ้น ก็รู้จักคำว่าขอบคุณ อย่าคิดเพียงว่านี้เป็นโชคของเรา หรือเป็นเพราะความแน่ความเก่งของเรา แต่ให้มองว่า เป็นเพราะคนหลายๆ คนมีส่วนเกื้อหนุนเรา สถานการณ์หลายๆ อย่างเอื้ออำนวยให้เรา อย่างนี้เป็นต้น
ให้นึกขอบคุณกับทุกๆ คน ถ้าเป็นอย่างนี้ เมื่อจังหวะชีวิตขาขึ้น เราก็จะไม่เฟืองฟูเกินไป ใจจะไม่เตลิด ไม่เพลิดเพลิน ไม่หลงไป และเมื่อจังหวะชีวิตเรียบๆ เรื่อย ๆ เราก็จะไม่เบื่อหรือเซ็ง เพราะในขณะที่เรียบๆ เรื่อยๆ เราจะพบว่ามีสิ่งดีๆ เล็กๆ น้อยๆ เกิดขึ้นในชีวิตเราเองตลอดเวลา
ให้เราลองสังเกตดู บางทีคนเขามีน้ำใจกับเรา เป็นคนในครอบครัวบ้าง เพื่อนฝูงบ้าง คนนั้นเขาทำดี ให้เรามองอะไรแล้วเป็นการจับดี
สิ่งดีๆ ที่คนอื่นทำ ทั้งทางตรงหรือทางอ้อม เขาอาจจะไม่ได้ทำกับเราโดยตรง เช่น ข่าวในทีวี เราเห็นคนเขามีน้ำใจต่อกัน ช่วยเหลือคนที่กำลังลำบาก แล้วเป็นข่าวขึ้นมา ก็ให้เรารู้สึกขอบคุณเขา ที่ทำให้ข่าวดีหรือสิ่งดีๆ เกิดขึ้นในโลก ทำให้สังคมน่าอยู่ยิ่งขึ้น ทำให้เรารู้สึกดีขึ้น
หากเห็นสิ่งดีเกิดขึ้น เราไม่ควรรู้สึกเพียงว่า เป็นเรื่องๆ หนึ่งที่เกิดขึ้นรอบตัว ไม่เกี่ยวกับเรา แต่ให้เรารู้สึกขอบคุณในสิ่งที่เกิดขึ้นนั้นด้วย
เคยมีผลการวิจัยว่า เมื่อรู้สึกขอบคุณแล้ว ตัวเราจะเกิดการเปลี่ยนแปลงในตัวเราเองด้วย เราจะสดชื่นขึ้น และก็มีกำลังใจในการสู้โรคสู้ชีวิต มีกำลังใจในการทำความดีมากขึ้น มีโอกาสประสบความสำเร็จในชีวิตมากขึ้น เราจะสู้ชีวิตอย่างมีความสุข
เรามาดูช่วงจังหวะที่เป็นขาลง ทั้งลงเล็กน้อย หรือลงอย่างรวดเร็ว เราต้องเตรียมใจสำหรับเรื่องนี้อย่างไร
ด้วยหลักเดียวกัน หากเรารู้จักคิดขอบคุณ เราจะพบว่า แม้สถานการณ์ที่หนักหนา ก็ยังมีสิ่งดีๆ แฝงอยู่
ดังตัวอย่างเช่น ในราชวงศ์ที่มีชื่อเสียงเกรียงไกรในประวัติศาสตร์จีนราชวงศ์หนึ่ง คือ ราชวงศ์ฮั่น
คนจีนปัจจุบันเรียกตัวเองว่าเป็นชาวฮั่น คำว่าฮั่นมาจากชื่อราชวงศ์ ตัวหนังสือจีน เรียกว่าฮั่นจื้อ คือตัวหนังสือฮั่น
แม่ทัพใหญ่ฮั่นสิน
เพราะราชวงศ์ฮั่น ปกครองจีนอยู่ 400 กว่าปี ช่วงนี้จึงเป็นช่วงการวางรากฐานทางวัฒนธรรมและอารยธรรมของจีนที่สำคัญมาก คนที่มีบทบาทสำคัญในการสถาปนาราชวงศ์ฮั่น คือ ฮั่นสิน เป็นแม่ทัพใหญ่ที่ปราบกบฏ ทำให้เล่าปัง สามารถสถาปนาราชวงศ์ฮั่น ขึ้นปกครองเป็นพระเจ้าฮั่นโกโจฮ่องเต้ของจีน โดยมีฮั่นสินเป็นคนขับเคลื่อนผู้นำทับในการรบ ประวัติฮั่นสินเป็นอย่างไร เรามาลองศึกษาดู
จักรพรรดิฮั่นโกโจ ปฐมกษัตริย์แห่งราชวงศ์ฮั่น
ตอนหนุ่มๆ ฮั่นสินเคยถูกนักเลงใหญ่ของเมืองรังแกอยู่กลางตลาด ยืนกลางถนน ให้ฮั่นสินคุกเข่า แล้วคลานลอดหว่างขาตน ลูกผู้ชาย หัวเข่าล้ำค่ายิ่งกว่าทองคำ แต่ต้องยอมคุกเข่าคลานลอดหว่างขาคนอื่น ถ้าเป็นคนทั่วไป จะรู้สึกอับอายขายหน้า มองหน้าสู้หน้าใครไม่ได้ หมองเศร้า หมดอาลัยในชีวิต แต่ว่าฮั่นสินกลับฮึดสู้ แล้วฝึกฝนวิทยายุทธ์ ฝึกความสามารถในการรบ ฝึกตำราพิชัยสงครามจนกลายเป็นแม่ทัพใหญ่ สถาปนาราชวงศ์ฮั่นได้
เมื่อเป็นแม่ทัพใหญ่แล้ว วันหนึ่งเขาได้ย้อนกลับมาที่เมืองๆ นี้ และให้ทหารไปจับตัวหัวหน้าอันธพาลนี้มา คนทั่วไปอาจคิดว่า ฮั่นสินคงทุบตีคืนหรือไม่ก็ฆ่าอันธพาลคนนั้น เพราะตอนนี้เขาคือแม่ทัพใหญ่ กระดิกนิ้วนิดเดียว อันธพาลคนนั้นก็ตายแล้ว ปรากฏว่าไม่ใช่
จับตัวมาได้ อันธพาลคนนั้น นึกว่าตนต้องตายแน่ แต่พอเจอหน้าฮั่นสิน กลับบอกว่า "ขอบคุณนะ"
ถ้าไม่มีแกคงไม่มีข้าในวันนี้ แล้วก็ให้รางวัล นั่นคือใจของคนที่จะประสบความสำเร็จในชีวิต เจออะไรหนักๆ ก็ไม่ได้คิดไปในทางร้าย มองแต่ในทางดี ในความรู้สึกขอบคุณ ที่เรียกว่า..คิดทางบวก เติมความรู้สึกว่าขอบคุณลงไป เป็นการขับเคลื่อนคิดบวกโดยตรง ทำให้ฮั่นสิน จากหนุ่มธรรมดาๆ ที่ถูกรังแกเหยียดหยามอย่างหนัก กลายเป็นแม่ทัพใหญ่ ผู้สถาปนาราชวงศ์ฮั่นอันเกรียงไกร
หากเราเจออะไรหนักๆ ให้ถามตัวเองว่า ถึงขนาดทุกบังคับให้คลานกับพื้นลอดหว่างขาคนอื่นเขาหรือยัง ถ้ายังแสดงว่ายังไม่หนักเท่าไหร่ คนเจอหนักขนาดนั้น เขายังมีความรู้สึกขอบคุณ เป็นแรงขับเคลื่อนพัฒนาตัวเอง เราก็ต้องสู้ได้เหมือนกัน ให้มองสถานการณ์ทุกอย่างด้วยความรู้สึกขอบคุณ
มาดูทางธรรมบ้าง
พระปุณณะ มาพบพระพุทธเจ้า
ในครั้งพุทธกาลมีพระภิกษุรูปหนึ่ง ชื่อพระปุณณะ เป็นชาวสุนาปรันตะ มาพบพระพุทธเจ้าที่เชตวันมหาวิหารร กรุงสาวัตถี ฟังธรรมลแล้วเกิดศรัทธาออกบวช ปฏิบัติไปแล้วยังไม่บรรลุธรรม มีความรู้สึกไม่คุ้นกับสถานที่
วันหนึ่งจึงขอทูลลาพระพุทธเจ้า จะกลับไปปฏิบัติธรรมที่บ้านเกิดเมืองสุนันปรันตะ พระพุทธเจ้าบอกปุณณะ เธอรู้ดีอยู่แล้วไม่ใช่หรือ ว่าชาวสุนาปารันตะ โหดร้ายมาก ที่นั่นพระพุทธศาสนาเองก็ยังน้อย เธอโกนผมแล้วก็ครองจีวรไม่เหมือนคนอื่นเขา ย่อมถูกรังแก เธอจะทนไหวหรือ
พระปุณณะบอกไหวพระเจ้าค่ะ
พระพุทธเจ้าเลยถามว่า แล้วหากเกิดเขาด่าว่าเธอ เธอจะว่าอย่างไร
พระปุณณะบอก ข้าพระองค์ก็จะคิดว่า ยังดีกว่าเขาตบต่อย พระพุทธเจ้าถามต่อว่า แล้วหากเขาตบต่อยเธอล่ะ
ข้าพระองค์ก็จะคิดว่าดีพะยะค่ะ ดีกว่าเขาเอาก้อนดินขว้าง
แล้วถ้าหากเขาเอาก้อนดินขว้างล่ะ
ก็ดีพะยะค่ะ ดีกว่าเอาไม้ตี
แล้วหากเขาเอาไม้ตีล่ะ
ดีพะยะค่ะ ดีกว่าเอาหอกเอาดาบมาเสียบมาแทง
พระพุทธเจ้าถามต่อ แล้วหากเขาเอาหอกเอาดาบมาเสียบมาแทงมาฆ่าเธอจริงๆ ล่ะ
พระปุณณตอบว่าข้าพระองค์ก็จะคิดว่าดีพะยะค่ะ ต้องขอบคุณเขา เพราะบางคนคิดอยากจะฆ่าตัวตาย ยังต้องลำบากไปหาศาสตราอาวุธ หาวิธีการ ตัวเราไม่ต้องทำอะไร อยู่เฉยๆ มีคนจัดการให้เสร็จ ก็จะขอบคุณเขา
เราลองคิดดูว่า ถึงขนาดมีคนมาฆ่า ยังรู้สึกอยากขอบคุณเขาเลย คิดว่าดีไม่เป็นไร ดีแล้ว แล้วโชคดี พระพุทธเจ้าบอก ปุณณะใช้ได้ เธอคิดเป็น อนุญาตให้ไปได้
พระปุณณะกลับบ้านเกิดเมืองสุนาปรันตะ ไปปฏิบัติธรรมไม่นานก็บรรลุธรรม เป็นพระอรหันต์องค์หนึ่งในพุทธศาสนา เพราะรู้จักคำว่า..ขอบคุณ คิดเป็น
ถ้าเราเจออะไรหนักๆ ใครมาทำอะไรไม่ดีกับเรา ให้นึกถึงพระปุณณะ อย่างนั้นแล้ว เรื่องอื่นก็เรื่องเล็ก
แล้วเราจะพบความจริงว่า พอเรามีความรู้สึกขอบคุณอย่างนี้ คนที่คิดจะรังแกเรา จะเพลามือลง รู้สึกว่าเหมือนตบมือข้างเดียวไม่ดัง ไม่สนุก แล้วเขาจะแปลกๆ ใจ ภาพเมตตา ความรู้สึกปรารถนาดีจากใจเรา จะเหนี่ยวนำใจเขาให้กลายเป็นคิดในเรื่องดีๆ แทน สุดท้ายสิ่งที่ดีๆ ก็จะเกิดขึ้น ตัวของเราเองก็มีกำลังใจในการทำความดี ไม่ได้เอาใจไปจดเรื่องร้ายๆ ที่เจอ ขณะเดียวกันความดี ความรู้สึกขอบคุณจากใจเรา จะไปเหนี่ยวนำความดีในใจคนอื่นให้ทำงาน กระตุ้นให้ความดีในใจทุกคน ที่เขามีอยู่ให้ทำงาน แล้วสิ่งดีๆ ก็จะเกิดขึ้นในโลกนี้
นี้คือปาฏิหาริย์ของคำขอบคุณ
อย่าลืมขอบคุณตัวเอง และขอบคุณคนข้างๆ
"เจริญพร"
โฆษณา