4 มิ.ย. 2020 เวลา 01:32 • ธุรกิจ
วิธีใช้ 'บัตรเครดิต' ให้ไม่ติดหนี้ แถมมีแต่ได้กับได้
"บัตรเครดิต" เครื่องมือทางการเงินที่มีสารพัดข้อดี แต่เมื่อใช้อย่างประมาท ขาดความรู้ ความเข้าใจ มักจะถูกโปรโมชั่นมากมายหลอกล่อให้ติดกับดักที่หอมหวาน และกลายเป็นผู้ที่มีหนี้ท่วมหัวได้ง่ายๆ
"กรุงเทพธุรกิจออนไลน์" จึงรวบรวม วิธีใช้บัตรเครดิตที่ควรทำ 7 ข้อทำให้ไม่มีวันติดกับดักหนี้ และทำให้คุณสนุกกับการบริหารเงินในฐานะ "ลูกหนี้ชั้นดี"
วิธีใช้ 'บัตรเครดิต' ให้ไม่ติดหนี้ แถมมีแต่ได้กับได้
1. ไม่จ่ายแค่ "ขั้นต่ำ" เด็ดขาด!
การใช้บัตรเครดิตแบบผิดๆ คือ การให้บัตรเครดิตเป็น "เจ้าหนี้เงินกู้" คือใช้รูดสินค้าจำนวนมากในคราวเดียว หรือรูดรวมภายในยอดบิลเดียวกัน ยอดหนี้จะกองเพนินเป็นกองใหญ่ แล้วมาทยอยจ่ายขั้นต่ำทีหลัง
เช่น ยอดเต็ม 20,000 บาท จ่ายขั้นต่ำที่ 10% ของยอดที่ใช้ คือ 2,000 บาท บัตรเครดิตจะคิดดอกเบี้ยขั้นต่ำ 18-20% ต่อปีทันที ซึ่งหากจ่ายขั้นต่ำไปจนเรื่อยๆ ทุกๆ เดือนดอกเบี้ยจะพอกพูนเป็นเงินต้นและคิดดอกเบี้ยทับอีกตลบจนกลายเป็นหนี้ก้อนใหญ่ได้
หากจะขยายความ สาเหตุที่ควรจ่ายบัตรเครดิตขั้นต่ำโดยเด็ดขาดคือ เพราะหลังจากที่มีการจ่ายขั้นต่ำ ผู้ให้บริการจะคิดดอกเบี้ยบัตรเครดิตแบบ 2 เด้ง ดังตัวอย่างต่อไปนี้
เด้งที่ 1
2
วิธีการคิดดอกเบี้ยเด้งที่ 1 : ยอดที่ใช้จ่ายทั้งหมด x อัตราดอกเบี้ยต่อปี x จำนวนวันจากวันที่ทำรายการถึงวันที่สรุปยอดบัญชี / จำนวนวันใน 1 ปี
ดอกเบี้ยเด้งที่ 1 : 20,000 x 18% x 22 (สมมติ) / 365 = 216.99 บาท
เด้งที่ 2
วิธีการคิดดอกเบี้ยเด้งที่ 2 : ยอดคงค้าง x อัตราดอกเบี้ยต่อปี x จำนวนวันจากวันที่ชำระคืนบางส่วน ถึงวันสรุปยอดบัญชีครั้งถัดไป / จำนวนวันใน 1 ปี
ดอกเบี้ยเด้งที่ 2 : 18,000 x 18% x 12 (สมมติ) /365 = 168.66 บาท
เพราะฉะนั้น วันสรุปบัญชีรอบใหม่ จะต้องจ่าย 216.99 (ดอกเบี้ยเด้งที่ 1) + 168.66 (ดอกเบี้ยเด้งที่ 2) และ 18,000 (ยอดคงค้าง) รวมเป็น 18,385.65 บาท
โดยจะถูกคิดดอกเบี้ยในลักษณะนี้ไปเรื่อยๆ จนกว่าจะจ่ายครบทั้งต้นทั้งดอก ยิ่งไปกว่านั้น ถ้ายังจ่ายยอดเก่าไม่หมดแล้วรูดยอดใหญ่เพิ่มขึ้นไปอีก หนี้บัตรเครดิตเหล่านี้จะกระชากคุณลงสู่วังวนหนี้ในทันที และแน่นอนว่าถ้าไม่สามารถชำระได้หมดตามระยะเวลา คุณจะถูกตราหน้าเป็นลูกหนี้ชั้นแย่ และส่งผลกระทบต่อการขอสินเชื่อที่จำเป็นในอนาคตได้
ฉะนั้น.. ถ้าคิดจะใช้ อย่าจ่ายแค่ขั้นต่ำ!
2. จำกัดวงเงิน ต่อรอบบิล
ปกติวงเงินในบัตรเครดิตมักจะอนุมัติประมาณ 1.5 ของเงินเดือนขึ้นไป ซึ่งแน่นอนว่าการมีบัตรเครดิต ทำให้เราเหมือนมีเงินสำรองก้อนหนึ่งอยู่ในมือ แต่ถ้ารูดเต็มวงเปรี๊ยะตั้งแต่รอบแรก โดยไม่มีเงินสำรองจ่าย แล้วรอเงินเดือนที่จำนวนพอๆ กับเงินที่ใช้ไปล่วงหน้าไปจ่ายบัตรเครดิต ชีวิตคุณจะเปลี่ยนเป็นคนทำงานเพื่อถวายตัวให้หนี้บัตรเครดิตไม่รู้จบ
ฉะนั้น ก่อนใช้บัตรเครดิตในแต่ละเดือนจึงควร "จำกัดวงเงินที่จะใช้แต่ละเดือนให้ชัดเจน" โดยประเมินตามกำลังการจ่ายของตัวเอง เช่น วงเงินทั้งหมด 30,000 บาท จำกัดการใช้ต่อเดือน 10,000 บาท เพื่อเป็นกรอบเตือนสติไม่ให้ใช้เงินเกินกำลังในการชำระคืนในแต่ละเดือน ซึ่งวิธีนี้จะช่วยป้องกันการรูดเพลินเกินห้ามใจ และกลายเป็นภาระหนักอึ้งที่ตามมา
1
3. รูดเท่าไร จ่ายเท่านั้น
นอกจากไม่จ่ายขั้นต่ำแล้ว สิ่งที่ควรทำ คือ “การจ่ายเต็มจำนวนทุกครั้ง” นี่เป็นวิถีของลูกหนี้ชั้นดี ที่ทำให้บัตรเครดิตเป็นเครื่องมือทางการเงินที่แสนจะมีประโยชน์ เพราะการชำระเต็มจำนวนตามเวลาที่กำหนด หรือจ่ายภายในระยะเวลาปลอดดอกเบี้ย (แต่ละบัตรมีเงื่อนไขที่แตกต่างกัน) จะไม่ถูกคิดดอกเบี้ยใดๆ เลย ในทางตรงกันข้าม หากจ่ายแค่ยอดขั้นต่ำจะถูกคิดดอกเบี้ยแบบ 2 เด้งตามวิธีการคิดเบื้องต้นในข้อที่ 1 ด้วย
4. ซ้อมเป็นหนี้ /เก็บเงินก่อนรูด
หลายคนเข้าใจว่า บัตรเครดิตทำหน้าที่เป็น "เงินอนาคต" ทั้งที่ในความเป็นจริงแล้วในอนาคตเราอาจจะไม่เงินก้อนนั้น และการรูดซื้อของไปล่วงหน้า เท่ากับเรากำลังมีเงินติดลบเสียด้วยซ้ำ
การเก็บเงินก่อนรูดเป็นการสร้างเงินสำรองขึ้นเพื่อให้มั่นใจว่าเรามีกำลังที่จะชำระเงินคืนได้อย่างแน่นอน อย่างน้อยที่สุดควรมีเงินสดสำรอง 50% ของสินค้าที่จะซื้อผ่านบัตรเครดิต เพื่อเตรียมสะสมสำหรับจ่ายเต็มจำนวนในเดือนถัดไป
3
หรืออีกหนึ่งวิธีคือการ "ซ้อมเป็นหนี้" ก่อนผ่อนชำระจริง เช่น ต้องการซื้อสินค้าราคา 30,000 บาท โดยใช้สิทธิประโยชน์ผ่อน 0% เป็นเงิน 3,000 เป็นเวลา 10 เดือน จะต้องมีการหักเงินเข้าบัญชีเพื่อซ้อมผ่อน ก่อนจ่ายจริงอย่างน้อย 3-5 เดือน เพื่อให้มั่นใจว่าเมื่อมีเหตุการณ์ฉุกเฉินทางการเงินเกิดขึ้นระหว่างที่อยู่ในโปรแกรมผ่อนชำระ เราจะยังสามารถผ่อนชำระได้ตรงตามเวลา แบบปลอดดอกเบี้ยได้สบายๆ
อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง: วางแผนดีมีชัยไปกว่าครึ่ง! บัตรกดเงินสด-บัตรเครดิต ใช้อย่างไรให้คุ้ม
5. จ่ายตรงตามเวลาทุกเดือน
จ่ายตรงตามเวลาทุกเดือน การจ่ายเงินคืนบัตรเครดิตตามกรอบระยะเวลาที่กำหนดทันทีที่สรุปยอดบิล หรือจ่ายก่อนวันครบกำหนดชำระ นอกจากเราจะไม่ต้องเสียดอกเบี้ยที่ไม่ควรเสียแล้ว การจ่ายเงินตามเวลาที่กำหนดยังช่วยรักษาสถานะลูกหนี้ชั้นดี ที่อาจส่งผลต่อการขอสินเชื่อในอนาคตด้วย
6. ทำความเข้าใจ "ใบแจ้งหนี้"
เอกสารแจ้งหนี้ หรือใบแจ้งหนี้แบบอิเล็กทรอนิกส์เป็นสิ่งที่หลายคนมองข้าม และไม่ยอมศึกษาอย่างละเอียด ทั้งที่ความเป็นจริงแล้วการตรวจสอบใบแจ้งหนี้อย่างละเอียดทั้งวันที่สรุปยอด วันครบกำหนดชำระ โดยเฉพาะช่วงที่มีการผ่อนจ่าย ที่อาจมีการคำนวณดอกเบี้ยเพิ่มขึ้น หากไม่ตรวจสอบและทำความเข้าใจการคิดอัตราดอกเบี้ย หรือรอบการจ่ายในแต่ละเดือนอาจทำให้เกิดความเข้าใจผิด จนนำไปสู่การวางแผนชำระหนี้ผิด อาจส่งผลกระทบด้านการเงินอื่นๆ ที่ตามมาได้
7. ใช้สิทธิพิเศษของบัตรให้เป็นประโยชน์
ข้อดีของการใช้เครดิตที่แตกต่างจากการใช้เงินสด คือ สิทธิประโยชน์ต่างๆ ที่ "เงินสดให้ไม่ได้" ซึ่งการใช้สิทธิประโยชน์ต่างๆ เหล่านี้จะตามมาอัตโนมัติ ถ้าใช้เราสามารถบริหารจัดการบัตรเครดิตได้ 6 ข้อด้านบน หรือรักษาสถานะลูกค้าชั้นดีมาอย่างต่อเนื่อง โดยบัตรเครดิตแต่ละธนาคาร หรือบัตรแต่ละประเภทย่อมให้สิทธิประโยชน์ที่แตกต่างกันออกไป
ฉะนั้นก่อนเลือกสมัครบัตรเครดิต ลองเลือกบัตรที่มีคุณสมบัติที่เข้ากับไลฟ์สไตล์ตัวเองมากที่สุด เช่น สายช้อปปิ้ง เลือกบัตรที่ให้สิทธิประโยชน์ร่วมกับร้านรีเทล ศูนย์การค้า หรือร้านที่ใช้บริการเป็นประจำ เป็นต้น
โฆษณา