16 พ.ค. 2020 เวลา 12:32
อีกครั้งกับ Active และ Passive Income
กลับมาทบทวนความเข้าใจเรื่อง Active Income และ Passive Income ก่อนจะที่จะเริ่มมองหาช่องทางในการหาเงินช่วงภาวะวิกฤติแบบนี้ สิ่งสำคัญในวันนี้ถ้าเป็นไปได้อยากให้เริ่มกระจายความเสี่ยงของแอกทีฟอินคัมก่อน
บทความโดย ดร.ศุภกร สุนทรกิจ | คอลัมน์ เกาะติดเศรษฐกิจการเงิน I กรุงเทพธุรกิจ
ทำความเข้าใจอีกครั้งกับ Active และ Passive Income I กราฟิกโดย ณัชชา พ่วงพี
สวัสดีครับท่านผู้อ่านทุกท่าน เรายังคงต้องใช้ชีวิตของเราอยู่กับการแพร่กระจายของไวรัสโควิทมากว่าสามเดือนแล้ว ทุกๆ คนต่างได้รับผลกระทบและต่างต้องปรับตัว ปรับเปลี่ยนลักษณะการใช้ชีวิต หลายท่านต้องทำงานจากที่บ้าน และไม่มีใครทราบว่ามันจะจบอย่างไร? จะกลับมาใหม่อีกหรือไม่? แต่ที่แน่ๆ ทุกๆ ท่านต่างต้องเตรียมรับมือกับการใช้ชีวิตปกติแบบใหม่หรือที่เรียกว่า New Normal กัน
วันนี้ผมอยากจะเขียนถึงเรื่องของ Active กับ Passive Income อีกสักครั้ง เริ่มต้นจากการทบทวนความหมายง่ายๆ ของรายได้ทั้งสองรูปแบบดู
แอกทีฟอินคัมหรือรายได้ที่เราต้องใส่แรงกายเข้าไปเพื่อให้ได้รายได้นั้นมา เช่น รายได้จากเงินเดือนที่เราทำงานที่บริษัท
ในขณะที่พาสสีฟอินคัมคือรายได้ที่เราได้รับมาโดยไม่ต้องใส่แรงเข้าไป เช่น รายได้จากเงินปันผลของหุ้นที่เราไปลงทุนไว้ รายได้จากดอกเบี้ยของพันธบัตรหรือหุ้นกู้ที่เราลงทุนไว้ รายได้จากค่าเช่าห้องคอนโดที่เราซื้อเอาไว้ เป็นต้น หลายๆ ท่านล้วนอยากมีพาสสีฟอินคัมกันทั้งนั้น ไม่ว่าจะอายุเท่าไหร่เพราะถือเป็นรายได้ที่เราจะได้รับโดยไม่ต้องออกแรงทำ
คราวนี้เราจะลองมาดูในรายละเอียดของพาสสีฟอินคัมลงไปอีก สมมติว่าถ้าเราต้องการใช้เงินเดือนละสองหมื่นบาท และสมมติต่อว่าเรามีทางเลือก 3 ทางด้วยกันคือลงทุนในพันธบัตรที่ให้ดอกเบี้ยร้อยละ 2 หุ้นที่ให้ปันผลร้อยละ 4 ห้องคอนโดที่ให้เช่าได้เดือนละ 10000 บาท เราลองมาดูเงินทุนที่เราต้องลงทุนในสามทางเลือกนี้ดู
เริ่มจากพันธบัตรถ้าเราต้องการดอกเบี้ยเดือนละ 2 หมื่นบาท (ปีละ 240,000 บาท) เราต้องมีเงินลงทุนทั้งสิ้น 12 ล้านบาท (12 ล้าน*2%) แต่ถ้าเราเลือกลงทุนในหุ้นที่ให้ปันผลร้อยละ 4 เราต้องลงทุนในหุ้นตัวนี้ทั้งสิ้น 6 ล้านบาท น้อยกว่าพันธบัตรเท่าตัว และท้ายสุดถ้าเราเลือกลงทุนในคอนโด สมมติว่าคอนโดห้องละ 3 ล้านห้าแสนเราต้องลงทุนทั้งสิ้น 7 ล้านบาท
เหมือนว่าทางเลือกในการลงทุนในหุ้น แล้วรอกินเงินปันผล จะเป็นทางเลือกที่หลายคนจะเลือก เพราะใช้เงินน้อยที่สุด แต่ละทางเลือกมีข้อดีข้อเสียไม่เหมือนกัน ถ้าเราเลือกลงทุนในพันธบัตร แน่นอนว่าข้อดีคือความเสี่ยงต่ำ แต่ผลตอบแทนก็ต่ำไปด้วย โดยเฉพาะในยามวิกฤตเช่นนี้ ถือพันธบัตร (รัฐบาล) ไว้น่าจะอุ่นใจที่สุด
1
ในขณะที่ลงทุนในหุ้นนั้นถ้าเราจะรอกินแต่ปันผลอย่างเดียวเรื่องความผันผวนของราคาหุ้นหรือดัชนีตลาดหลักทรัพย์ก็ไม่ได้กระทบต่อเรา แต่สิ่งที่เราต้องกังวลคือทิศทางของเงินปันผล ซึ่งแน่นอนมาจากการเติบโตของรายได้ ซึ่งโดยภาวะทั่วไปบริษัทมักจะมีรายได้ที่เติบโตขึ้นโดยเฉลี่ย ซึ่งจะทำให้เงินปันผลของเราเติบโตขึ้นเช่นกัน
ข้อนี้หมายความว่าต่อไปในภายภาคหน้าเราจะได้รับเงินปันผลสูงขึ้นทำให้เรามีรายได้ต่อปีมากขึ้นตามผลประกอบการของบริษัท แต่ก็มีบางกรณีที่รายได้ของบริษัทปรับตัวลดลง ซึ่งถ้าเป็นแค่การปรับลดลงชั่วคราวก็แล้วไป
แต่ถ้าเป็นการปรับแบบถาวร เช่น ธุรกิจสื่อ กระดาษ หรือภายใต้ภาวะโควิท เราไม่อาจแน่ใจได้ว่าหุ้นปันผลหลายตัวอาจได้รับผลกระทบในระยะยาวหรือไม่ สุดท้ายคือการลงทุนในห้องชุด ซึ่งมีข้อดีที่ลงทุนไม่มากและมีโอกาสที่ค่าเช่าจะปรับตัวเพิ่มขึ้น หรือมูลค่าห้องชุดมีราคาสูงขึ้น แต่ก็มีความเสี่ยงที่อาจหาผู้เช่าไม่ได้ เป็นต้น
1
โฆษณา