2 มิ.ย. 2020 เวลา 14:32 • ธุรกิจ
“ตัน ภาสกรนที” CEO ขวัญใจมหาชน
แนวคิดจากคุณตัน เมื่อเจอทางตัน !
หากจะพูดถึง CEO สักคนหนึ่งที่มีชื่อเสียงและเป็นที่รู้จักในประเทศไทยแล้วล่ะก็ เราเชื่อว่าชื่อของคุณตันก็น่าจะเป็นชื่อแรกๆที่คนไทยนึกออก
เพราะนอกจากเขาเป็นจะเป็นทั้งผู้บริหารที่โฆษณาสินค้าของบริษัท เขายังเป็นผู้บริหารที่ทำการโฆษณาตัวตนของตัวเองผ่านแนวคิดและวิธีแก้ปัญหาออกมาอีกด้วย หรือที่เรียกกันว่าการทำ Personal branding
แล้วเดี๋ยววันนี้เราจะลองไปจับเอา “แนวคิด” ดีๆจากผู้ชายคนนี้ ตัน ภาสกรนที ออกมาแบ่งปันให้เพื่อนๆสมาชิกได้ฟังกันบ้างดีกว่า ว่า
เวลาเจอทางตัน คุณตัน ทำอย่างไร ???
ถ้าพร้อมแล้วเราก็ไปลุยกันเลยครับ
ตัน ภาสกรนที เกิดเมื่อวันที่ 4 เมษายน 2502 (ปัจจุบันมีอายุ 61 ปี) ในจังหวัดชลบุรี โดยพื้นเพครอบครัวของเขาไม่ได้ร่ำรวยอะไรมากนัก เนื่องจากเป็นครอบครัวคนไทยเชื้อสายจีนที่มีบิดาอพยพมาจากประเทศจีนนั่นเอง
1
ด้วยความที่ทางบ้านไม่ได้มีเงินมากมายอะไรนัก เมื่อจบการศึกษาชั้นมัธยมที่ 3 คุณตันจึงต้องหยุดพักเรื่องการเรียนไว้เพียงที่จุดนั้น และได้เริ่มเรื่องชีวิตด้วยการไปรับงานแรกในชีวิตกับการเป็น “พนักงานเก็บของ” กับบริษัทที่มีชื่อว่าซากุระ ซึ่งในตอนนั้นเขามีหน้าที่ทุกอย่างไม่ว่าจะเป็นการแบกของ จัดของ หรือการทำความสะอาดภายในโกดัง
1
ด้วยลักษณะนิสัยส่วนตัวที่เป็นคนไม่เคยหยุดนิ่ง เมื่อวันเวลาผ่านไปเขาจึงถูกแต่งตั้งให้เป็นผู้จัดการแผนกในที่สุด แต่ภายหลังจึงได้ลาออกมาเริ่มทำธุรกิจร้านขายหนังสือของตนเองจนกลายเป็นร้านที่ขายดีและเป็นที่รู้จักในย่านนั้น แต่สุดท้ายคุณตันก็ตัดสินใจที่จะไปเริ่มธุรกิจ Wedding ขึ้นอีกครั้งในกรุงเทพฯ หลังการแต่งงาน
เขาเริ่มคุ้นเคยกับธุรกิจหลากหลายรูปแบบผ่านการลองผิดลองถูกไม่ว่าจะเป็นร้านกิ๊ฟช็อป ร้านกาแฟ ร้านอาหาร มาจนถึงธุรกิจอสังหาฯ แต่สิ่งที่ไม่คาดคิดก็ได้เกิดขึ้น เมื่อรัฐประกาศลอยตัวค่าเงินบาทจนเป็นจุดเริ่มต้นของวิกฤติ ต้มยำกุ้ง ในปีพ.ศ. 2540 ซึ่งแน่นอนครับว่าในตอนนั้น คุณตันก็เป็นหนึ่งในบุคคลที่มีหนี้สินติดตัวมากถึงร้อยกว่าล้านบาท
ความล้มเหลวในตอนนั้นไม่ได้ทำให้เขาย่อท้อหรือหมดหวังไปแต่อย่างใด คุณตันค่อยๆคิด ค่อยๆหาทางแก้ปัญหา จนในที่สุดสามารถเจรจาประนอมหนี้และเริ่มฟื้นตัวขึ้นมาได้ จากนั้นจึงได้ตัดสินในที่จะไปเริ่มต้นใหม่กับการเปิดภัตตาคารบุฟเฟ่ต์อาหารญี่ปุ่นที่มีชื่อว่า “โออิชิ”
1
การตัดสินใจในครั้งนั้นได้เปลื่ยนชีวิตของเขาไปแทบจะทุกอย่าง เพราะโออิชินั้นเริ่มประสบความสำเร็จจนเขาสามารถต่อยอดไปทำธุรกิจเครื่องดื่มชาเขียวจนประสบความสำเร็จอย่างมากและได้ทำให้เขากลายเป็นเศรษฐีพันล้านได้สำเร็จ แต่หลังจากนั้นเขาก็ได้ตัดสินใจ “ขายหุ้นทิ้ง” และมาเริ่มต้นใหม่กับการตั้งบริษัทตัวเองในชื่อบมจ. ไม่ตัน ซึ่งภายหลังได้เปลื่ยรมาเป็นบมจ. อิชิตัน กรุ๊ป อย่างเช่นในปัจจุบัน
แต่ก็ใช่ว่าเส้นทางของ อิชิตัน กรุ๊ป จะราบเรียบ เพราะในปี 2561 คุณตันและบริษัทก็เคยต้องประสบพบเจอกับปัญหาที่รุมเร้าต่างๆมากมายไม่ว่าจะเป็นภาษีความหวาน, การแข่งขันที่ดุเดือด และการขาดทุนในประเทศอินโดนีเซีย ทำให้เมื่อถึงสิ้นปีกำไรของบริษัทได้เหลืออยู่เพียงราวๆ 44 ล้านบาทเท่านั้น
บทเรียนในครั้งนั้นได้สอนให้เขาเลิกทุ่มเงินโฆษณาไปกับแคมเปญที่ใหญ่ยักษ์อย่างในอดีต แต่ทำให้เขาเลือกที่จะใช้เงินโฆษณาอย่าง “ฉลาดเลือก” ขึ้นด้วยการเน้นไปที่กลุ่มเป้าหมายรายกลุ่ม ไม่ใช่การหว่านเงินโฆษณาไปทั่วแต่ได้ผลตอบแทนกลับมาไม่คุ้มค่า
1
อีกทั้งการไปขาดทุนในอินโดนีเซียกว่า 5 ปีนั้นก็ยังได้ทำให้เขารู้จักการเลือกที่จะ “ตัดตัวภาระ” ซึ่งในที่นี้ก็คือการค่อยๆลด ละ และเลิกขายสินค้าที่ไปไม่รอดออกไปเพื่อเอาตัวเองให้รอดก่อน
3
ไม่งงกันใช่ไหมครับกับการตัดสินค้าที่ไม่รอด เพื่อเอาตัวรอด
นอกจากนี้ คุณตันยังมีกลยุทธ์ที่น่าสนใจอีกหนึ่งอย่างที่ช่วยทำให้เขาฟื้นตัวขึ้นมาจากวิกฤติในครั้งนั้นด้วยความสามารถในการเพิ่ม “อัตราการทำกำไรสุทธิ” ด้วยการลงมาขายสินค้าที่มีราคาถูกกว่า เพราะเมื่อคิดตามภาษีน้ำตาลที่ต้องจ่ายในแต่ละขวดแล้วจะทำให้การขายสินค้าในขวดที่เล็กลงและราคาน้อยลงนั้นช่วยทำให้ “ประหยัด” ได้มากกว่า
1
ซึ่งก็ไปสอดคล้องกับชนิดเครื่องจักรการผลิตแบบ High speed ที่อิชิตันใช้อยู่ เพราะจุดเด่นของเครื่องนี้ก็คือยิ่งผลิตมากยิ่งประหยัดต้นทุน พร้อมๆกับการปรับกลยุทธ์ในอินโดนีเซียที่ว่าด้วยการใช้ “ความเป็นไทย” เข้าไปสู้ ทำให้สินค้าหลักอย่าง ชานมไทย (Thai Milk Tea) กลายเป็นเรี่ยวแรงหลักสำคัญที่ทำให้ไตรมาสล่าสุดอิชิตันสามารถรับรู้กำไรจากประเทศอินโดนีเซียได้เป็นเงินกว่า 8.4 ล้านบาท
และด้วยเหตุผลเหล่านี้นี่เองที่ทำให้ “อิชิตัน กรุ๊ป” สามารถรอดพ้นจากวิกฤติในครั้งนั้นมาได้และเริ่มทำกำไรได้ดีให้เห็นกันแล้ว เรียกได้ว่าเป็นผู้ชายที่ไม่เคยหยุดนิ่งจริงๆ เมื่อเจ็บแล้วก็เรียนรู้แก้ไข ปรับปรุงจนเริ่มจับทางได้อยู่เสมอเลยครับ
แต่ถึงอย่างไรแล้วกับวิกฤติ Covid-19 ในครั้งนี้ คุณตันก็ได้ออกมายอมรับเลยว่าเป็นวิกฤติที่กนักที่สุดในชีวิตที่เขาเคยเกิดมาเจอ เพราะรอบนี้ผลกระทบนั้นเกิดไปทั่วทั้งโลก แถมยังจะกินเวลายืดเยื้อยาวนานไปอีกแค่ไหนตอนนี้พวกเราก็ยังไม่ทราบ ไม่เหมือนกับวิกฤติในปีพ.ศ. 2527 ปีพ.ศ. 2540 หรือน้ำท่วมใหญ่ในปี 2554 ที่ส่วนใหญ่จะสร้างผลกระทบได้ไม่มากเท่า Covid-19 ในตอนนี้
โดยกลุ่มที่น่าเป็นห่วงที่สุดในมุมมองของเขาในตอนนี้ก็คือกลุ่ม SME ที่ต้องพยุงตัวกันต่อไปเพื่อรอความหวังให้โควิดคลี่คลาย และจากข้อมูลที่เราไปเห็นมาก็พบว่าน่าเป็นห่วงกันจริงๆครับ เพราะโดยเฉลี่ยแล้ว SME ในไทยจะสำรองเงินสดไว้ในระดับที่สามารถยื้อเวลาได้อยู่เพียง 1-3 เดือนเท่านั้น
และสำหรับตัวคุณตันเองก็ได้รับผลกระทบไปไม่น้อยเลย เพราะถึงแม้ว่าธุรกิจอย่าง อิชิตัน กรุ๊ป จะยังไม่ค่อยได้รับผลกระทบอะไรมากนัก แต่เขาเองก็ยังมีธุรกิจส่วนตัวที่เป็นโรงแรมและตลาดอยู่เหมือนกัน ซึ่งแน่นอนว่าสองธุรกิจนั้นเป็นธุรกิจที่โดนผลกระทบกันไปเต็มๆ
 
ซึ่งคำแนะนำของเขาสำหรับผู้ทำธุรกิจในตอนนี้ก็คือ คุณต้องพยายามตัดรายจ่ายที่ไม่จำเป็นออกไปให้ได้มากที่สุด(ส่วนตัวเขาคือค่าโฆษณา) และยังได้เตือนใจไว้ด้วยสำนวนที่ว่า
“หิวแค่ไหนก็อย่าเพิ่งไปกินน้ำเกลือ”
ซึ่งก็มีความหมายว่าในยามที่ยากลำบาก อย่าเพิ่งคิดว่าสิ่งที่ไปลองทำนั้นจะสามารถสร้างผลกำไรตอบแทนให้กับคุณได้ทันที เพราะถ้าหากไม่วางแผนให้ดีแล้วเกิดพลาดมาคุณอาจจะหิวน้ำหนักกว่าเดิม เหมือนกับการไปกินน้ำเกลือที่ยิ่งกินยิ่งหิวน้ำนั่นเอง
แต่ถึงอย่างไรแล้วเขาก็ยังเชื่อว่าในทุกวิกฤติมีโอกาส แต่คุณตันเองก็ไม่ได้บอกว่าตอนนี้คือโอกาส เพราะธุรกิจที่ยังสามารถทำกำไรได้ดีอยู่ก็ยังมี และเขาก็ยังได้สังเกตุพฤติกรรมของผู้คนไว้อีกด้วยว่า ในตอนนี้สินค้าราคาถูกขายจะดีขึ้น และสินค้าราคาแพงจะมียอดขายที่ต่ำลง เพื่อนๆเห็นด้วยกันรึเปล่า ???
สุดท้ายนี้ คุณตันมองว่าถึงแม้การปลดล็อคต่างๆจะเริ่มเกิดขึ้นไปแล้ว ผู้คนก็จะยัง “ขาดความไว้ใจซึ่งกันและกัน” อยู่ดีและปัญหานี้ก็คงจะหายไปในวันที่วัคซีนมาถึงซึ่งเราไม่รู้เลยว่าจะใช้เวลาอีกนานเท่าไหร่ แต่เขาคิดว่าคงไม่เกิน 1 ปีโดยผู้อ่อนแอจะล้มหายไป แต่คนที่เหลืออยู่จะต้องเป็นคนที่เก่งจริงๆ และเข้าใจการค้าขายในยุคใหม่ สินค้าในยุคใหม่ โดยเฉพาะ E-commerce
เป็นยังไงกันบ้างสำหรับวิธีออกจากทางตันของคุณตัน เชื่อว่าเพื่อนๆสมาชิกก็น่าจะสามารถหยิบจับอะไรจากบทความนี้ไปประยุกต์ใช้กับชีวิตตัวเองกันได้นะครับ เพราะการไม่หยุดนิ่ง การเรียนรู้จากความผิดพลาด และการลงมือทำลองผิดลองถูกนั้นก็ทำให้ผู้ชายที่ชื่อ “ตัน ภาสกรนที” สามารถเอาตัวรอดจากปัญหาต่างๆมาได้หลายต่อหลายครั้งแล้วแถมดูเหมือนเขาจะแกร่งและเก่งขึ้นกว่าเดิมอีกนะครับ
หากวันนี้คุณเหนื่อยคุณท้อ เราขอแค่ให้คุณมีสติและทบทวนให้ดีกว่าสิ่งที่คุณทำอยู่ในทุกๆวันมันเป็นไปตามแผนที่คุณได้วางไว้หรือยัง ? หากคุณมั่นใจแล้วว่าคุณทำถูกต้อง ก็ขอแค่ให้เรียนรู้และค่อยๆแก้ไข ปรับปรุงไปทีละอย่างแบบมีสติ และเสต็ป
4
เพราะเราเชื่อว่าคุณจะผ่านมันไปได้
เช่นเดียวกันกับ “ตัน ภาสกรนที” CEO ขวัญใจมหาชน
ถ้าอยากเป็นแบบคุณตัน จงคิดแบบคุณตัน ในวันที่เจอทางตัน !
อ่านข้อมูลด้านพื้นฐานของหุ้น ICHI ได้ที่
แล้วพบกันใหม่ สวัสดีครับ...
ติดตามบทความดีๆของพวกเราได้ทาง WEBSITE
หรือ FACEBOOK เพจ หุ้นพอร์ทระเบิด
- - - -
ผู้สนับสนุน
สนใจเปิดพอร์ท หุ้น TFEX SBL BLOCKTRADE กับโบรคเกอร์ KTBST
ค่าธรรมเนียมเรทพิเศษ
พร้อมรับสิทธิพิเศษมากมาย
- ทีมงานมืออาชีพคอยให้บริการ
- โปรแกรม EFIN//ASPEN
- โปรแกรม SUPPORT อื่นๆเช่น MT4//MODEL TRADE//KTBST SMART และอื่นอีกมากมาย
กรอกรายละเอียดได้เลย 👇
โฆษณา