2 มิ.ย. 2020 เวลา 12:06 • วิทยาศาสตร์ & เทคโนโลยี
จิตวิทยาเบื้องหลังการเหยียดคนที่ต่างจากเรา
ตอนที่ 1 Robbers cave experiment
หมายเหตุ: ขอเอาเรื่องเก่ามาเล่าที่เคยเขียนในหนังสือ "500 ล้านปีของความรัก เล่ม2" มาเรียบเรียงเล่าใหม่ย่อๆนะครับ พอดีเห็นว่าเข้ากับสถานการณ์ในอเมริกาช่วงนี้
1.
ค.ศ. 1954 หรือประมาณ 66 ปีมาแล้ว
เรื่องราวของการแก้แค้นครั้งนี้เกิดขึ้นในป่าทึบแห่งหนึ่งของรัฐโอกลาโฮมาประเทศสหรัฐอเมริกา
บริเวณที่เกิดเหตุการณ์นี้มีกระท่อมไม้ขนาดใหญ่อยู่สองหลัง
กระท่อมทั้งสองนี้ตั้งอยู่ไกลจากถนนและสายตาของคนภายนอกมาก
ในยุคที่ยังไม่มีทั้งโทรศัพท์มือถือและอินเทอร์เนต การจะติดต่อภายนอกหรือขอความช่วยเหลือจากภายนอกจึงเป็นไปได้ยาก
ประมาณสี่ทุ่มครึ่ง เงาตะคุ่มของคนกลุ่มหนึ่งค่อยๆ แหวกพุ่มไม้ออกมาจากป่าแล้วตรงมายังกระท่อมช้าๆ
ประตูของกระท่อมไม่ได้ใส่กลอน
เด็กจำนวน 10 คนที่กำลังหลับสนิทอยู่ในกระท่อมไม่รู้เลยว่ามีคนแอบเข้ามาในกระท่อม
ผู้บุกรุกเปิดประตูเข้าไปเงียบๆ จากนั้นก็เดินต่อเงียบๆตรงไปยังห้องนอน เพื่อเตรียมจะแก้แค้น ....
ทุกวันนี้เรารู้เกี่ยวกับเหตุการณ์ในป่าคืนนั้นอย่างละเอียดเพราะเรื่องราวทั้งหมดถูกบันทึกไว้อย่างละเอียดโดยภารโรงประจำค่ายที่ปลอมตัวมา
ชื่อของภารโรงคนนั้นคือ ....
ศาสตราจารย์ มูซาเฟอร์ เชอรีฟ (Muzafer Sherif)
2.
สิงหาคม ปี ค.ศ. 1914 หรือประมาณ 100 กว่าปีมาแล้ว
บรรยากาศในหลายเมืองใหญ่ของยุโรปเต็มไปด้วยความสุข
ชาวปารีส ลอนดอน เวียนนา เบอร์ลิน และเซนต์ปีเตอร์สเบิร์กจำนวนมากออกมาเดินร้องเพลงชาติ โบกธง และโห่ร้องด้วยความปีติยินดีไปตามท้องถนน
บรรยากาศในเมืองใหญ่เหล่านี้เต็มไปด้วยความรักใคร่กลมเกลียว ผู้คนรู้สึกถึงความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน เชื่อในสิ่งเดียวกัน
เหล่าชายหนุ่มต่างแก่งแย่งกันเพื่อลงทะเบียนรายชื่อของตนไว้กับรัฐบาล
พ่อแม่พี่น้องต่างมาให้กำลังใจชายหนุ่มเหล่านี้ด้วยความภูมิใจ ที่แต่งงานมีลูกแล้วก็มีภรรยาอุ้มลูกน้อยมาส่งพ่อด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม
สิ่งที่ทำให้ผู้คนจำนวนมากในยุโรปมีความสุขและคึกคักนี้ไม่ใช่ข่าวดี ไม่ใช่การเฉลิมฉลอง หรือไม่ใช่การชนะกีฬาใดๆ
แต่เป็นการแสดงความยินดีที่ประเทศของตัวเองประกาศทำสงครามกับประเทศอื่น และไม่ใช่สงครามธรรมดาแต่เป็นสงครามที่ทุกวันนี้เรารู้จักกันในชื่อ สงครามโลกครั้งที่หนึ่ง
ถ้ามองในมุมมองของเรา บรรยากาศของประชาชนที่ตื่นเต้นยินดีกับการประกาศสงครามระหว่างกันเช่นนี้เป็นเรื่องที่แปลก ทำไมคนจำนวนมากจึงออกมาเรียกร้องให้รัฐบาลตัวเองเข้าร่วมสงคราม?
ทำไมคนจำนวนมากถึงโห่ร้องดีใจเมื่อรู้ว่าประเทศตัวเองกำลังจะเข้าสู่สงคราม?
คนต้องการจะรบเพื่อชาติถึงขนาดว่า ชายหนุ่มคนไหนไม่ได้ใส่เครื่องแบบทหาร เมื่อเดินไปตามท้องถนนจะรู้สึกอับอาย ยิ่งไปกว่านั้นเขาอาจจะถูกสาวๆ นำขนนกสีขาวมายื่นให้
ขนนกสีขาวที่เป็นสัญลักษณ์ของความขี้ขลาด
ปัจจุบันเราเรียกบรรยากาศของความรักชาติอย่างรุนแรงและกระหายสงครามครั้งนั้นว่า August madness of 1914
คนส่วนใหญ่ยังนึกภาพไม่ออกว่าสงครามในยุคอุตสาหกรรมที่สังหารกันด้วยปืนกลจะมีหน้าตาอย่างไร ชาวยุโรปยังติดภาพโรแมนติกของอัศวินขี่ม้าแกว่งดาบไปสู้รบอย่างห้าวหาญ
3.
หลังสงครามเริ่มต้นขึ้นไปเพียงไม่กี่เดือน ความบ้าคลั่งที่ต้องการจะทำสงครามของประชาชนก็หมดไป
ทุกคนเรียนรู้แล้วว่าสงครามในชีวิตจริงไม่เหมือนที่จินตนาการไว้
สงครามโลกครั้งที่ 1 กินระยะเวลาประมาณ 4 ปี นำมาซึ่งการบาดเจ็บล้มตายของคนเกือบ 40 ล้านคน เป็นสงครามที่ชีวิตคนถูกมองเหมือนผักปลา
แต่สงครามโลกครั้งที่ 1 เป็นเพียงแค่เหตุการณ์หนึ่งเท่านั้น
ความขัดแย้งทางการเมืองในช่วงศตวรรษที่ 20 เป็นเหตุให้ผู้คนเสียชีวิตไปมากมายมหาศาล
นาซีฆ่าชาวยิวไปประมาณ 6 ล้านคน (เป็นเด็กประมาณล้านคน) รัฐบาลออตโตมันฆ่าชาวอาร์เมเนียไปมากกว่า 1 ล้านคน กลุ่มเขมรแดงนำโดยพลพตฆ่าชาวเขมรด้วยกันเองไปกว่า 1 ล้านคน ทหารเบลเยียมฆ่าทาสชาวคองโกไปประมาณ 8 ล้านคน กองทัพประชาชนของท่านประธานเหมา เจ๋อตุง ฆ่าประชาชนจีนไปประมาณ 4.5 ล้านคน เพื่อนบ้านฆ่ากันเองในรวันดาประมาณ 500,000 คน ใน 100 วัน
หลายครั้งไม่ใช่แค่ฆ่ากันเฉยๆด้วย แต่เป็นการทำให้ทรมานอย่างโหดร้ายก่อนสังหาร เช่น
ฝังทั้งเป็น เผาทั้งเป็น ควักลูกตา บังคับให้ลูกมีเพศสัมพันธ์กับพ่อหรือแม่ เล่นทายเพศของทารกในท้องก่อนเฉลยด้วยการผ่าท้องออกดู จับแก้ผ้าขัง อดอาหารให้หิวโหย สารพัดเกินกว่าจะบรรยายได้
ที่น่าแปลกคือ การกระทำอันโหดร้ายเหล่านี้มักเกิดขึ้นกับคนที่ไม่รู้จักกัน ไม่มีเหตุให้เกลียดชังเป็นการส่วนตัวมาก่อนเลย
เจอหน้ากันครั้งแรกก็ฆ่าหรือทรมานกันได้เลย
การฆ่ากันในร้อยกว่าปีที่ผ่านมานี้ เกือบทั้งหมดตั้งอยู่บนความขัดแย้งในเรื่องของเชื้อชาติ วัฒนธรรม ศาสนาและการเมือง
ถ้าเป็นในโลกยุคหินเรายังพอเข้าใจได้ เพราะการฆ่ากันระหว่างมนุษย์อาจเป็นเรื่องของการฆ่าเพื่อความอยู่รอดของตัวเอง ของครอบครัวหรือคนทั้งเผ่า การต่อสู้ฆ่ากันเป็นไปเพื่อการแย่งของกิน แย่งที่อยู่อาศัย
แต่สงครามในศตวรรษที่ 20 นั้น เกือบทั้งหมดมีพื้นฐานมาจากความคิดที่ต่างกัน เชื่อต่างกัน หรือรูปร่างหน้าตา สีผิวที่ต่างกัน
เมื่อสงครามโลกครั้งที่ 2 สิ้นสุดลง คำถามว่าทำไมมนุษย์จึงฆ่ากันอย่างโหดร้ายเพียงเพราะความต่างเล็กๆน้อยๆ จึงเป็นคำถามใหญ่ ในโลกของนักวิทยาศาสตร์
โดยเฉพาะในวงการจิตวิทยา
4.
ถ้าเรานำคำถามนี้ย้อนเวลากลับไปสัก 50 ปีที่แล้ว แล้วไปถามชาวอังกฤษหรือชาวอเมริกันเดินถนนทั่วไปว่า
ทำไมชาวเยอรมันฆ่ายิวอย่างโหดร้ายเช่นนี้ คำตอบที่เราจะได้รับ (เพราะมีการถามมาแล้วจริงๆ ) จะออกแนวประมาณว่า
เพราะพวกเยอรมันเป็นคนเลว
มันเลวกันทั้งประเทศที่สนับสนุนพรรคนาซี
ชาวเยอรมันเห็นแก่ตัวอยากครองโลก
พวกมันเป็นปีศาจ
แต่ปัญหาของคำตอบเหล่านี้คืออะไรรู้ไหมครับ?
มันเป็นคำตอบที่ไม่อธิบายสิ่งที่เกิดขึ้นจริง ไม่ได้ตั้งอยู่บนหลักฐานหรือข้อเท็จจริงใดๆ เป็นคำตอบที่มาจากอารมณ์และความรู้สึกอย่างเดียว
เพราะเรื่องจริงคือ ก่อนหน้าที่ทหารเยอรมันจะฆ่าชาวยิว ก่อนหน้าที่ทหารญี่ปุ่นจะทำทารุณกรรมกับคนจีน และก่อนที่ชาวฮูตูจะหยิบมีดดาบมาฟันชาวทุตซีในรวันดา
ทหารเหล่านั้นก็เป็นแค่เด็กหนุ่มธรรมดาๆ ที่อาจจะเพิ่งเรียนจบจากโรงเรียน กำลังเรียนมหาวิทยาลัย เพิ่งแต่งงาน ไม่ใช่โจรร้ายใจหินหรือฆาตรกรโรคจิตที่ไหน
ยิ่งไปกว่านั้น เดิมชาวเยอรมันกับชาวยิวก็อาศัยอยู่ร่วมในชุมชนเดียวกันมาแต่เดิม บางคนก็เป็นเพื่อนกัน ทำงานที่เดียวกัน เล่นหมากรุกด้วยกัน จิบกาแฟคุยเรื่องสัพเพเหระร่วมกัน
ชาวรวันาดาที่ลุกขึ้นมาฆ่ากันเดิมก็เป็นเพื่อนบ้านกัน ลูกเรียนห้องเดียวกัน แบ่งปันอาหารกันกินระหว่างครอบครัว
ดังนั้นจะเห็นว่าการฆ่ากันเหล่านี้ไม่ได้เกิดจากคนเลว คนจิตใจโหดเหี้ยม ไม่ใช่ปีศาจ ไม่ใช่การฆ่ากันระหว่างคนที่เกลียดกันมากๆ มาแต่เดิม แต่เป็นคนธรรมดาที่มีดีเลวบ้างเล็กๆ น้อยๆ ปะปนกันไป เป็นคนธรรมดาเหมือนคุณและผม
ด้วยเหตุนี้เอง งานวิจัยทางจิตวิทยาจำนวนมากจึงเกิดขึ้น เพื่อที่จะตอบคำถามนี้
ศาสตราจารย์ มูซาเฟอร์ เชอรีฟ ก็เป็นหนึ่งในคนที่สนใจอยากจะตอบคำถามเหล่านี้
Muzafer Sherif
5.
เด็กชายวัย 11 ขวบทั้งหมด 20 คน ที่ได้รับเลือกให้ไปเข้าค่ายฤดูร้อนที่อุทยาน Robber Cave State Park ไม่รู้เลย การเข้าค่ายครั้งนี้เป็นการทดลองทางจิตวิทยา
พี่เลี้ยงทั้งหมดที่ทำหน้าที่ดูแลเด็กๆ เป็นนักศึกษาด้านจิตวิทยา
ส่วนภารโรงซึ่งมีหน้าที่ดูแลความสะอาดของค่ายคือ ศาสตราจารย์ มูซาเฟอร์ เชอรีฟ
เด็กทั้ง 20 คนที่ได้รับเลือกมาเข้าร่วมการทดลองนี้ มีลักษณะพื้นฐานที่คล้ายกัน คือ
เป็นเด็กผิวขาว ชนชั้นกลาง เติบโตมาในครอบครัวและสิ่งแวดล้อมที่ใกล้เคียงกัน
เด็กทั้ง 20 คนนี้ต้องไม่รู้จักกันมาก่อนเลย
จากนั้นเขาก็แบ่งเด็กเหล่านี้ออกเป็น 2 กลุ่ม กลุ่มละ 10 คน และให้พักอยู่คนละกระท่อมซึ่งอยู่ห่างไกลจากกันพอสมควร
แต่ละกลุ่มไม่รู้เลยว่านอกจากพวกของเขาทั้ง 10 คนแล้ว ยังมีอีกกลุ่มหนึ่งมาเข้าค่ายอยู่ใกล้ๆ กัน
เมื่อเด็กชาย 10 คนมาอาศัยอยู่ร่วมกันได้ไม่นาน พวกเขาก็สร้างสัญลักษณ์ให้กับกลุ่มของตัวเองขึ้นมา
กลุ่มหนึ่งเรียกพวกของตัวเองว่านกอีนทรี
อีกกลุ่มหนึ่งเรียกพวกของตัวเองว่างูหางกระดิ่ง
นอกจากตั้งชื่อแล้วทั้งสองกลุ่มยังออกแบบธงประจำกลุ่มของตัวเองและมักจะถือธงนี้ไปด้วยเมื่อต้องไปทำกิจกรรมต่างๆ ที่ได้รับมอบหมาย
ภายในเวลาแค่หนึ่งสัปดาห์เด็กในแต่ละกลุ่มก็สนิทกันอย่างรวดเร็วและเกิดมีวัฒนธรรมหลายๆ อย่างเกิดขึ้นภายในกลุ่มของตัวเอง เช่น วิธีการพูดหรือสำนวนที่เป็นเอกลักษณ์รู้กันเฉพาะในกลุ่ม หรือมีเพลงร้องประจำกลุ่ม
หลังจากที่เด็กเหล่านี้สนิทกันดี ก็ถึงเวลาที่การทดลองระยะสองจะเริ่มต้นขึ้น
เด็กทั้งสองกลุ่มถูกชักพาให้ไปพบกันโดยบังเอิญ โดยการจัดกิจกรรมให้ต้องเดินทางไปยังบริเวณเดียวกัน
หลังจากที่เด็กแต่ละกลุ่มค้นพบว่า ไม่ได้มีแต่พวกของตัวเองที่มาเข้าค่ายบริเวณนั้น เด็กๆก็เสนอต่อพี่เลี้ยงให้จัดการเล่นที่มีการแข่งขันระหว่างกลุ่มขึ้น
ซึ่งก็เข้าทางของพี่เลี้ยงนักวิจัย เพราะทำนายไว้อยู่แล้วว่าเด็กต้องการจะแข่งขันกัน พวกเขาจึงให้เริ่มทำกิจกรรมต่างๆที่ต้องแข่งขันกัน และมีเหรียญหรือถ้วยรางวัลให้ด้วย เพื่อกระตุ้นความต้องการเอาชนะให้มากขึ้นอีกหน่อย
ในเวลาไม่นานนักทั้งสองกลุ่มก็เริ่มแสดงท่าทีออกมาชัดเจนว่าไม่ชอบอีกกลุ่ม
เริ่มแรกก็มีการโทษอีกกลุ่มหาว่าโกงการแข่งขันบ้าง จงใจที่จะแกล้งอีกกลุ่มเล็กๆ น้อยๆ บ้าง เช่น ขโมยธงของอีกฝ่ายไปเผา
ต่อมาท่าทีรังเกียจอีกกลุ่มก็เริ่มมากขึ้นถึงขนาดที่ไม่ยอมนั่งกินอาหารร่วมโต๊ะเดียวกัน ต่างฝ่ายต่างแก้แค้นกันไปมา ความขัดแย้งเริ่มทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ จนถึงจุดที่หลายครั้งพี่เลี้ยงต้องเข้าไปห้ามไม่ให้เด็กทั้งสองกลุ่มชกต่อยกัน
เมื่อให้ตอบแบบสอบถามถึงความเห็นที่มีต่ออีกกลุ่มหนึ่ง เด็กแต่ละกลุ่มจะมองว่าเด็กอีกกลุ่มนิสัยไม่ดี ไม่เก่ง และกลุ่มของตัวเองนิสัยดีและเก่งกว่า
ความขัดแย้งในช่วงกลางวันบางครั้งก็ลากยาวต่อไปจนถึงกลางคืน
ประมาณ 4 ทุ่มของคืนหนึ่ง เมื่อแน่ใจว่าเด็กอีกกลุ่มเข้านอนไปแล้ว พวกเขาก็ลุกจากที่นอนและย่องเข้าป่ากันไปเงียบๆ เพื่อมุ่งตรงไปยังกระท่อมของเด็กอีกกลุ่มหนึ่ง หลังจากที่เข้าไปในกระท่อมได้
พวกเขาก็ตรงไปยังห้องนอน กระแทกประตูเข้าไป แล้วตะโกนร้องด้วยเสียงอันดังเพื่อให้เด็กอีกกลุ่มที่กำลังอยู่สะดุ้งตกใจด้วยความกลัว
1
จากนั้นฝ่ายบุกรุกก็ตรงไปฉีกมุ้งกันยุงจนขาดและเข้าไปด่าต่อจนหนำใจ ก่อนจะวิ่งกลับกระท่อมตัวเองอย่างสะใจ
6.
งานวิจัยของ ศาสตราจารย์ มูซาเฟอร์ เชอรีฟ นี้ปัจจุบันรู้จักกันในชื่อว่า Robbers cave experiment เป็นหนึ่งในงานวิจัยแรกๆที่ชี้ให้เห็นสัญชาตญานเผ่าของมนุษย์หรือที่เรียกว่า tribal instinct และผลของความรู้สึกเป็นเผ่า
ทั้งหมดเริ่มต้นมาจากเด็กที่ไม่รู้จักกันมาก่อน
แต่ให้อยู่ด้วยกันแค่ระยะสั้นๆ ก็จะเกิดความเป็นกลุ่มก้อน ความเป็นทีมหรือพวกเดียวกันขึ้นมาได้อย่างไม่ยากนัก
จากนั้นเมื่อรู้สึกว่าเป็นพวกเดียวกันแล้วก็จะอยากสร้างสัญลักษณ์บางอย่างขึ้นมาเพื่อให้กลุ่มของตัวเองดูแตกต่างไปจากกลุ่มอื่นๆ
จะเห็นว่าการจะเกิดความรู้สึกว่านี่เป็นพวกฉัน นั่นคือพวกเธอ สำหรับมนุษย์นั้นมันง่ายและเป็นธรรมชาติมากๆ เกิดขึ้นได้ทุกที่ตั้งแต่ในโรงเรียนอนุบาล ไปจนถึงออฟฟิศต่างๆ
เมื่อเกิดความรู้สึกเป็นพวกเดียวกันขึ้นมาแล้ว ก็จะเกิดความรู้สึกภักดีต่อกลุ่มตัวเองพร้อมๆ ไปกับการมองว่ากลุ่มของตัวเองเก่งกว่า ดีกว่ากลุ่มอื่น
เมื่อเกิดความรู้สึกเป็นพวกฉันและพวกเธอขึ้นมาแล้ว เราจะเลือกปฏิบัติต่อพวกเราต่างไปจากพวกอื่น เราช่วยเหลือพวกตัวเองมากกว่า เราหวังดีกับพวกตัวเองมากกว่า
จากนั้นถ้าเติมส่วนผสมที่สองคือ การแข่งขัน หรือการแก่งแย่งเล็กๆ น้อยๆ ระหว่างกลุ่ม หรือมีความขัดแย้งระหว่างความเชื่อความศรัทธาที่ต่างกัน เช่น ความเชื่อทางศาสนาและการเมือง ความรู้สึกรักพวกตัวเองมากกว่า อยากช่วยเหลือพวกตัวเองมากกว่า ก็จะนำไปสู่ความขัดแย้งที่มองว่านี่ ‘พวกฉัน vs พวกเธอ’ ได้อย่างง่ายดาย
แรกๆอาจจะเฉยๆต่อกัน ไม่ได้เกลียดหรือไม่ชอบ แต่ถ้ามีเหตุหรือใครกระตุ้นให้เกิดความขัดแย้งระหว่างกันขึ้น โดยเฉพาะถ้ายิ่งชี้ให้เห็นความต่างระหว่างสองกลุ่ม ความรู้สึกว่าเป็น พวกเรา vs พวกเขา ก็จะยิ่งมากขึ้น
ผลที่ตามมาคือ ประเด็นขัดแย้งจะกลายเป็น ขั้วหรือ polarization ขึ้นมา อาจจะเป็น 2 ขั้วหรือมากกว่าก็ได้ เมื่อเป็นขั้วก็จะเกิดการมองปัญหาหรือประเด็นขัดแย้งเป็นขาวและดำ คือ ฝ่ายหนึ่งถูก อีกฝ่ายต้องผิด
เมื่อนั้นจะมีอีกภาวะหนึ่งเกิดขึ้น เราจะมองกลุ่มที่เป็นศัตรูกับพวกของเราว่ามีคุณค่าต่ำกว่าเรา(ซึ่งเป็นมนุษย์) หรือที่ภาษาอังกฤษเรียกว่า dehumanization หมายความว่าเราจะรู้สึกว่าพวกเขาเจ็บ เศร้า รัก หรือเสียใจได้ “ไม่เท่ากับ” เรา
1
เราจะสามารถทนเห็นเขาตาย เจ็บ หรือทรมานได้ง่ายขึ้น เราจะเห็นใจ สงสารเขาน้อยกว่าคนที่เรารู้สึกว่าเป็นพวกเดียวกับเรา
ถ้าเราเป็นเหตุหรือเป็นส่วนหนึ่งของความทุกข์ทรมานของเขา เราก็จะไม่รู้สึกผิดเท่ากับปกติ
และสุดท้ายแล้วเรื่องราวเดิมๆ แบบแผนเก่าๆ ประวัติศาสตร์ของความขัดแย้งซ้ำๆ ก็จะย้อนรอยกลับมาอีกครั้ง
7.
เราพอจะเห็นแล้วว่า มนุษย์มีแนวโน้มจะแบ่งพวก แบ่งฝ่าย ได้ง่ายมาก เช่น แบ่งตามศาสนา แบ่งตามความเห็นการเมือง แบ่งตามสีผิว
แต่คำถามหนึ่งที่ นักจิตวิทยายุคหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 สนใจอยากจะหาคำตอบคือ อะไรที่จะทำให้มนุษย์แบ่งพวกกันได้บ้าง ?
แน่นอนว่าความเห็นทางศาสนา ความเชื่อทางการเมือง สีผิว หรือความเป็นคนละชาติ มันทำให้แตกแยกได้ แต่เป็นเพราะมันเป็นสิ่งเห็นได้ชัดว่า พวกฉัน ต่างจาก พวกเขา
คำถามคือ สิ่งที่เล็กน้อยกว่านั้น จะแบ่งให้คนรู้สึกว่า เป็นคนละพวก คนละเผ่าได้ไหม?
สิ่งเล็กๆอย่าง สีของดวงตา จะทำให้คนรู้สึกเป็นคนละพวกแล้วทะเลาะกันได้หรือไม่
เราจะไปหาคำตอบนี้ในตอนที่ 2 กันครับ
ถ้าอยากให้ไลน์แจ้งเตื่อนเมื่อผมโพตส์บทความใหม่ ก็สามารถแอดไลน์ได้โดยการคลิกที่นี่เลยครับ https://lin.ee/3ZtoH06
(ปิดท้ายด้วยโฆษณา)
ถ้าชอบอ่านวิทยาศาสตร์เกี่ยวกับจิตวิทยาและร่างกายแบบนี้
แนะนำอ่านเพิ่มเติมได้จากหนังสือ Bestseller ของผมเองหลายเล่มเช่น
เรื่องเล่าจากร่างกาย และ 500 ล้านปีของความรักเล่ม1-2
สามารถสั่งซื้อออนไลน์ได้จากลิงก์นี้ครับ https://shopee.co.th/cthada
อ่านบทความแนวประวัติศาสตร์อื่นๆได้ที่
คลิปวีดีโอเกี่ยวกับประวัติศาสตร์
โฆษณา