14 พ.ค. 2020 เวลา 04:31 • สุขภาพ
[Food for Thought] - เมื่ออาหารสุขภาพกำลังทำร้ายโลก: อะโวคาโด Avocado ผลไม้พันล้านที่หล่อเลี้ยงขบวนการค้ายา
ทองคำเขียว คืออีกชื่อหนึ่งของอโวคาโดที่ชาวเผ่าดั้งเดิมในเม็กซิโกรู้จักกันมาช้านาน บ่งบอกให้เราทราบว่าอะโวคาโดมีความสำคัญกับความเป็นอยู่ของชุมชนขนาดไหน พืชพื้นบ้านที่เป็นแหล่งคุณค่าอาหารชั้นยอดถือเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมความอยู่รอดของทุกคนในชนเผ่า ในระยะหลังมานี้อะโวคาโดเกาะกระแสเทรนด์อาหารสุขภาพ รวมทั้งวิถีวีแกน (vegan) จนกลายเป็นสินค้าท๊อปฮิตติดตลาดบน ขณะเดียวกันมันก็ได้ก่อให้เกิดปัญหาแก่งแย่งแหล่งน้ำทำกิน การทำลายความหลากหลายของระบบนิเวศน์ในท้องถิ่น ไปจนถึงการแบ่งผลประโยชน์ให้แก่ขบวนการค้ายาเสพติด เกิดเป็นคำถามที่ว่าหรือทองสีเขียวชนิดนี้จะสิ้นมนต์ขลังไปเสียแล้ว
อะโวคาโด ผลไม้ที่ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายในปัจจุบันมีต้นกำเนิดมาจากประเทศเม็กซิโก และมีประวัติศาสตร์ยาวนานกว่า 3000 ปีนับแต่สมัยชนเผ่าแอสแทคซึ่งเป็นชนเผ่าดั้งเดิมของประเทศ ด้วยความที่อะโวคาโดเป็นผลไม้ที่อุดมไปด้วยสารอาหารต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นกรดไขมันโอเลอิก ซึ่งจำเป็นต่อผู้ที่ไม่บริโภคเนื้อสัตว์ รวมไปถึงวิตามินต่างๆเช่น วิตามิน B C E หรือ แร่ธาตุโปแตสเซียม และสามารถปลูกได้ในภูมิอากาศร้อนชื้นของประเทศเม็กซิโก มันจึงกลายเป็นอาหารพื้นบ้านที่ราคาถูกและคนส่วนใหญ่สามารถพึ่งพาได้
หลังจากการค้นพบโลกใหม่ของเหล่าผู้ล่าอาณานิคม อาหารแปลกใหม่จำนวนมากก็ได้ถูกส่งไปเป็นเครื่องบรรณาการให้กับราชสำนักในยุโรป อันเป็นจุดเริ่มต้นของการค้าระหว่างสองทวีปไม่ว่าจะเป็นช็อกโกแล็ต กาแฟ หรือมันฝรั่ง อะโวคาโดก็ไม่พ้นชะตากรรมเดียวกัน ในปี 1601 อะโวคาโดถูกส่งไปยังสเปน และต่อมาก็มีการกระจายพันธุ์ไปหลายทวีปทั่วโลกทั้งในอินเดียและอินโดนีเซีย ออสเตรเลีย และนิวซีแลนด์
ทุกวันนี้ถึงแม้ว่าอะโวคาโดจะสามารถปลูกได้ในหลายพื้นที่ของโลกแม้แต่ที่บ้านเราเองก็ตาม การปลูกอะโวคาโดก็มีข้อจำกัด เนื่องจากต้นอะโวคาโดจำเป็นต้องอยู่ในพื้นทีที่มีความชื้นสูง มีอุณภูมิคงที่ตลอดปี มันไม่สามารถรับมือกับการเปลี่ยนแปลงของอากาศเฉียบพลันได้ ทำให้มันเปราะบางต่อการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ นั่นเป็นสาเหตุที่ว่าประเทศเม็กซิโกและอเมริกากลางก็ยังคงเป็นผู้ปลูกอะโวคาโดรายใหญ่ของโลกอยู่นั่นเอง ( 2.01 ล้านตันในปี 2017) โดยมีพื้นที่ปลูกอะโวคาโดมากถึง 500000 เอเคอร์ ในขณะเดียวกันความต้องการอะโวคาโดทั่วโลกได้เพิ่มสูงขี้นเป็น 5.6 พันล้านดอลลาร์ต่อปี
นอกจากนี้การขนส่งจากซีกโลกใต้มายังซีกโลกเหนือก็ยังก่อให้เกิดคาร์บอนฟุ๊ตปรินท์จำนวนมาก ผลการศึกษากล่าวว่าอะโวคาโดสองลูกสร้างคาร์บอนฟุ๊ทปริ้นท์มากถึง 846.36 กรัมทีเดียว (ซึ่งเป็นสองเท่าของกล้วย 1 กิโล) ระยะทางในการขนส่งที่ยาวนาน ทำให้จำเป็นต้องเก็บอะโวคาโดก่อนมันสุกและใส่ตู้ควบคุมอุณหภูมิในการขนส่งระหว่างทวีป
กระนั้นก็ตามการส่งออกอะโวคาโดก็ไม่ได้ทำให้ประเทศเม็กซิโกมีความมั่นคงหรือมั่งคั่งขี้นแต่อย่างใด ขณะที่ราคาของอะโวคาโดในตลาดโลกสูงขี้น พื้นที่เพาะปลูกอะโวคาโดก็ขยายตัวขี้นอย่างรวดเร็ว การปลูกอะโวคาโดกลายเป็นอุตสาหกรรมพืชเชิงเดี่ยว ที่มีการใช้สารเคมีและยาฆ่าแมลงจำนวนมากเพื่อเร่งให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุดในการผลิต ส่งผลให้ดินเสื่อมสภาพ การตัดไม้ทำลายป่าเพื่อแปลงให้เป็นสวนอะโวคาโดก็ยิ่งทำให้ความหลากหลายทางชีวภาพลดลงเป็นอย่างมาก
การปลูกพืชเชิงเดี่ยวที่เน้นการคัดเลือกพันธุ์ให้เหมาะกับการขนส่งระยะไกลยังทำให้เกษตรกรกว่า 80% หันมาปลูกอโวคาโดพันธุ์ HASS สายพันธุ์เปลือกหนาเพียงอย่างเดียว เพราะมันสามารถทนทานแรงกระแทกที่เกิดขี้นระหว่างการลำเลียงได้ดี การปลูกพชเพียงชนิดเดียวนี้ก็ทำให้การผลิตอะโวคาโดมีความเสี่ยงสูงต่อการเกิดโรคของพืช
ขณะที่ความต้องการทั่วโลกเพิ่มสูงขี้น การผลิตที่ขยายตัวขี้นกลับส่งผลเสียต่อความมั่นคงทางอาหารของคนท้องถิ่นเอง เมื่อราคาของอะโวคาโดในตลาดโลกสูงขี้นทำให้ราคาอะโวคาโดของท้องถิ่นเพิ่มขี้นจนคนพื้นเมืองไม่สามารถหาซื้ออะโวคาโดมาทานได้อีกต่อไป ส่งผลกระทบเป็นวงกว้างต่อการสูญเสียทางวัฒนธรรมอาหาร รวมทั้งการคุณค่าสารอาหารที่ลดลง ในขณะที่ตลาดต่างประเทศยังคงขยายตัวอย่างต่อเนื่องอันเป็นผลมาจากการขยายตัวของชนชั้นกลางในประเทศจีนซึ่งนิยมอาหารต่างชาติ แรงกดดันต่อปัญหาอุปสงค์อุปทานในตลาดจะยังคงมีต่อไปตราบใดที่ความต้องการอะโวคาโดทั่วโลกยังสูงอยู่
นอกจากนี้แล้วปัญหาสำคัญอีกปัญหาหนึ่งที่เรายังไม่ได้กล่าวถึงคือการแย่งทรัพยากรน้ำ อะโวคาโดแต่ละลูกต้องการน้ำมากถึง 370 ลิตร ด้วยความที่ว่าการปลูกอะโวคาโดได้ราคาดีกว่าการปลูกพืชชนิดอื่นหลายเท่า เกษตรกรจึงหันมาปลูกอะโวคาโดเพื่อการส่งออกแทนทีพืชผักที่เป็นอาหารท้องถิ่นอื่นๆ ส่งผลกระทบต่อความหลากหลายและความมั่นคงทางการผลิตอาหารในระยะยาวอย่างช่วยไม่ได้
เรื่องราวของอะโวคาโดยยิ่งมีความซับซ้อนมากขี้นไปอีกเมื่อขบวนการค้ายาเสพติดในเม็กซิโกต้องการแสวงหาผลประโยชน์จากเกษตรกรอะโวคาโดในแถบ Michoacán ซึ่งผลิตอะโวคาโดมากถึง 80% ของการส่งออก โดยการเรียกร้องค่าคุ้มครองและทำการข่มขู่ผู้ตรวจผลผลิตทั้งหลาย ส่งผลให้ความรุนแรงในท้องที่สูงขี้น กำไรที่ได้จากการปลูกอะโวคาโดกลายเป็นสิ่งเร่งให้เกิดความรุนแรง กระทั่งชาวสวนต้องทำการล้อมรั้วและจ้างพนักงานรักษาความปลอดภัยมาดูแลพืชผลของตนเอง
แม้ว่าอะโวคาโดจะถูกยกให้เป็นหนึ่งในอาหารคลีนแห่งศตวรรษ และเป็นซุปเปอร์ฟู๊ดที่ยั่งยืนก็ตาม ในความเป็นจริงแล้วความนิยมบริโภคอะโวคาโดได้ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและสังคมมากเหลือเกิน เมื่อเรามองที่ต้นน้ำแล้วมันแทบไม่มีความยั่งยืนใดๆในการปลูกอะโวคาโด การมองการเกษตรว่าเป็นอุตสาหกรรมมักทำให้รายละเอียดต่างๆในวงจรการปลูกถูกละเลยไป ผลกำไรที่ควรได้กลับตกเป็นเบี้ยเลี้ยงให้กับขบวนการค้ายาเสพติด
1
โชคดีที่เมืองไทยยังพอปลูกอะโวคาโดสำหรับบริโภคในประเทศได้บ้างและนำเข้าอะโวคาโดมาจากนิวซีแลนด์และออสเตรเลียซะเป็นส่วนใหญ่ เราจึงไม่ได้สร้างความเหลื่อมล้ำจนเกินงาม แต่ใครเล่าจะรู้ ถ้าวันหนึ่งเกิดโรคระบาดในอะโวคาโดที่เม็กซิโกขี้นมาจนไม่สามารถปลูกอะโวคาโดได้ กระแสนิยมอะโวคาโดจากจีนอาจกระทบมาถึงไทย และพี่ไทยอาจถูกปรับภูมิทัศน์ให้กลายเป็นสวนผลิตอะโวคาโดราคาถูกส่งประเทศจีนเหมือนกับทุเรียน กล้วย ลำไย มังคุด ที่เผชิญชะตาใกล้เคียงกับอะโวคาโดก็เป็นได้
หากวันนั้นมาถึงทองคำเขียวน่าจะเป็นลางร้ายมากกว่าลางดี
อ้างอิงเพิ่มเติม

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา