5 มิ.ย. 2020 เวลา 05:00 • ท่องเที่ยว
ประสบการณ์ 101 ฟ้าหม่น ฝนปราย ที่ ไต้หวัน
ตอนที่ 0 ความซวยที่เริ่มต้นตั้งแต่ก้าวเท้าเข้าสนามบิน
มันเป็นวันที่ฝนลงกระหน่ำมาก…
ตอนที่ผมก้าวเท้าเข้าไปในสนามบินตอนสองทุ่มนิดๆ เมื่อสามปีก่อน ในใจแอบหวั่นไหวเล็กน้อย ทั้งจากลมฝนข้างนอก และความรู้สึกว่ากำลังจะลืมอะไรบางอย่าง เรานั่งรอเที่ยวบินรอบห้าทุ่มของพวกเราด้วยใจจดจ่อ เพื่อนของผมคนหนึ่งวุ่นวายกับกระเป๋าเป้ในมือ ขณะที่ผมได้แต่นั่งดู
“กูลืมพาสปอร์ตหว่ะ”
ใจตะหงิดที่ว่าเหมือนจะเต้นแรงและบอกกับผมว่า “กูว่าแล้วไง”
อย่างน้อยๆ ความโชคร้ายก็ยังมีความโชคดีอยู่หน่อยหนึ่งปนเปอยู๋ในนั้น เพื่อนของผมใช้เวลา 45 นาทีในการเดินทางกลับไปเอาพาสปอร์ตกลับมา ในทริปนี้ประกอบด้วย นายตำรวจบ้าเครื่องบิน พ่อค้านักกล้าม และตัวผมเอง เราสามคนเกิดอุปธานหมู่กันขึ้นในบ่ายวันหนึ่งที่ทุกอย่างดูราบเรียบ
“เราไปไต้หวันกันไหม คราวที่แล้วที่กูไปมันดีมากเลยเว้ย” นักกล้ามพูดขึ้นที่ปลายสาย ขณะที่ชุมทางเพื่อนสนิท 4 คนกำลังได้พบปะพูดคุยกันผ่านสายสัญญาณที่มองไม่เห็น “ก็ไปดิ” ถึงจะไม่ครบ 4 แต่ทริปเราก็ไม่ล่มเหมือนใครๆ ละนะ ฮ่าๆ (หัวเราะแบบตัวร้าย)
ง่ายๆ แบบนั้นนั่นเอง ที่มาของการเดินทางที่เต็มไปด้วยเรื่องราวไม่รู้จบครั้งนี้…
ฝนยังกระหน่ำเทลงหลังคาสนามบินดอนเมืองอย่างไม่หยุดยั้ง ผมคิดว่านอกจากการหลงลืมอะไรบางอย่างที่เป็นลางสังหรณ์ในใจตลอดระยะเวลาที่มาที่นี่แล้ว ผมว่า เที่ยวบินอาจจะเลื่อนไปจนดึกดื่นกว่านั้นแน่ๆ อย่างไรก็ตาม ผมออกจะคิดผิดถนัดทีเดียว เราสามคนเดินตรงไปเช็คอินเครื่องรอไว้ก่อน หลังจากที่ทุกอย่างเตรียมพร้อมแน่นอน กระเป๋ากำลังแล่นไปตามสายพานสู่ที่ทางที่ถูกเตรียมไว้ก่อน ขณะที่เจ้าหน้าที่ตรวจเช็คพาสปอร์ตของพวกเรา เพื่อเตรียมออกบัตรโดยสาร ผู้คนขวักไขว่เสียงดัง แม้ว่าจะถึงเวลานอนของเด็กอนามัยแล้วก็ตาม ผมเริ่มตะหงิดใจอีกครั้งเมื่อเจ้าหน้าที่เริ่มเรียกกันมาดูพาสปอร์ตของผม
“พาสปอร์ตของคุณมีอายุไม่ถึงหกเดือนค่ะ เราคงอนุญาตให้คุณขึ้นเครื่องไม่ได้”
ตายละหว่า ลางสังหรณ์อันแม่นยำนี้ไม่ได้ทำงานเพราะเพื่อนนักกล้ามลืมพาสปอร์ต หรือนายตำรวจลืมทาครีมรักษาสิว แต่เพราะเหตุที่พาสปอร์ตของผมไม่ได้หมดอายุ แต่มันมีอายุไม่ถึง 6 เดือนต่างหากหล่ะ ผมขอเตือนนักเดินทางทุกท่านไว้เลยนะครับว่า มันเป็นเรื่องสำคัญมากที่จะตรวจเช็คพาสปอร์ตก่อนออกเดือนทางทุกครั้ง ไม่อย่างนั้น คุณอาจจะต้องเดินคอตกไปรับกระเป๋าที่ควรได้เดินทางไปยังไต้หวัน เป็นความรู้สึกแบบ ตกเครื่องไปเชียงใหม่คูณ 4 ที่ทำให้ผมรู้สึกตัวเบาโหวงและหน้าชาไม่หยอกทีเดียว
ความที่เป็นนักเดินทาง ผมคงไม่หยุดจบความฝันของการไปเหยียบแผ่นดินไต้หวันครั้งแรกนี้ไปง่ายๆ อย่างแน่นอน ต่อให้จะทิ้งผ้ากันเปื้อนไปแล้วก็ตามแต่ เอ้ย ผิดรายการ ผมเดินทางกลับพร้อมกล่าวคำอำลากับเพื่อนเอาไว้ว่า “แล้วเดี๋ยวเราจะตามไป” ในคืนเดียวกันนั้น ผมโทรไปหาสนามบินอีกครั้ง เพื่อไถ่ถามถึงความสงสัยของการทำพาสปอร์ต จนได้ความและแน่ใจว่า ผมสามารถได้พาสปอร์ตภายในวันพรุ่งนี้บ่าย และออกเดินทางอีกครั้งด้วยเที่ยวบินกลางคืนได้อย่างแน่นอน
จากที่รู้สึกตื่นเต้นนิดหน่อยเพราะอุ่นใจที่มีเพื่อนรู้ภาษาจีนหนึ่งคนในทริป กลายเป็นอีกความรู้สึกหนึ่ง ผมกำลังจะได้เดินทางไปต่างประเทศคนเดียวแล้วสินะ ในคืนนั้นผมแทบนอนไม่หลับเลย เมื่อนึกถึงว่า มันจะน่าสนุกขนาดไหน กับการผจญภัยเล็กๆ ตัวคนเดียวในวันพรุ่งนี้ ไม่มีความหวั่นใจอยู่เลยในขณะนั้น อาจจะเพราะว่า เรื่องที่เลวร้ายที่สุดได้ผ่านพ้นไปแล้วก็ได้ ฟ้าฝนยังโหมกระหน่ำอยู่ แต่ผมรู้ว่าจะหาร่มได้จากที่ไหนแล้วหล่ะคราวนี้
เช้าวันต่อมา ผมยอมควักเนื้อตัวเองอีกหมื่นกว่าบาท เป็นค่าตั๋วเครื่องบิน และ Fast Track สู่การได้พาสปอร์ตที่เร็วเหลือเชื่อ เงิน 3000 บาทแลกมาด้วยเวลาอันมีค่า ใครจะบอกว่ามันคุ้มค่าก็คงได้ ถ้าคุณจะมองแบบนั้นน่ะนะ แต่ถึงอย่างนั้น การที่ไม่รู้ว่า พาสปอร์ตไม่หมดอายุก็เล่นงานเราได้ในครั้งนี้นั้น ก็ทำให้ผมเสียดายเงินไม่ใช่น้อยเลยทีเดียว โชคดีอย่างหนึ่งคือการจองตั๋วรอบแรก ผมหาแล้วหาอีกจนได้ในราคาที่ถูกมากๆ ขณะเดียวกัน Hostel ที่เราจองกันสามคนนั้น มีราคาตกคืนละ 100 บาทเท่านั้นเอง ผมเลยไม่เจ็บตัวมากนักเรื่องที่พักที่จ่ายไปแล้ว
ในค่ำวันนั้น ผมก้าวเท้าอย่างมั่นใจในรอบนี้ ขึ้นสู่เครื่องบิน นั่งลงบนที่นั่งข้างประตูฉุกเฉิน ดูเหมือนลางสังหรณ์คราวก่อนจะหายไปแล้ว ความตื่นเต้นกลับมาแล้ว มันเป็นความตื่นเต้นที่ดี ผมคิดว่าผมพร้อมรับความวายป่วงอีกครั้งแล้วหล่ะ หลังผ่านมาได้ 24 ชั่วโมงพอดี ฝนหยุดแล้วในค่ำคืนนี้ มีแค่เพียงฟ้าหลังฝนอันสดใส ก็หวังไว้แบบนั้นละนะ ถึงแม้พยากรณ์อากาศจะบอกว่า ไต้หวันจะมีฝนตกทุกวันในช่วงเดือนมิถุนายน แบบนี้
ที่นั่งอย่างดี ที่มีคู่มือสอนเปิดประตูฉุกเฉิน พร้อมสาธิตวิธีโดยแอร์โฮสเตสสาว
โฆษณา