31 พ.ค. 2020 เวลา 14:21 • ปรัชญา
# แผ่นดินไหว
คำสัญญาไม่ใช่แค่คำพูด เพราะมันคือบทพิสูจน์ และเป็นเครื่องวัดคุณค่าของคนที่พูดต่างหาก อ่านเรื่องราวต่อไปนี้แล้วคุณจะเข้าใจ
แผ่นดินไหว ครั้งใหญ่
ในวันที่ 7 ธันวาคม 1988 ได้เกิดแผ่นดินไหวขึ้นอย่างรุนแรง ซึ่งเหตุการณ์นี้ได้ทำลาย ทางตอนเหนือของอาร์เมเนียไปกว่าครึ่ง อีกทั้งยังสังหารประชาชนไปกว่า 25,000 คน ซึ่งหลังจากเกิดแผ่นดินไหวในเมืองเล็ก ๆ นี้สงบลง
ชายคนหนึ่งที่รอดชีวิตมาได้ เขาก็รีบเดินทางออกมาจากหลุมหลบภัย แล้วตรงไปที่โรงเรียนเพื่อตามหาลูกชาย ซึ่งเมื่อไปถึงเขาก็ได้พบว่า โรงเรียนของลูกชายนั้นพังราบเป็นน่ากอง จนแทบจะจำเคร้าโครงเดิมไม่ได้ไปเสียแล้ว
ตื่นตระหนก
แต่ด้วยสัญญาที่เขาเคยบอกกับลูกชายของเขาไว้ว่า “ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น พ่อก็จะอยู่เคียงข้างลูกเสมอ” จึงเป็นเหตุให้เขาตั้งใจที่จะค้นหาลูกเขาให้พบ แม้ความหวังจะมีเพียงริบหรี่ แต่เขาก็ยังคงพยายาม
ตามหาต่อไป
อีกทั้งเขายังเริ่มรื้อถอน และยกเศษหิน และเศษปูนออกจากบริเวณที่เขาเชื่อว่า เป็นห้องเรียนของลูกชายของเขาอีกด้วย
ภาระกิจ
นอกจากนี้พ่อแม่คนอื่น ๆ ก็ต่างร่ำไห้ด้วยความสิ้นหวัง พร้อมทั้งร้องเรียกหาลูก ๆ ของพวกเขาอย่างสุดกำลัง แม้ว่าจะมีพ่อแม่หลายคน ที่ท้อแท้จนต้องกลับออกไปก่อน แต่ชายคนนี้ เขาก็ยังคงตามหาลูกเขาต่อไป
ซึ่งในขณะที่เขากำลังขุด ผู้ปกครองคนอื่น ๆ รวมถึงเจ้าหน้าที่ต่าง ๆ ที่ได้เดินทางมาถึงก็ต่างเดินเข้ามาหาเขา แล้วพยายามพูดให้เขาออกจากซากปรักหักพังเหล่านั้น ว่า:
“มันสายไปแล้วคุณ!”
“พวกเขาตายแล้ว!”
“คุณช่วยไม่ได้แล้ว!”
“กลับบ้านกันเถอะ!”
“ เผชิญหน้ากับความเป็นจริงหน่อยสิ ทำอะไรไปตอนนี้ก็ไม่มีดีขึ้น คุณช่วยอะไรพวกเขาไม่ได้หรอก!”
“ คุณกำลังจะทำให้สิ่งต่าง ๆ แย่ลง!”
แม้จะได้ฟังแบบนั้น แต่เขาก็ยังคงขุดหาลูกชายของเขาด้วยต่อไป
ความมุ่งมั่น
จนกระทั่ง หัวหน้าหน่วยดับเพลิง มาถึงเขาก็ได้พยายามที่จะดึงชายคนดังกล่าวออกจากซากปรักหักพังของโรงเรียน
แล้วก็พูดว่า “ในตอนนี้โรงเรียนมีทั้งไฟไหม้ และอาจมีฉนวนที่ทำให้เกิดระเบิดได้ คุณต่องออกไปจากตรงนี้นะครับ ไม่อย่างนั้นคุณจะตกอยู่ในอันตราย เราจะจัดการต่อเอง คุณกลับบ้านไปเถอะ”
เมื่อได้ฟังแบบนั้น เขาจึงถามนักดับเพลิงคนนั้นไปว่า “ งั้น คุณก็ช่วยผมตอนนี้เลยได้ไหม”
คำขอร้อง
ตำรวจที่กำลังเฝ้าดูสถานะการณ์ ได้ฟังเขา เขาจึงพูดด้วยความโกรธว่า “นี้คุณ มันจบแล้ว มันไม่มีความหวังเหลือแล้ว คุณกลับไปซ่ะ ก่อนที่จะทำให้อะไร ๆ มันยุ่งยากไปว่านี้”
“ ผมแค่ ต้องการรู้ว่าลูกของผมยังมีชีวิตอยู่หรือเขาตายไปแล้ว” ชายคนดังกล่าวตอบตำรวจไป พร้อมทั้งพยายามค้นหาลูกชายของเขาต่อไป
เป็นเวลานานกว่า 8 ชั่วโมง ... 12 ... 24 ... 36 ชั่วโมง จนในชั่วโมงที่ 38 ขณะที่เขากำลังยกเศษหินเศษหนึ่งออกไป จู่ ๆ เขาก็ได้ยินเสียงเบา ๆ ที่ดังออกมาจากพื้นด้านล่าง เสียงนั่นกำลังพูดออกมาว่า “อาร์มันด์!” เมื่อได้ฟังแบบนั้น เขาก็ถึงกลับช๊อค
ช๊อค
เพราะเสียงที่พูดนั้น พูดต่อไปอีกว่า “ พ่อ! นั้นพ่อรึเปล่านี้ผมเอง …อาร์มันด์! ผมกับเพื่อน ๆ อยู่ในนี้ครับ” ทันทีที่เสียงเด็กชายสิ้นสุดลง ชายคนนั้นจึงตอบกลับลูกของเขาไปว่า
“ลูกไม่ต้องกลัวนะ พ่ออยู่นี้แล้ว ลูกช่วยอดทนอีกนิดนะ พ่อกำลังพยายามช่วยลูกให้ออกมาให้ได้อยู่ เหมือนอย่างที่พ่อเคยบอกไงว่า ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น พ่อก็จะอยู่เคียงข้างลูกเสมอ เราจะต้องอยู่เคียงข้างกันตลอดไป เพราะเป็นทีมเดียวกันไง ใช่ไหมลูก”
อดทนไว้
เขาพูดพร้อมทั้งพยายามยกหินน้อยใหญ่ต่าง ๆ ออกไปทีละน้อย จนไม่กี่นาทีหลังจากนั้น ชายผู้เป็นพ่อก็สามารถช่วย อาร์มันด์ ลูกชายของเขา
รวมไปถึง เด็กชายและเด็กหญิง ที่กำลังตื่นกลัว กระหายน้ำ และหิวโหยอีก 13 คนออกมาจากซากปรักหักพังได้สำเร็จ จนเป็นเหตุให้คนทั้งเมืองต่างชื่นชมเขา ว่าเป็นชายผู้หาญกล้า ในเวลาต่อมา
ดังคำที่กล่าวไว้ว่า “สิ่งที่มีค่ามากกว่า คำสัญญา ก็คือคำพูดธรรมดา แต่ลงมือทำ”
แปลและเรียบเรียงโดยเรื่องเล่าจากดาวนี้
ที่มา:
อ่านบทความเรื่องเล่าจากดาวนี้เพิ่มเติมได้ที่
หากชื่นชอบก็อย่าลืมกด Like กด Share เพื่อเป็นกำลังใจให้กันด้วยนะคะ สามารถแชร์แนวคิด มุมมองดีๆได้ใน Comments นี้เลย 😄
โฆษณา