27 พ.ค. 2020 เวลา 03:06 • การศึกษา
กับดักความสำเร็จ
ความสำเร็จ เป็นสิ่งที่น่าภาคภูมิใจ แต่การยึดติดในความสำเร็จที่ได้มานั้นเป็นอุปสรรคต่อความเจริญก้าวหน้า เพราะความสำเร็จที่ยิ่ง ๆ ขึ้นไป ล้วนต้องอาศัยการปรับปรุง เปลี่ยนแปลง พัฒนาอย่างต่อเนื่อง
เมื่อทุกสิ่งในโลกล้วนเปลี่ยนแปลง ผู้ที่สามารถปรับความคิดปรับยุทธวิธีต่างๆได้ทันการณ์ ย่อมได้รับประโยชน์จากการเปลี่ยนแปลงนั้น และนี่คือเหตุผลสำคัญประการหนึ่ง ที่ทำให้คนบางคน มีความสำเร็จที่โดดเด่น ล้ำหน้ากว่าคนทั่วไป
แต่ใน "ดี" บางทีก็มี "เสีย"
หมายถึงว่า ผู้ที่ทำงานจนประสบความสำเร็จอย่างมากมายนั้น บางทีก็อาจทำให้ภูมิใจแล้วก็ไปยึดติดกับความสำเร็จนั้นมากเกินไปจนกระทั่งหวังจะนำวิธีการที่ตัวเองเคยประสบความสำเร็จนั้นไปใช้กับเรื่องอื่น ๆที่เกิดขึ้นมาภายหลังด้วย ทั้งๆที่สิ่งแวดล้อมได้เปลี่ยนแปลงไปมากแล้วหรือเป็นสถานการณ์คนละอย่าง ซึ่งก็จะทำให้พลาดได้เหมือนกันกลายเป็น "กับดักความสำเร็จ"
มีตัวอย่างที่น่าสนใจ เช่นในประเทศจีน เหมาเจ๋อตุง คือผู้ที่ได้รับการยอมรับว่าเป็นนักยุทธศาสตร์ที่มีความสามารถอย่างยิ่ง เขาได้รวบรวมผู้คนต่อสู้ขับไล่เจียงไคเช็คให้พ้นจากอำนาจจนต้องหลบไปอยู่ไต้หวัน ทั้งที่เจียงไคเช็คได้รับการสนับสนุนจากสหรัฐอเมริกา มีกำลังอาวุธทุกอย่างพร้อมกว่ากันมาก แต่เหมาเจ๋อตุงได้เลือกใช้ยุทธศาสตร์กองโจร ทำนองว่า
"เอ็งมาข้ามุด เอ็งหยุดข้าแหย่ เอ็งแย่ข้าตี เอ็งหนีข้าตาม"
โดยเริ่มจากป่าล้อมชนบท ชนบทล้อมเมือง เมืองล้อมเมืองหลวง
ไล่เข้ามาเรื่อย ๆ จนกระทั่งประสบความสำเร็จสามารถยืดอำนาจได้ในที่สุด
Cr : chinazctv.com
กว่าจะถึงจุดนี้ได้นั้น พรรคคอมมิวนิสต์จีนต้องมีการปรับตัวอย่างมากทีเดียว เริ่มต้นจากที่หวังว่าจะใช้วิธีการแบบเดียวกันกับสหภาพโซเวียต คือจะเปลี่ยนแปลงจากในเมืองโดยอาศัยกรรมกร แต่ด้วยเหตุที่สังคมจีนเป็นสังคมเกษตรกรรม จำนวนกรรมกรในเมืองมีอยู่เพียงน้อยนิดเมื่อเทียบกับประชากรทั้งประเทศ พอกรรมกรลุกฮือขึ้นต่อสู้ ก็ถูกเจ้าหน้าที่ล้อมปราบ
สุดท้ายก็แพ้พ่าย เหมาเจ๋อตุงจึงปรับวิธีการใหม่โดยการไปตั้งฐานที่มั่นอยู่ที่จิงกังซานสร้างเขตปลดปล่อยขึ้นมาค่อย ๆ สะสมกำลัง สะสมความรู้ ประสบการณ์จากชีวิตจริงจนตกผลึกสรุปได้ว่า ถ้าจะต่อสู้ขณะที่มีกำลังน้อยกว่าเช่นนี้ต้องอาศัยภูมิประเทศที่กว้างใหญ่ไพศาล เป็นที่ซ่องสุมกำลัง แล้วใช้ยุทธศาสตร์กองโจรคอยก่อกวนโจมตี จนอีกฝ่ายอ่อนกำลังลง จึงรุกไล่โอบล้อมจากป่า เข้ามาสู่เมือง และในที่สุดก็สามารถรวบรวมประเทศจีนเป็นหนึ่งเดียวกันโดยต่อมาได้สถาปนาเป็นสาธารณรัฐประชาชนจีน
เมื่อรวมประเทศได้ในปี พ.ศ. 2492 เหมาเจ๋อตุงภูมิใจในความสำเร็จของตนเองและก็คิดจะใช้วิธีการแบบเดียวกันในการพัฒนาประเทศ จึงประกาศแผนพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศแบบก้าวกระโดดครั้งใหญ่ โดยตั้งเป้าหมายจะพัฒนาอุตสาหกรรมของประเทศให้โตขึ้นนับสิบเท่าในเวลาเพียง 5ปี ถ้าเทียบกับปัจจุบันนี้ก็คือจะต้องทำ GDP ให้โตถึง 60 - 70 % ต่อปีเลยทีเดียว
ซึ่งความเป็นจริงในทางเศรษฐศาสตร์นั้นเป็นไปไม่ได้ เพราะการพัฒนาเศรษฐกิจต้องมีพื้นฐานพัฒนาเป็นขั้นตอน และถ้าต้องเร่งรัดเกินไปก็จะเกิดภาวะเศรษฐกิจร้อนจัดเกินไปหรือที่เรียกว่า Over Heat แต่เหมาเจ๋อตุงกลับดึงดันบอกว่า ต้องทำได้ถ้าหากว่าสามารถปลุกระดมมวลชนให้คนจีนทั้งประเทศลุกฮือขึ้นมาพัฒนาเศรษฐกิจด้วยหัวใจนักสู้ รบชนะศึกสงครามยังทำได้มาแล้ว ทำไมกับแค่การพัฒนาเศรษฐกิจจะทำไม่ได้เล่า
1
ประธานเหมาเจ๋อตุง
คนจีนทั้งประเทศเคารพรักประธานเหมาเจ๋อตุงของเขามากจึงพยายามเดินตามนโยบายกันเต็มที่ แต่ว่าเนื่องจากการตั้งเป้าหมายในครั้งนี้ ไม่อยู่บนพื้นฐานของสภาพความเป็นจริง วิธีการที่ใช้ก็ไม่เหมาะสม
ผลจึงเกิดความเสียหายอย่างใหญ่หลวง ตัวอย่างเช่นในการเพิ่มผลผลิตเหล็กกล้า นักเรียนใน ร.ร.มัธยมได้ช่วยกันขุดหลุมที่สนามฟุตบอล เพื่อสร้างเตาเผาเหล็กจากนั้นพากันไปเอาตะหลิวกระทะจากบ้านมาหลอมเพื่อจะให้ได้ผลผลิตเหล็กสนองนโยบายท่านประธาน แต่เนื่องจากความร้อนของเตาเผาไม่ถึงระดับ สิ่งที่ได้จึงกลายเป็นเหล็กพรุน ๆ เป็นการทำงานที่ขาดความรู้ ไม่มีความเป็นมืออาชีพด้านการเพิ่มผลผลิตทางด้านการเกษตรก็เช่นกัน มักมีข่าวว่า ที่นั้นที่นี้ประสบความสำเร็จโดยใช้เทคนิคพิเศษ เช่นเปิดพัดลมเป่าไปในทุ่งนา
แล้วข้าวออกรวงเพิ่มขึ้นสามเท่าห้าเท่า คนก็พากันทำตามอย่างเป็นการใหญ่ แต่เรื่องราวของความผิดพลาดสูญเสียเช่นนี้ ไม่สามารถมาถึงเหมาเจ๋อตุงได้ สิ่งที่มาถึงหูเหมาเจ๋อตุงมีแต่ข่าวดีข่าวความสำเร็จ เพราะเหมาเจ๋อตุงในเวลานั้นได้กลายเป็นบุคคลสำคัญแทบจะเปรียบได้กับเทพเจ้า จึงไม่มีใครกล้าทำให้ขัดเคืองใจเลย ทั้งที่เศรษฐกิจของประเทศกำลังล่มสลาย เกิดการรวนถอยหลังครั้งใหญ่ เพราะทุกคนต้องมุ่งมั่นให้ได้ผลงานตามที่ท่านประธานตั้งเป้าเอาไว้ งานประจำถูกละเลยสิ่งต่าง ๆ จึงบิดเบี้ยวไปจากความเป็นจริง
1
เหมาเจ๋อตุงเองก็รู้สึกข้องใจอยู่เหมือนกันว่าทำไมมีแต่ข่าวดีจึงเริ่มส่งคนใกล้ชิดออกไปสืบข้อมูล แต่ยังไม่ทันได้เรื่องได้ราวกลับมาก็ปรากฏว่า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม จอมพลเผิงเต๋อไหวซึ่งเคยเคียงบ่าเคียงไหล่ร่วมรบกันมา ได้เขียนจดหมายหนึ่งหมื่นตัวอักษรถึงเหมาเจ๋อตุงด้วยสำนวนทหารตรงไปตรงมาว่า ท่านประธานกำลังทำให้ประเทศล่มจม ข้อความที่รุนแรงเช่นนี้ ทำให้เหมาเจ๋อตุงรับไม่ได้
เพราะหลังจากรวมประเทศจีนสำเร็จและได้ขึ้นมาเป็นประธานของประเทศ ตลอด 10 ปีที่ผ่านมามีแต่คำชื่นชม เหมาเจ๋อตุงจึงยิ่งเกิดทิฐิมานะเดินหน้าสู้ต่อ
โจวเอินไหล
ทางด้านโจวเอินไหลนายกรัฐมนตรี เติ้งเสี่ยวผิงเลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์ และเผิงเต๋อไหวจึงได้แต่ปลอบใจกันเองว่า "ไม่เป็นไรเวลาอยู่ข้างเรา" คือ ยิ่งเวลาผ่านไปก็จะยิ่งพิสูจน์ว่าสิ่งที่ท่านประธานเหมาทำนั้นไม่ถูกต้อง
1
แต่เหมาเจ๋อตุงเป็นนักยุทธศาสตร์จึงไม่ปล่อยให้ตัวเองเสียเปรียบ เมื่อโอกาสเหมาะเขาก็เปลี่ยนแนวทางการต่อสู้โดยปลุกระดมเด็ก ๆ ขึ้นมาแทน คือสร้างขบวนการเรดการ์ด (Red Guards)ขึ้นมา เริ่มที่เด็กมัธยมต่อมาก็ขยายไปถึงนักศึกษามหาวิทยาลัย โดยให้ทหารหนุนหลัง ใครที่เป็นฝ่ายตรงข้ามก็ให้เรดการ์ดไปล้อมบ้านตั้งลำโพงด่า 7 วัน 7 คืนให้เสียเครดิต
จากนั้นก็ปลดออกจากตำแหน่ง ด้วยข้อกล่าวหาว่าเป็นพวกลัทธิแก้(หมายถึง ผู้ที่ไม่ได้ยึดมั่นในอุดมการณ์คอมมิวนิสต์อย่างแท้จริงมีความคิดแบบทุนนิยมแฝงอยู่) ต้องส่งไปศึกษาทบทวนตัวเอง โดยให้ไปเป็นคนงานในชนบท จากคนใหญ่คนโตผู้บริหารระดับสูงถูกส่งไปเป็นกรรมกรอยู่ในโรงงานก็มี เรียกว่าจัดการไปที่ละคน ๆ ไม่ปล่อยให้เวลาผ่านไปอย่างที่ตัวเองจะเสียเปรียบโดยเรียกว่าเป็นการปฏิวัติวัฒนธรรมกินระยะเวลายาวนานถึง 10 ปี นับตั้งแต่ปี พ.ศ. 2509 - พ.ศ. 2519แท้จริงแล้ว ตลอด 10ปี นี้คือสงครามการเมืองแบบอ่อน ๆ ในประเทศจีนซึ่งได้สร้างความเสียหายอย่างมหาศาล
เราจะเห็นได้ว่าจากจุดเริ่มต้นที่เป็นความปรารถนาดีแท้ ๆอยากให้ประเทศเจริญก้าวหน้าแต่เมื่อใช้วิธีการที่ผิดเพราะไปยืดติดกับความสำเร็จเดิม ๆ หวังจะใช้วิธีการเดิม มาแก้ปัญหาอย่างอื่นซึ่งไม่เหมือนกัน ที่สำคัญคือ เมื่อรู้ว่าผิดกลับไม่ยอมแก้ไข ยังฝืนดึงดันต่อไปด้วยการใช้เกมการเมือง มุ่งเอาชนะกำจัดศัตรูคู่แข่ง ผลคือประเทศเสียหายยับเยิน ต้องรอจนเหมาเจ๋อตุงตาย เติ้งเสี่ยวผิงกลับมามีอำนาจ และใช้วิธีที่ว่า
"แมวสีอะไรก็ได้ขอให้จับหนูได้ก็ถือเป็นแมวที่ดี"
คือจะดูว่าวิธีการไหนถูกหรือผิดอย่าเสียเวลาเถียงกันทางทฤษฎีมากเกินไปไตร่ตรองให้ดีแล้วลองทำดู จากนั้นให้สังเกตที่ผลลัพธ์ว่าออกมาดีหรือไม่ ถ้าออกมาดีก็แสดงว่าวิธีการนั้นใช้ได้ ขณะเดียวกันสิ่งใดที่คิดว่าดีแต่เมื่อทำแล้วออกมาไม่ดีแสดงว่าใช้ไม่ได้ ก็ต้องปรับวิธีการใหม่
เมื่อเติ้งเสี่ยวผิงใช้วิธีการที่ถูกต้องเหมาะสม เศรษฐกิจจีนจึงได้รับการปลดปล่อยจากระบบเดิม เปลี่ยนมาตั้งอยู่บนฐานแนวคิดที่เป็นเหตุเป็นผล เกิดการเติบโตอย่างต่อเนื่องจนกระทั่งผงาดขึ้นมาเป็นอันดับสองของโลกในยุคนี้
ดังนั้นถ้าเราอยากจะรับมือให้ทันกับความเปลี่ยนแปลง จะต้องไม่ยึดติดกับความสำเร็จเดิม ๆ อย่ามุ่งหวังแต่จะนำวิธีการที่เคยทำงานแล้วประสบความสำเร็จมาใช้อีกในสิ่งแวดล้อมที่เปลี่ยนไป ถ้าจะนำมาใช้ต้องพิจารณาดูว่าสิ่งแวดล้อมยังเหมือนเดิมไหม เงื่อนไขต่าง ๆ ยังเหมือนเดิมหรือไม่ ถ้าไม่เหมือนเดิมเราต้องมีการปรับกระบวนการในการทำงาน ถ้าสิ่งแวดล้อม เงื่อนไขปัจจัย เปลี่ยนไปมาก เราก็ยิ่งต้องปรับมาก ถ้าเปลี่ยนน้อยก็ปรับน้อย ว่าไปตามส่วน ต้องใช้วิธีการที่เหมาะสมที่สุดกับความเปลี่ยนแปลงรอบตัวเรา
วิธีการนี้ใช้ได้ทั้งในระดับปัจเจกบุคคลจนถึงระดับประเทศและใช้ได้ในทุก ๆ หน่วยงาน ดังตัวอย่างที่เกิดขึ้นมากมายให้เราได้ศึกษา เช่นกรณีของบริษัท IBM ที่เคยผงาดขึ้นมาเป็นบริษัทอันดับหนึ่งของโลกในยุคหนึ่ง แต่เมื่อติดอยู่กับวิธีการแบบเก่าไม่ทันเห็นความเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยี ในขณะที่บิลเกตส์เห็นการเปลี่ยนแปลง มองออกว่าต่อจากนี้ไปสิ่งที่จะทำกำไรนั้นไม่ใช่ฮาร์ดแวร์ไม่ใช่ตัวเครื่องคอมพิวเตอร์อีกต่อไป แต่จะเป็นซอร์ฟแวร์แทน
ในช่วงที่บิลเกตส์จับงานตรงนี้ เป็นช่วงเวลาที่ IBM เป็นยักษ์ใหญ่อันดับหนึ่งของโลก ขณะที่บิลเกตส์กับไมโครซอร์ฟของเขายังอยู่ในโรงรถอยู่เลย แต่เวลาผ่านไปแค่ 10 กว่าปี IBM ผลประกอบการตกต่ำจนเกือบล้มละลายต้องเปลี่ยนตัวผู้บริหารปฏิรูปบริษัทขนานใหญ่ แต่ไมโครซอร์ฟกลับเติบโตอย่างรวดเร็วจนกลายเป็นบริษัทอันดับหนึ่งของโลกแทน และช่วงหนึ่งไมโครซอฟท์มีมูลค่าของหุ้นโดยรวมทั้งบริษัทถึง 1 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐคิดเป็นเงินไทยประมาณ 30 ล้านล้านบาท ความสำเร็จความก้าวหน้ามาจากวิสัยทัศน์ที่ถูกต้องและมองเห็นความเปลี่ยนแปลงของโลกที่เปลี่ยนไปนั่นเอง
ต่อมาก็ถึงคราวที่ Google ผงาดขึ้นมา ขณะที่บิลเกตส์มองข้ามความสำคัญของอินเตอร์เน็ต เห็นว่าเป็นของเด็กเล่น แต่นักศึกษาปริญญาเอก 2 คนจากมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด จับทางถูกรู้ว่าอินเตอร์เน็ตจะทวีความสำคัญขึ้นเรื่อย ๆ และมองว่าต่อไปข้อมูลในอินเตอร์เน็ตจะมีมากมายมหาศาลจนคันหาข้อมูลได้ยาก
ดังนั้นหากสร้างโปรแกรม search engine ขึ้นมาเป็นเครื่องมือช่วยในการหาข้อมูลน่าจะได้รับความนิยม ทั้งสองจึงจับมือกันตั้งบริษัท Googleขึ้น เวลาผ่านไปแค่ 7-8 ปี Google กลายเป็นบริษัทใหญ่ที่มีมูลค่าหุ้นตามราคาตลาดเป็นหลักแสนล้านเหรียญ ที่เป็นเช่นนี้ได้ก็เพราะมองเห็นการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นทำให้จับทางได้ถูก สามารถปรับเปลี่ยนพัฒนาวิธีการสร้างความสำเร็จให้เกิดขึ้นได้
การเปลี่ยนแปลงของโลกขณะนี้เกิดขึ้นเร็วมาก ใครรับมือทันก็เจริญเติบโตต่อไป ใครรับมือไม่ทันก็จะล้มหายตาย เมื่อสิ่งแวดล้อมในการทำธุรกิจเปลี่ยนแปลงเร็วมากเช่นนี้ เราจึงต้องตามการเปลี่ยนแปลงให้ทัน อย่ายืดติดกับความสำเร็จเดิม ๆ แต่ให้หมั่นสังเกตหาข้อมูลดูการเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งต้องรับฟังความเห็นของคนอื่น แม้เราจะเป็นผู้นำที่มีความรู้ ความสามารถ อยู่แล้วก็ตาม
ยิ่งถ้าหากเป็นผู้นำระดับสูง มีลูกน้องบริวารมาก ยิ่งต้องระมัดระวัง เพระจะมีคนที่ประจบเอาใจเพราะหวังจะพึ่งบารมี หวังผลประโยชน์ พวกนี้จะเห็นดีเห็นงามไปกับเราทุกเรื่อง เราจะได้ฟังแต่คำสรรเสริญ คำชื่นชม อย่าเพลิดเพลินกับสิ่งเหล่านั้น เพราะจะทำให้เราพลาด ไม่ได้รับข้อมูลที่แท้จริง
ในทางตรงกันข้ามเราต้องกล้าที่จะรับฟังความคิดเห็นที่แตกต่างรับฟังคำแนะนำตักเตือนด้วยความหวังดีของบุคคลอื่นด้วย เราถึงจะได้รับข้อมูลที่แท้จริง และสามารถตัดสินใจแก้ปัญหาได้ถูกต้องเหมาะสมกับสถานการณ์นั้น ๆ ให้มองว่าใครที่เข้ามาหาเรา แล้วกล้าให้ข้อมูลความจริง กล้าที่จะแย้งเมื่อเห็นในสิ่งที่ไม่ถูกต้อง คนเช่นนี้เป็นคนที่มีคุณค่า
ฮ่องเต้จีนในประวัติศาสตร์ก็เช่นกัน องค์ไหนที่ชอบแต่คนประจบสอพลอ ผลก็คือราชวงศ์ล่มสลาย แต่ถ้าเลือกที่จะใช้ขุนนางที่กล้าทักท้วง กล้ารายงานกราบทูลความจริงก็จะประสบความสำเร็จราชวงศ์และประเทศชาติก็รุ่งเรือง ประชาชนก็อยู่ด้วยความผาสุกเรื่องราวเหล่านี้เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นทุกยุค ทุกสมัย เราจะรับมือความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องได้ ต้องอย่ายึดติดกับความสำเร็จเดิม อย่าใช้วิธีการเดียวกันในการแก้ปัญหาทุกสิ่ง แต่จงใช้ตาดูหูฟัง ใจเปิด พร้อมรับฟังข้อมูลความคิดเห็นจากทุกๆ คน แล้วเราจะไม่พลาด เราจะประสบความสำเร็จในการรับมือกับการเปลี่ยนแปลงทุกชนิด
เจริญพร
โฆษณา