3 มิ.ย. 2020 เวลา 10:47 • ประวัติศาสตร์
*** การจลาจลฝรั่งเศส ***
ขณะนี้กำลังเกิดการจลาจลใหญ่ที่ฝรั่งเศสมีผู้ประท้วงกว่าสามแสน มีคนบาดเจ็บนัดพัน และมีคนตายแล้วสี่คน สถานการณ์ยังคงทวีความร้อนแรงขึ้นเรื่อยๆ ลุกลามไปในยุโรปหลายประเทศ ...แต่มันเกิดจากอะไรล่ะ? มันดำเนินไปอย่างไรนะ? บทความนี้จะสรุปให้ฟังง่ายๆ นะครับ
ตามที่ท่านทราบ กรุงปารีสในขณะนี้กำลังลุกเป็นไฟจากการต่อสู้กันระหว่างรัฐบาล และมวลชนกว่าสามแสนที่เรียกตนเองว่า "ม๊อบเสื้อกั๊กเหลือง"
...เรื่องทั้งหมดอาจจะเริ่มจากภาพๆ นี้...
ตลอดมามนุษย์ชาติผู้ชั่วร้ายได้ปล่อยมลพิษมาหุ้มโลก ทำให้แสงอาทิตย์เข้ามาแล้วไม่หลุดไปง่ายๆ จนโลกร้อนขึ้น น้ำแข็งขั้วโลกละลาย นำสู่น้ำจะท่วมโลก!!
ปัญหานี้ถูกจับตาจากหลายฝ่าย กลางปี 2017 ประธานาธิบดีแอมานุแอล มาครงของฝรั่งเศสซึ่งพึ่งรับตำแหน่งมาไม่กี่เดือน ได้ปราศรัยเรื่องการแก้ปัญหาโลกร้อน เขาวิจารณ์สหรัฐฯ ที่ถอนตัวจากข้อตกลงภูมิอากาศปารีส บอกว่าทรัมป์ควรมุ่ง "ทำให้โลกยิ่งใหญ่อีกครั้ง" แทนสโลแกน "ทำให้อเมริกายิ่งใหญ่อีกครั้ง" ที่เคยใช้หาเสียง
เขาเป็นประธานาธิบดีหนุ่มอายุเพียงสี่สิบปี เคยชูนโยบายปฏิรูปประเทศที่โดนใจ ทำให้ได้รับเลือกเข้ามาด้วยคะแนนเสียงท่วมท้น ตอนนี้เขากำลังบอกว่าสหรัฐนั้นกระจอก...
มาครงพูดว่าฝรั่งเศสจะเป็นผู้นำชาวโลกในการเป็นชาติปลอดคาร์บอนให้ได้ภายในปี 2050! โดยจะเปลี่ยนรถทั้งหมดมาให้ใช้พลังไฟฟ้า! จะปิดโรงไฟฟ้าถ่านหินภายใน 2022! จะลดการใช้พลังงานนิวเคลียร์ลงสู่ระดับ 50% ภายในปี 2025! และจะยุติการให้ใบอนุญาตในการสำรวจแหล่งน้ำมันและแก๊ซใหม่ๆ...!
ตอนนั้นคนฝรั่งเศสฟังแล้วก็ฮึกเหิม กรี๊ด! ประธานาธิบดีเราตบหน้าไอ้ทรัมป์หัวส้ม สุดเท่ไปเลยค่ะ!
อย่างไรก็ตาม เมื่อบริหารประเทศไปเรื่อยๆ มาครงกลับค่อยๆ ถูกมองว่าเป็น ปธน.ของคนรวย ...เริ่มจากเขาลดภาษีให้แก่พวกบริษัทห้างร้าน บอกว่ากระตุ้นการจ้างงาน
แต่ฝรั่งเศสก็ยังมีอัตราว่างงาน 10% ซึ่งสูงกว่ามาตรฐานยุโรป เมื่อมีคนว่างงานมาถาม มาครงกลับตอกหน้าว่า "แค่ตั้งใจจริงเดินข้ามถนนไปก็ได้งานแล้ว!" ทำเอาคนว่างงานนั้นอึ้ง เพราะเขาบากหน้าสมัครไปทุกแห่งแต่ไม่มีความคืบหน้าเลย ...มาครงช่างไม่เข้าใจหัวอกคนจน
ต่อมามาครงออกนโยบายขึ้นภาษีน้ำมันเพื่อจูงใจให้คนเลิกใช้รถยนต์ ...บอกว่าจะลดก๊าซคาร์บอนนะ ...รักษ์โลกนะ อยากเดินทางก็ใช้รถพลังไฟฟ้าหรือ ขสมก. เสะ
นโยบายนี้ฟังขึ้นสำหรับชาวเมืองใหญ่ แต่ในชนบทซึ่งขาดแคลนขนส่งมวลชนนั้น พวกเขายังต้องพึ่งพารถยนต์ส่วนบุคคลในการเดินทางมาก
นอกจากนั้นเหล่าชาวนาก็ยังต้องใช้น้ำมันกับเครื่องจักรทางการเกษตร นโยบายดังกล่าวจึงเหมือนออกมากดขี่ให้คนจนยิ่งจนหนักกว่าเดิม
มีคนถามว่ามาครงเอาเงินที่ได้จากภาษีน้ำมันกว่า 1.5 ล้านล้านบาทไปทำอะไร? มาครงตอบว่าเอาไปชดเชยการขาดดุลย์งบประมาณ ...เท่านั้นแหละผู้คนฟิวส์ขาด เพราะมันหมายความว่า มาครงลดภาษีบริษัทห้างร้านทำให้รัฐบาลได้เงินน้อยลง เลยต้องเอาค่าน้ำมันจากคนจนไปโปะ นี่มันปล้นคนจนไปให้คนรวยชัดๆ!
ชาวนาฝรั่งเศสบอกว่า ตูอยากช่วยสิ่งแวดล้อม แต่ตูไม่มีจะกินแล้วโว้ย! ไปหยุดการทำลายสิ่งแวดล้อมของพวกอุตสาหกรรมหนักสิ! ทำไมต้องมารีดเลือดกับตู!
ปรากฎคุณแม่วัย 51 ชื่อแจกลิน มูรอด (คนถือธงนำ) ออกวีดีโอด่ามาครงทางเฟซบุ๊ค โดนอกโดนใจผู้คนมากมาย มียอดวิวกว่า 6 ล้านวิวในระยะเวลาอันสั้น
ฝูงชนเก็บความไม่พอใจออกไปประท้วง พวกเขาเลือกใส่เสื้อกั๊กสีเหลืองเป็นสัญลักษณ์ของการชุมนุม ตั้งชื่อกลุ่มว่า "Gilets jaunes" (ชีเล่ท์ โชน) หรือกลุ่มกั๊กเหลือง
ทั้งนี้กฎหมายยุโรปมักกำหนดให้ผู้ขับขี่บนท้องถนนพกกั๊กเหลืองสะท้อนแสงไว้กับรถ ไว้ใส่เวลากลางคืนเพื่อความปลอดภัย (ที่เห็นคล้ายสีเขียวเขาเรียกเหลืองฟลูออเรสเซนต์นะจ๊ะ)
คนเลือกสัญลักษณ์กั๊กเหลืองเพราะมันเป็นของหาง่ายราคาถูก และยังเป็นการแสดงว่าเหตุการณ์ตอนนี้อันตรายร้ายแรงนัก
ม๊อบนี้ไม่มีกลุ่มการเมืองจัดตั้ง แต่ผู้คนอาศัยความโกรธแค้นนัดหมายประท้วงกันทางเฟซบุ๊ค
พวกเขารวมตัวกันเพื่อกู้ชาติ มีประชาชนฝรั่งเศสเห็นด้วยกับม๊อบนี้ถึง 77%
มีคำวิจารณ์ว่านี่เหตุการณ์นี้เป็นผลจากการความแตกต่างระหว่าง "เมือง" และ "ชนบท" ของฝรั่งเศส โดยช่วง 40 ปีที่ผ่านมา รัฐบาลได้มุ่งเน้นในการพัฒนาเมืองใหญ่ห้าถึงหกแห่งเป็น hub สำคัญ
ตัวอย่างหนึ่งที่สนับสนุนเรื่องนี้คือในช่วงต้นศตวรรษที่ 20 ฝรั่งเศสเคยเป็นประเทศหนึ่งที่มีทางรถไฟหนาแน่นที่สุด ครอบคลุมหัวเมืองใหญ่น้อยแทบทั้งสิ้น แต่หลังจากนั้นกลับมีการพัฒนารถไฟในเฉพาะจุดสำคัญ รถไฟไปยังเมืองเล็กๆ ถูกเลิกใช้และแทนที่ด้วยถนน ดังจะเห็นได้จากแผนผังรถไฟตามช่วงเวลาในภาพประกอบ
source:
homeดอทsaxo/insights/content-hub/articles/2018/11/19/the-economics-behind-the-gilets-jaunes-protests
การประท้วงลุกลามทั่วฝรั่งเศสพวกม๊อบปิดถนนใหญ่ และทางเข้าออกจุดจ่ายน้ำมันสำคัญ ทำให้ปั้มต่างๆ ขาดแคลนน้ำมัน ประชาชนอื่นๆ ได้รับความเดือดร้อนมาก
มีประชาชนที่เดินทางไม่ได้เพราะม๊อบบล๊อคถนน เกิดฟิวส์ขาดขับชนม๊อบบาดเจ็บล้มตายไปก็หลายกรณี ทำให้เกิดความโกรธแค้นขึ้น
รัฐบาลเอาตำรวจปราบจลาจลมาคุม ตอนแรกก็เอาดอกไม้ไปปักๆ ตามสูตร
รัฐบาลบอกว่าจะพิจารณาเลื่อนการเพิ่มภาษีน้ำมันในปีหน้า แต่ม๊อบบอกว่าแค่นั้นมันไม่พอโว้ย!
รัฐบาลบอกว่าจริงๆ ภาระค่าน้ำมันของพวกแกมันไม่ได้สูงขนาดนั้นเมื่อเทียบกับชาวยุโรปอื่นๆ แต่ม๊อบบอกว่าไม่สนโว๊ย!
เริ่มมีการต่อสู้กันกับตำรวจ... มีการยิงแก๊ซน้ำตา และการเอากระบองตี
แต่ตลอดประวัติศาสตร์ของชนชาวฝรั่งเศส พวกเขาเชี่ยวชาญการต่อสู้แบบนี้มาก!
(อันนี้ภาพเก่าจากอีกม๊อบนะครับ)
ว๊าก!!!
ย๊าก!!!
กระบวนท่าเคลื่อนย้ายจักรวาล!!!
ในความวุ่นวายนั้นได้เกิดเรื่องแปลกประหลาดขึ้นมากมาย...
เช่นอยู่ๆ ก็มีธงกองทัพจีนแดงรุ่นโบราณมาโบกสะบัด
มีธงของกลุ่มฟื้นฟูสถาบันกษัตริย์ฝรั่งเศสมาสะบัดด้วย
มีปูตินมาเดินเล่น...
.
.
.
.
.
.
(ปูตินทำให้เราไม่ได้สังเกตคนทำท่าแปลกๆตรงมุมขวาล่าง)
มีการแต่งงาน... อา ฝรั่งเศสช่างไม่ขาดความรัก...
เฮ้ย! มันดูกระจุ๋มกระจิ๋มกันไปโว้ย!! เราต้องหัวรุนแรงต่อ!!!
ว๊ากกกกก!!!
ย๊าก ทำลายบ้านเมือง!
ทำลายของโบราณด้วย! (รูปนี้พวกม๊อบเข้าไปทำลายรูปปั้นตรงประตูชัยฝรั่งเศส)
แชะ! คั่นจังหวะด้วยเซลฟี่ ในทุกสถานการณ์!
มาต่อที่เอารถชาวบ้านเผา ย๊ากกกกก!!! เหม็นคนรวย!!
ปล้นทำลายมันเข้าไป!!!
การที่รัฐบาลมาย้ำเตือนว่าค่าน้ำมันฝรั่งเศสไม่ได้สูงขนาดนั้นเมื่อเทียบกับชาติยุโรป ทำให้ชาติยุโรปอื่นๆ เริ่มรู้สึกตัวว่าตูจ่ายแพงอยู่นี่หว่า ทำให้การจลาจลกั๊กเหลืองลุกลามไปยังชาติอื่นๆ มากมาย
สถานการณ์บ้านเมืองวุ่นวาย จิตใจผู้คนร้อนรุ่ม พวกนักเรียนที่ไม่พอใจการปฏิรูปการสอบ (ซึ่งเป็นคนละเรื่องกับน้ำมัน) เริ่มออกมาประท้วงด้วย มีการจับกุมเด็กๆ ด้วยท่าเอามือไขว้หัว ซึ่งถูกวิจารณ์ว่าโหดร้าย (อันนี้ผมแคปวีดีโอมานะครับ ไม่ต้องกด)
มาครงบอกว่าไม่อ่อนข้อให้แล้วเว้ย! เราจะต่อต้านความป่าเถื่อนทุกรูปแบบ!!
นั่นทำให้สถานการณ์ร้อนระอุ ทวีความรุนแรงขึ้นอีก จนปัจจุบันก็ไม่มีทีท่าว่าจะจบ
การบริหารระดับประเทศนั้นจะออกนโยบายใดต้องคำนึงรอบด้าน ประสานผลประโยชน์ของคนหลายฝ่าย และมีการสื่อสารที่ดี นับว่าไม่ใช่งานง่ายเลย
เรื่องการจลาจลดังกล่าวเวลาเกิดในบ้านคนอื่นแล้วเหมือนไม่เครียดมาก แต่ที่ผ่านมาเราได้ผ่านการประท้วงรุนแรงหลายครั้ง พอเกิดในบ้านของเราเองก็เครียดเหมือนกัน
...เมื่ออ่านข่าวต่างประเทศเช่นนี้ เราควรมาทบทวนดูว่ามันเหมือนหรือต่างจากบ้านเราอย่างไร? เราได้เรียนรู้อะไรจากเรื่องเหล่านี้บ้าง? ทั้งนี้เพื่อให้ตระหนักรู้เท่าทัน ไม่มุ่งสู่ความผิดพลาดซ้ำอีก
source:
bbcดอทcom
aljazeeraดอทcom
france24ดอทcom
::: ::: :::
สนใจเรื่องประวัติศาสตร์ สงคราม เรื่องต่างประเทศ กดติดตามเพจ The Wild Chronicles - เชษฐา https://www.facebook.com/pongsorn.bhumiwat ได้เลยจ้า

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา