9 พ.ค. 2020 เวลา 09:11 • ธุรกิจ
จุดอ่อนของ "Stop loss"
[เทรดมั่วทัวร์ดอย]
[เทรดมั่วทัวร์ดอย]
ว่าด้วยเรื่องของแนวทางการเทรดด้วยการวาง Stop loss ถือเป็นอีกหนึ่งทักษะสำคัญที่ใช้สำหรับการหยุดความเสียหายจากความผิดพลาดของสถานะเข้าเทรด
ทางผมเองก็เป็นอีกหนึ่งคนที่ต้องพบเจอกับเรื่องของการ stop loss จนเป็นเรื่องปกติไปซะแล้ว แต่เพราะต้องพอเจอบ่อยๆเข้า ผมเลยอยากจะทำการรวบรวมเรื่องที่น่าจะสนใจ เกี่ยวกับ stop loss ที่จะทำให้เราสามารถใช้งาน stop loss ได้อยากมีประสิทธิภาพมากขึ้น ซึ่งผมจะขอหยิบออกมาพูดถึงในลักษณะของจุดอ่อนจากการ stop loss นั่นเองครับ
1. ความผันผวน คือ ศัตรูของ stop loss
ประเด็นแรกนั้น เราต้องทำความเข้าใจก่อนเลยว่า ความผันผวนคือสิ่งที่ซ่อนอยู่ในการเคลื่อนที่ของระดับราคาเสมอ หากราคาเคลื่อนที่ผิดออกไปจากทิศทางที่คาดหวังไว้ ก็จะทำให้เกิดการกิน stop loss ขึ้นมา ดังนั้น ก่อนจะเริ่มทำการวาง stop loss ต้องทำความเข้าใจลักษณะความผันผวนของหุ้นตัวนั้นประกอบด้วย เพื่อใช้ในการวางแผนการเทรดและวาง stop loss
2. การวาง stop loss ที่สั้นและถี่เกินไป
นี่เป็นอีกหนึ่งประเด็นที่ผมเชื่อว่า น่าจะเป็นหนึ่งในภาพลวงตาของการเทรดเลย ที่เราอยากจะขาดทุนน้อยๆ และกำไรเยอะๆ จึงทำให้เราเลือกที่จะ stop loss แต่เนิ่นๆด้วยการวางจุด stop loss ที่ตื้นจนเกินไป เช่น มีการ stop loss ที่ 2% จากจุดซื้อ ซึ่งในหลักการแล้วนั้น ผมก็เชื่อว่ามันค่อนข้างที่จะ perfect มากเลยทีเดียว กับการ cut loss แค่ 2% แต่...
1
แต่เชื่อไหมครับว่า หุ้นหลายๆตัวในตลาดนั้น มีความผันผวนที่มากจนทำให้ 2% stop loss ของเรานั้น โดนกินได้อย่างง่ายดาย และหากสมมติคุณมีจุดซื้อที่ไม่ดีแล้วหล่ะก็ จะทำให้ต้องซื้อแล้วโดนกิน stop วนลูปแบบนี้ไปเรื่อยๆ แล้วคุณก็จะพบว่า 2% ที่ stop loss สั้นๆแต่ถี่หลายๆครั้ง มันก็ทำให้เงินทุนของคุณหายไปมากกว่าที่คิดได้เล่นกัน
3. วาง Stop loss ที่ระดับราคาที่ไม่มีนัยยะสำคัญ
ประเด็นนี้คงมาจากเรื่องว่าที่ “การซื้อเปรียบเสมือนการติดกระดุมเม็ดแรก” การเข้าไปไล่ราคาหุ้นด้วยความกลัวที่จะตกรถ หรือซื้อด้วยหน้าเทรดแบบ break out หากการเปิดสถานะครั้งนี้ออกไป ตามมาด้วยผลลัพธ์ที่ผิดจนเกิดการโดน stop loss ขึ้น ด้วยการซื้อในจุดที่ไม่ได้เปรียบและไม่ได้มีนัยยะสำคัญในการวาง stop loss อาจจะเกิดเหตุการณ์ที่ความผันผวนลากลงมากิน stop แล้วเด้งกลับใส่หน้า จนเรางงๆว่าเกิดอะไรขึ้นกันกับ stop loss ครั้งนี้
ดังนั้น เราควรมองหาจุดซื้อที่ดี ด้วยการวางแผนถึงจุดซื้อ จุดขายทำกำไร และจุดวาง stop loss ที่มีนัยยะสำคัญ เช่น แนวเบรก แนว Volume profile ที่มีความน่าแน่น หรืออาจจะใช้ trend line, horizontal line เป็นจุดสังเกตุในการวางแผนซื้อ โดยซื้อให้ไม่ไกลจากจุด stop loss ครับ
4. Stop loss ไม่มี %loss ที่ตายตัว
ด้วยกลยุทธ์การเทรดที่แตกต่างกันของแต่ละคน ไม่ว่าจะเป็นการเทรดแบบ day trade, swing trade หรือ trend following หรือแม้กระทั่ง time frame และ positions size ที่แตกต่างกัน จึงทำให้ไม่มีค่า % stop loss ที่เป็นค่ากลางตายตัวที่จะเหมาะกับทุกคนได้
เราจึงต้องหาค่า %loss ที่เหมาะสมกับตัวเองให้ได้ครับ โดยอาจจะมองจาก % port เป็นตัวตั้งก็ได้เช่นเดียวกัน เช่น หุ้นตัวนึงเป็นหุ้นที่มีลักษณะความผันผวนสูง ผมอาจจะยอมลด position size ลงเพื่อเพิ่มระยะ % stop loss ให้กว้างขึ้นแทน แต่หากวัดกลับมาเป็น %port แล้ว จำนวนเงินที่ loss จากการ stop ยังคงเท่าเดิมนั่นเอง
5.Trailing stop ยก stop ตามราคาเพื่อรักษากำไร
เป็นอีกขั้นของการยก stop loss. เพื่อรักษากำไร หนึ่งปัญหาที่ผมเจอ คือ การซื้อแล้วราคามีการปรับตัวขึ้น สิ่งที่ตามมาคือ เราจะอยากยก stop loss กลับมาไว้ในจุด break even หรือจุดที่เอาราคาซื้อ + ค่าคอม มาเป็นจุด stop loss ใหม่แทน ซึ่งโดยหลักการก็ถือว่าดีมาก เพราะสถานะนี้จะไม่มีทางกลับไปขาดทุนแล้ว
แต่อย่างที่ผมบอกไปครับว่า การที่หุ้นบวก 2-3% ไปแล้ว ก็ไม่ได้หมายความว่า มันจะกลับไปทุนไม่ได้ ดังนั้นการเปิดสถานะแล้วหุ้นบวก การยก trailing stop จึงควรวางเงื่อนไขที่เพิ่มเติมออกไป
เช่น หากกำหนด risk reward ไว้ที่ ขาดทุน 4% กำไร 10% หรือ RRR 1/2.5 เราจะทำการเลื่อน trailling stop ด้วยเงื่อนไข แบบนี้
1
• 1:1 หุ้น +0-4% ใช้จุด stop loss -4% ตามเดิม ให้มีกรอบการแกว่งรับความผันผวน
• 1:2 หุ้น +4-8% ยก trailing stop มาที่ +2% เพราะหากไม่ถึงจุดขายแล้วมีการวกกลับของราคา เราก็จะเหลือ กำไร 2% ไว้จากการเทรดครั้งนี้
• 1:2.5 หุ้นบวกเกิน +8% ยก stop loss มาที่ 4% และหากไปถึงเป้าก็ขายทำกำไร 10% ตามแผนได้เลยครับ
2
ทั้งหมดเป็นมุมมองของผู้เขียนเองแทบทั้งสิ้น หากมีความผิดพลาดตรงไหน ต้องขออภัยด้วยนะครับ
1
#เทรดมั่วทัวร์ดอย

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา