Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
นิพัทธ์พร เพ็งแก้ว
•
ติดตาม
31 พ.ค. 2020 เวลา 05:43 • ประวัติศาสตร์
บันทึกจากหมู่บ้านไทใหญ่(๑)
เรื่อง/ภาพ นิพัทธ์พร เพ็งแก้ว
ในเดือนพฤศจิกายน พ.ศ.๒๕๔๕ ดิฉันได้ขึ้นไปเมืองเชียงใหม่ เพื่อพบกับน้องผึ้ง น้องสาวที่รัก คุณวันดี สันติวุฒิเมธี ซึ่งขณะนั้นเธอเพิ่งมีอายุราว ๒๖ ปี และได้เข้าไปทำวิทยานิพนธ์ปริญญาโททางมานุษยวิทยาเกี่ยวกับวัฒนธรรม ชุมชน การต่อสู้ของทหารไทใหญ่ ที่หมู่บ้านเปียงหลวง อ.เวียงแหง จ.เชียงใหม่
ชีวิตตรากตรำของผู้อพยพชาวไทใหญ่ เข้ามาเป็นคนงานก่อสร้างที่เชียงใหม่(มีนาคม ๒๕๔๘)
น้องผึ้งเป็นนักเขียนของนิตยสารสารคดี เราทำงานอยู่สำนักงานเดียวกัน เมื่อผึ้งเข้าไปเก็บข้อมูล เขียนหนังสือในหมู่คนไทใหญ่ที่พี่ๆเพื่อนๆแทบไม่รู้จักพวกเขาเลย เราจึงห่วงใยและนับถือในจิตใจกล้าหาญ และเต็มไปด้วยความใฝ่รู้ และเมตตาจิตของผึ้งมาก ครั้นได้คุยกับผึ้งหลายครั้ง ผึ้งก็ชวนดิฉันเข้าไปดูชุมชนคนไทใหญ่บ้านเปียงหลวง ที่อ.เวียงแหง ให้เห็นซะเลย ว่าพวกเขาอยู่กันอย่างไร มีวิถีชีวิต ความคิด การต่อสู้ทางการเมืองกับรัฐบาลพม่ามาอย่างไร
นั้นเป็นเหตุเริ่มแรก ที่ทำให้ดิฉันเข้าไปทำงานกับชุมชนคนไทใหญ่ ทั้งทหาร หมอสมุนไพรพื้นบ้าน นักวิชาการ ประชาชน ครู และเด็กกำพร้าไทใหญ่มายาวนานจนบัดนี้
ในปลายปีพ.ศ.๒๕๔๕ ดิฉัน น้องผึ้ง และน้องสาวที่รักอีกคนหนึ่ง ได้เช่ารถจากเชียงใหม่ขับตามสันดอยขึ้นไปที่หมู่บ้านเปียงหลวง ในขณะนั้นพี่ชายที่รักและนับถือยิ่งของดิฉัน คือพี่แพะ หรือดร.วีระ สมบูรณ์ อาจารย์คณะรัฐศาสตร์ จุฬาฯ ได้ขึ้นไปทำงานที่เชียงใหม่พอดี ดิฉันจึงชวนพี่แพะ แวะเข้าไปที่บ้านพักฟาร์ม ๖๓ อ.เชียงดาว ซะด้วยกัน
บ้านริมน้ำปิง ฟาร์ม ๖๓ นี้เป็นบ้านของพี่ปุ๋ง พี่พัชรินทร์ สุกัณศีลที่เอื้อเฟื้อให้ดิฉัน น้องผึ้ง น้องสาวอีกคน และพี่แพะได้ไปพักผ่อน บ่ายพวกเราสาวๆ ๓ คนกระโดดตูมๆเล่นน้ำปิงบันเทิงใจ พี่แพะนั่งจิบกาแฟเพลิดเพลิน อยู่ที่บ้าน รอบข้างเป็นป่าริมน้ำปิง อากาศเย็นสดชื่นมาก
เป็นวันดีมากๆในความทรงจำ ยามค่ำคืนตรงระเบียงบ้านที่ยื่นไปน้ำปิง พวกเรานั่งคุยกันเรื่องต่างๆ หลากหลาย จำได้ว่าดิฉันเพิ่งกลับมาจากการทำงานริมทะเลสาบสงขลาได้ไม่นาน ยังได้นั่งคุยกับพี่แพะเรื่องของนานาขุนโจรทะเลสาบอยู่จนดึกดื่น พี่แพะแนะให้เขียนสารคดีชุดนี้ออกมา ถ้ายังไม่ได้เขียนก็พูดใส่เทปไว้ก่อน แล้วค่อยมาทำเป็นบทความอีกที
เสียดายที่ไม่ได้ทำอย่างที่พี่แพะแนะนำไว้ บทวิเคราะห์หลายอย่างเกี่ยวกับขุนโจรทะเลสาบสงขลา จึงลืมเลือน สูญหายไปกับกาลเวลา มีแต่ข้อมูลสัมภาษณ์ในสมุดบันทึกเท่านั้น ที่ยังอยู่ยั้งยืนยงมาจนบัดนี้
เช้ารุ่งขึ้น เราไปกินขาหมูเชียงดาวแสนอร่อย พี่แพะขึ้นรถโดยสารกลับเชียงใหม่ และจะกลับกรุงเทพฯในบ่ายวันนั้น ส่วนพวกเราก็ขับรถกันต่อ ลัดเลาะไปตามเส้นทางระหว่างภูเขา ขึ้นไปที่อ.เวียงแหง
เราไปถึงเวียงแหงตอนเย็นย่ำ พักที่เกสต์เฮ้าส์เล็กๆในหมู่บ้านเปียงหลวง น้องผึ้งบอกว่า เกสต์เฮ้าส์แห่งนี้หลายครั้งคือสถานที่ “ฮันนีมูน” ของหนุ่มสาวไทใหญ่ในบ้านเปียงหลวง เพราะเมื่อพวกเขาเข้าพิธีแต่งงานแล้ว ไม่มีเงินที่จะออกไปพักผ่อนฮันนีมูนนอกหมู่บ้าน ก็เลยใช้บริการเกสต์เฮ้าส์ในหมู่บ้าน ดื่มน้ำผึ้งพระจันทร์ ชมเดือนด้วยกัน
รอยสักบนแผ่นหลังของพี่บัวหอม อดีตทหารหญิงไทใหญ่ ในสมัยกองทัพขุนส่า เมิงไตอาร์มี่ (พฤศจิกายน ๒๕๔๕)
ช่วง ๓-๔ วันในหมู่บ้านเปียงหลวง ดิฉันสัมภาษณ์ผู้คนหลากหลาย ทั้งครู หมอ เด็ก พยาบาล คนเฒ่า ทหารหญิง พวกเขาเล่าเรื่องชีวิตของคนไทใหญ่ให้ฟังอย่างน่าตื่นตาตื่นใจมาก สำหรับดิฉัน ผู้ที่ทำงานหลายปีมานี้อยู่แต่เขตภาคใต้ รอบทะเลสาบสงขลา
ดิฉันจดบันทึกคำบอกเล่าจากคนไทใหญ่มาอย่างละเอียด ไม่กี่วันถัดมา ดิฉันนัดพบกับพี่นายทหารไทยที่รักมากๆคนหนึ่ง เราไม่เจอกันมาสิบกว่าปีแล้ว แทบไม่ได้ติดต่อกัน เพิ่งมีโอกาสดีที่ดิฉันมาเชียงใหม่ จึงได้พบปะ พี่ชายถามว่า น้องอยากสัมภาษณ์เจ้ายอดศึก ผู้นำSSA ไหม
ดิฉันปฏิเสธ เพราะต้องกลับกรุงเทพฯแล้ว ไม่มีเวลาเพียงพอ และเรื่องการทำข่าวสงครามชายแดนไทย-พม่า ไม่ใช่ความถนัดของดิฉัน
ไม่น่าเชื่อว่าหลังจากพบพี่ชายเพียง ๒ ปี ตั้งแต่ปลายปีพ.ศ.๒๕๔๗ เป็นต้นมา ดิฉันต้องเข้าไปทำงานในพื้นที่สู้รบชายแดนไทย-พม่า ยาวนานมาจนบัดนี้
คงเป็นเรื่องของ “โชคชะตา” ที่จัดวางตัวเรา ให้ไปอยู่ในบางแห่งหน ซึ่งเราเองไม่เคยคาดคิด หรือนึกฝัน
และเรื่องต่อไปนี้ ที่ดิฉันนำมาฝากผู้อ่าน คือเรื่องของอดีตทหารหญิงไทใหญ่กับการต่อสู้ในวันวานของพวกเธอ
ซึ่งมิใช่เพียงแค่เรื่องโชคชะตาของเธอเหล่านั้น แต่เป็นชะตากรรมอันหนักหน่วงที่คนทั้งรัฐฉานต้องเผชิญมายาวนาน หลายสิบปีแล้ว
และพวกเขาก็ยังคงเต็มเปี่ยมด้วยความหวังที่จะได้พบชีวิตปกติ สงบสุข ได้ตื่นเช้าขึ้นมาอย่างมีอิสรภาพ มีเสรีภาพบริบูรณ์ ไม่ต้องกลัวใครเข้ามากระชากคอเขาออกจากที่นอน ลากมาฆ่า ปล้นชิง หรือทำร้ายพวกเขา
ทหารไทใหญ่คนหนึ่งบอกดิฉันว่า เขามั่นใจ รัฐฉานต้องพบสันติธรรมแน่ ในวันหนึ่งข้างหน้า เพราะเป้าหมายอยู่ที่เดิม ขณะที่พวกเขากำลังถางเส้นทางสู่เป้าหมายทุกวัน ระยะทางจึงต้องสั้นลงทุกวัน โอกาสที่ชีวิตคนไทใหญ่ทั้งรัฐฉานจะได้มีสันติภาพ อิสรภาพ ความเป็นอยู่ที่ดีกว่าทุกวันนี้ จะต้องมาถึงแน่ๆ ในวันหนึ่งข้างหน้า
พวกเขายังเต็มเปี่ยม... ด้วยความหวังเช่นนั้น
ผู้หญิงไทใหญ่กับลูกเล็กในหมู่บ้านผู้อพยพ บนดอยไตแลง (มีนาคม ๒๕๔๘)
♥️หัวใจไม่เคยพ่ายแพ้♥️
ตีพิมพ์ครั้งแรกในนิตยสาร ELLE สิงหาคม ๒๕๔๖
ตีพิมพ์ครั้งที่ ๒ ในหนังสือก่อนตะวันฉาย “ฉาน” สนพ.openbooks ๒๕๕๐
โลกของผู้หญิงนั้นมีหลากหลายมิติ มหาตมะคานธี ผู้เป็นแนวหน้าของการใช้หลักอหิงสา หรือหลักการไม่ใช้ความรุนแรง ยืนหยัดต่อสู้เพื่อปลดปล่อยประเทศอินเดียออกจากเจ้าอาณานิคมอังกฤษ…ได้เคยกล่าววาทะอันจับใจในครั้งหนึ่งว่า…สตรีคือเทพเจ้าแห่งความอดทนที่อวตารลงมาเป็นมนุษย์…และยังมีภาษิตเก่าแก่กล่าวไว้ด้วยว่า “สตรีคือผู้แบกโลกเอาไว้ครึ่งหนึ่ง” ทัดเทียมกับผู้ชาย
แต่ในภูมิภาคต่างๆ ของโลก ภารกิจที่ผู้หญิงแบกรับเอาไว้มิใช่เพียงหน้าครัวไฟ การดูแลให้ความอบอุ่นแก่สมาชิกครอบครัว หรือการรับผิดชอบงานนอกบ้าน เพื่อให้เกิดความมั่นคงทางเศรษฐกิจ…เท่านั้น ในประเทศพม่าซึ่งสถานการณ์ทางการเมืองเต็มไปด้วยความรุนแรงและสับสน บนแผ่นดินแห่งสงครามที่เต็มไปด้วยการใช้อำนาจและความรุนแรงต่อประชาชนพม่า ต่อชนกลุ่มน้อยทั้งกะเหรี่ยง มอญ ไทใหญ่ คะยา คะฉิ่น ฯลฯ ผู้หญิง เด็ก คนสามัญบนแผ่นดินนั้น ต่างตกเป็น “เหยื่อ” ของ “อำนาจ”
ชีวิตของผู้หญิงชนกลุ่มน้อยในประเทศพม่ามิได้ปกติสุขเช่นผู้หญิงในแผ่นดินอื่น ภารกิจของการแบกโลกไว้ครึ่งหนึ่ง มิใช่อยู่เพียงแค่ ห้องครัว ห้องนอน การดูแลครอบครัวรักษาบ้านช่องให้เรียบร้อย หรือช่วยทำมาหากินเพื่อความมั่นคงทางเศรษฐกิจ แต่ยังรวมถึงการพยายามอดทนต่อสู้ทางสังคมและวัฒนธรรม เพื่อรักษาเอกลักษณ์ของกลุ่มชนของตนเอาไว้
เหมือนดังชีวิตของแม่สาแลงฟ้า ป่างนวล ผู้หญิงไทใหญ่ วัย ๕๒ ปีที่บอกเล่าเรื่องราวต่างๆในชีวิตของเธอให้เราได้รับฟัง…
แม่สาแลงฟ้า ที่บ้านเปียงหลวง อ. เวียงแหง จ.เชียงใหม่ (พฤศจิกายน ๒๕๔๕)
💂♀️เส้นทางทหารหญิง
แม่สาแลงฟ้า ป่างนวล เกิดที่เมืองลางเคอ ใกล้เมืองปั่น รัฐฉาน ประเทศพม่า เมื่อปีพ.ศ.๒๔๙๓ หลังสหภาพพม่าได้เอกราชจากอังกฤษ ๓ ปี ในครั้งที่จำความได้ แลงฟ้าเล่าว่าเมืองลางเคอเป็นเมืองเล็กๆ สงบสุข ผู้คนส่วนใหญ่ทำนาและทำสวนยาสูบ สมัยนั้นทหารพม่าเพิ่งเริ่มเข้ามาในรัฐฉาน ยังไม่ทำร้ายชาวบ้านไทใหญ่ ความทรงจำในวัยเด็กของแลงฟ้าจึงยังพอที่จะเหลือร่องรอยของความสงบร่มเย็น ยังจดจำทุ่งข้าวสีทองอร่าม และภูเขาสูง ฟ้าสดกระจ่าง ธารน้ำไหลริน …พื้นที่รัฐฉานสวยงามอากาศสดชื่น และมีภูมิภาพคล้ายคลึงกับเชียงใหม่ เชียงราย แม่ฮ่องสอนของเมืองไทย
แลงฟ้าได้เรียนหนังสือชั้นป.๑– ป. ๔ ที่ลางเคอ หลักสูตรทั้งหมดเป็นภาษาพม่า แต่สำหรับคนที่อยากเรียนเขียนอ่านภาษาไทใหญ่ ยังพอหาเรียนได้ตามวัด รัฐบาลพม่ายังไม่ปิดกั้นเรื่องการศึกษาภาษาและวัฒนธรรมของชนเผ่าต่างๆในสมัยนั้น ชนกลุ่มน้อยทั้งกะเหรี่ยง ไทใหญ่ มอญ คะฉิ่น คะยา ฯลฯ จึงพอจะมีมุมสงบเล็กๆ สำหรับชีวิตและความฝันบนแผ่นดินของตน
ทหารหญิงในฝ่าย “สายลม” หน่วยสื่อสารของSURA(Shan United Revolutionary Army พ.ศ. ๒๕๑๒–๒๕๒๘ มีเจ้ากอนเจิงเป็นผู้นำ) ภาพนี้ถ่ายที่เมืองปั่น ครั้งที่พันเอกเจ้ายอดศึก (คนนั่งลำดับที่ ๑ จากซ้าย) เพิ่งรับตำแหน่งคุมกำลัง เป็นรองคอลัมน์ เมื่อปี พ.ศ.๒๕๒๖ (ภาพ: SSA)
เป็นโชคดีที่แลงฟ้าได้เรียนจนถึงระดับวิทยาลัยครูที่เมืองย่างกุ้ง หลักสูตรครูยุคนั้นมีวิชาภาษาถิ่นของชนกลุ่มน้อยต่างๆ รวมถึงภาษาไทใหญ่ให้เรียนด้วย แลงฟ้าเล่าว่า มีเด็กไทใหญ่สมัครเรียนกันมากเพราะอยากเขียนอ่านภาษาของตัวเองได้ แต่เอาเข้าจริงไม่มีเด็กชนกลุ่มน้อยกลุ่มใดได้เรียนภาษาถิ่นของตัวตามที่ระบุไว้ในหลักสูตรเลย
ช่วงเรียนวิทยาลัยครูนี้เอง แลงฟ้าจำได้ว่า ทางวิทยาลัยประกาศจะพานักเรียนไปดูพิพิธภัณฑ์ที่ย่างกุ้ง เด็กไทใหญ่คึกคักและดีใจกันมาก แต่ก็เริ่มใจเสียกันทีละนิดเมื่อรถที่เหมามาพานักเรียนไปไกลจากตัวเมือง เดินทางห่างออกจากย่างกุ้งไปเรื่อยๆ ผ่านทุ่งนา ถนนดินแดงหลายสายและไปหยุดที่วัดเหย้าเกาะจูน เป็นวัดพม่าเล็กๆ คนเฝ้าประตูบอกว่าที่นี่คือพิพิธภัณฑ์ พวกนักเรียนไทใหญ่ตกใจกันมาก เพราะผ่านประตูเข้าไป ในห้องแคบๆของวัด มีของกองสุม ทั้งเก้าอี้ เตียงตั่ง เสื้อผ้า ซิ่น หนังสือ สมุดตัวเขียนไทใหญ่ เครื่องใช้ต่างๆของเจ้าฟ้า ฯลฯ ของเหล่านี้เคยอยู่ในพิพิธภัณฑ์ย่างกุ้ง แต่ถูกจับมาทิ้งเหมือนขยะในวัดอันห่างไกล เล็ก มืด ไม่มีใครคิดจะตามมาดูอีกแล้ว
นักเรียนไทใหญ่พูดไม่ออก ทุกคนรับรู้ตรงกัน ประวัติศาสตร์ของชาติพันธุ์ไทใหญ่กำลังถูกลบออกจากแผ่นดินพม่า
ความเปลี่ยนแปลงอันรุนแรงเข้ามาถึงชีวิตของคนไทใหญ่ในรัฐฉานทุกคนแล้ว
แลงฟ้าเรียนจบกลับไปเป็นครูที่เมืองลอยแหลม อาชีพ “ครู” ที่คนไทใหญ่เรียกว่า “แม่สา” ทำให้แลงฟ้าเป็นแม่สาที่นักเรียนรักนับถือมาก หากภายหลัง “แม่สา” เกิดปัญหากระทบกระทั่งกับข้าราชการพม่า จนตระหนักชัดว่าขืนอยู่ต่อไปไม่ถูกจับติดคุกก็คงถูกฆ่า ต่อสู้คนเดียวมันยาก จึงทำให้แม่สาแลงฟ้าตัดสินใจเด็ดขาดในวาระนั้น เธอระลึกย้อนเรื่องราวของวันวานให้ฟังว่า
“แม่สาได้ยินข่าวว่ามีกองกำลังกู้ชาติต่อสู้กับพม่า เพื่อเรียกร้องอิสรภาพ แม่จึงติดต่อไปทางลูกศิษย์ ลูกศิษย์แม่สาเป็นลูกเจ้ากั้นเจ็ดนายทหารระดับสูงของกองทัพSURA (Shan United Revolutionary Army) มีนายพลโม เฮง ที่คนไทใหญ่เรียกว่า พ่อเฒ่ากอนเจิงเป็นผู้นำ
ลูกศิษย์เขาชวนแม่สาไปเป็นทหาร เราพากันเดินทางจากลอยแหลมไปถึงบ้านสะเน็น ใกล้ปางโหลง เจ้ากั้นเจ็ดคุมพื้นที่ตรงนั้น แม่บอกว่าอยากเป็นทหารหญิง คนไทใหญ่เรียกทหารหญิงว่า “นางหาญ” แม่อยากออกแนวหน้า ขอออกไปรบ เจ้ากั้นเจ็ดเห็นแม่เป็นครูอยากจะให้สอนหนังสือแต่แม่ไม่ยอม ใจอยากรบอย่างเดียว แม่เข้าป่าในปีพ.ศ.๒๕๒๒ ตอนนั้นอายุได้ ๒๙ ปี มีลูกแล้ว ๑ คน สามีแม่เป็นคนปะโอ เรียนหนังสือมาด้วยกัน แต่แม่ทนคับใจไม่ไหว ยอมทิ้งครอบครัวไปกู้ชาติ ทั้งที่ห่วงลูกมาก ฝากให้ญาติพี่น้องเลี้ยงที่ลางเคอ เราอยู่ไม่ได้ เราต้องไป หน้าที่เพื่อชาติสำคัญกว่า”
แลงฟ้ายืนยันด้วยน้ำเสียงเด็ดเดี่ยว ถึงภารกิจกู้ชาติที่ทำให้เธอยอมละทิ้งทุกสิ่งทุกอย่างที่มีอยู่ในวันนั้น ทั้งสามี ลูก ความอบอุ่นในครอบครัว ทั้งที่รู้ดีว่า ต้องประสบกับความยากลำบากขนาดไหน รออยู่ข้างหน้า
บ้านเรือนของประชาชนไทใหญ่อพยพและครอบครัวทหาร ปลูกเรียงรายอยู่ตามไหล่เขาของดอยไตแลง (พฤษภาคม ๒๕๔๘)
“ในกองร้อยของแม่สา… แม่เป็นทหารหญิงคนเดียวคนอื่นเป็นทหารชายหมด เราต้องฝึกระเบียบวินัย เดินซ้าย ขวา ซ้าย ฝึกสวนสนาม ฝึกยิงปืน ฝึกการต่อสู้ใช้อาวุธ ฝึกการรบ ใช้วัดเป็นสถานที่ฝึก แล้วนอนบนศาลาวัดกันทั้งหมด ตรงฟากที่แม่นอนจะมีผ้ายางกั้น ทหารชายไม่มากวน เขาเป็นคนบ้านนอก ไม่ได้เรียนหนังสือ เขานับถือแม่ นับถือการศึกษาของแม่ เราเป็นครูเขาด้วย แม่ได้ไปสอนกายบริหารให้ทหารชายเพราะเราเรียนมา
แม่ฝึกหนักๆอยู่สามเดือน แล้วจึงถูกส่งต่อจากสะเน็นมาที่บ้านปางใหม่สูง ในเขตของพ่อเฒ่ากอนเจิง การเดินทางใช้เวลาสองสามเดือนเพราะเป็นเขตสู้รบ ขึ้นกับสถานการณ์ว่าเรียบร้อยแค่ไหน แต่พอมาเป็นนางหาญแม่ก็ต้องมีเรื่องร้องไห้อีก เพราะระหว่างฝึกทหาร ผู้ใหญ่เห็นว่าแม่เป็นโสด อยู่คนเดียว มันไม่งาม แม่ยังเป็นสาวไปรบไปกินนอนรวมกับทหารชาย บางคนมีเมียแล้ว เมียเขาจะว่าเอาได้ เวลาเราไปอาบน้ำไปคนเดียวก็ไม่งาม ผู้ใหญ่บอกว่า ถ้าแม่มีแฟนคงดีจะได้ไม่ถูกใครว่า เขาเลยหาสามีให้ แม่ถูกบังคับจนร้องไห้อยู่หลายคืน เราไม่อยากมีสามี ทิ้งครอบครัวมาเป็นนางหาญยังถูกบังคับให้มีสามีอีก เขาให้แม่เอาลูกศิษย์ที่รับใช้อยู่ทำสามี ผู้ชายคนนี้อายุน้อยกว่าแม่ ๑๐ ปี ยังเป็นเด็กหนุ่ม ผู้ใหญ่บอกว่าเอาคนนี้แหละจะได้ให้แม่สาใช้ต่อไป เวลาไปไหนจะได้เอาคนนี้ไปด้วยให้คอยดูแลแม่สา”
กับการถูกบังคับและความอัดอั้นใจ สิ่งเดียวที่แลงฟ้าทำได้ในขณะนั้นก็คือ “ความอดทน”
“สมัยนั้นปางใหม่สูงเป็นศูนย์บัญชาการใหญ่ แม่สามาถึงก็มาฝึกทางด้านการแพทย์ ฝึกกับแม่เฒ่าตานเท แม่เฒ่าเป็นหัวหน้าพยาบาลของโรงพยาบาลเปียงหลวง เราฝึกทำคลอด ฝึกทำแผล ดูแลคนเจ็บป่วย
เวลาทหารชายออกรบ แม่สากับพวกนางหาญคนอื่นๆจะอยู่ยาม คอยตรวจตราความเรียบร้อย พวกผู้ชายออกหน้าศึก บางครั้งผู้หญิงก็ต้องออกรบด้วย ระยะหลังมีผู้หญิงมาเป็นนางหาญมากขึ้น กลุ่มผู้หญิงฝึกทหารมีอยู่ ๒ กลุ่มคือพวกไม่มีสามี กับพวกมีสามีแล้ว คนมีสามีอยู่กับสามีตัวเอง คนไม่มีสามีจะไปทำโรงงานเฟอร์นิเจอร์ของกองทัพ ทำตู้ เตียง ตั่งนอน เป็นเครื่องไม้ฝังมุกส่งออกขายเมืองไทย ผู้จัดการโรงงานเป็นคนไทย เขาทำเรื่องน่ารังเกียจ นางหาญเจ็บใจมากเพราะเขาให้เอาหญิงไทใหญ่มาเรียนตอนกลางคืนคืนละคน เขาคงกะจะเอาเด็กสาวๆทั้งกองทัพ หัวหน้านางหาญตอนนั้นชื่อบัวหอม เธอโกรธมาก แข็งขืนไม่ยอมเด็ดขาด ถึงต่อสู้กันจนถูกจับขังคุกหลายวัน เรารู้ๆกันอยู่ว่ากองทัพต้องเอาใจคนไทย ลงทุนไปแล้ว ไม่งั้นไม่รู้จะเอาเฟอร์นิเจอร์ไปขายใคร”
บันทึก
8
3
ดูเพิ่มเติมในซีรีส์
บันทึกจากหมู่บ้านไทใหญ่
8
3
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2025 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย