6 มิ.ย. 2020 เวลา 13:15 • กีฬา
ฮานายามะ คาโอรุ : ภาพสะท้อนของลูกผู้ชายที่ใช้กำปั้นและสัญชาตญาณเพื่อศักดิ์ศรี
ท่ามกลางตัวละครที่มีอยู่มากมายในมังงะเรื่อง BAKI THE GRAPPLER หรือที่ในบ้านเรารู้จักกันดีในชื่อ บากิ จอมประจัญบาน ผลงานมังงะแอ็กชั่นต่อสู้ดุเดือดเลือดพล่านจากปลายปากกาของอาจารย์ เคสึเกะ อิตางากิ ที่เริ่มตีพิมพ์ครั้งแรกตั้งแต่ปี 1991 นอกจาก ฮันมะ บากิ พระเอกของเรื่องแล้ว อีกหนึ่งตัวละครที่นักอ่านทุกคนจดจำได้เป็นอย่างดี ยังไงก็ต้องมีชื่อของ “ฮานายามะ คาโอรุ” รวมอยู่ในนั้น
เนื่องจาก ฮานายามะ คาโอรุ เป็นตัวละครที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวโดดเด่น เขาเป็นชายหนุ่มร่างใหญ่ สูงเกือบ 2 เมตร ร่างกายเต็มไปด้วยรอยสักและแผลเป็นมากมายนับไม่ถ้วน ยิ่งไปกว่านั้น คาโอรุ คือหัวหน้าหน้าแก๊งยากูซ่าทรงอิทธิพลในประเทศญี่ปุ่น ทั้งๆ ที่อายุยังไม่ครบเกณฑ์บรรลุนิติภาวะด้วยซ้ำ เขามักจะปรากฎตัวในชุดสูทสีขาว-ม่วง มีรังสีความน่าเกรงขามแผ่ออกมารอบตัว
ความนิยมของ ฮานายามะ คาโอรุ ถึงขั้นที่ว่าเขาเป็นเพียงตัวละครหนึ่งเดียวนอกจากพระเอกของเรื่องที่มีเนื้อเรื่อง Spin-Off เป็นของตัวเองในชื่อภาค Baki Gaiden: Kizuzura โดยในตอนนี้มีออกมาทั้งหมด 3 เล่ม และถ้าถามว่าทำไมตัวละครนี้ถึงได้รับความนิยม คำตอบก็เพราะนอกจากจะมีดีไซน์รูปลักษณ์ภายนอกที่เท่โดนใจ แตกต่างจากตัวละครตัวอื่นแล้ว คาโอรุ ยังถือเป็นภาพสะท้อนของคำว่า “ลูกผู้ชาย” ที่ใช้แค่กำปั้นและพลังกายตัดสินปัญหาต่างๆ อย่างขาวสะอาด ดำรงไว้ซึ่งศักดิ์ศรี ปกป้องสิ่งที่ตัวเองรัก ไม่มีกลยุทธ์ใดๆ ไม่เล่นสกปรกนอกเกม ไม่ใช้อาวุธ ในขณะที่ตัวละครส่วนใหญ่ในมังงะเรื่องนี้มักจะเน้นไปที่ศิลปะการต่อสู้เป็นหลัก
ในครั้งนี้เราจึงหยิบตัวละครนี้มาวิเคราะห์ เนื่องจากคงไม่มีตัวละครไหนที่จะสะท้อนถึงการเป็น “ลูกผู้ชายใช้กำปั้น” ได้ดีเท่ากับ ฮานายามะ คาโอรุ อีกแล้ว ติดตามได้ที่ ​Main Stand
ทำไมผู้ชายถึงใช้กำปั้นในการตัดสิน?
ก่อนที่จะเข้าเรื่องของ ฮานายามะ คาโอรุ ประเด็นที่เราจำเป็นต้องหยิบยกมาพูดถึงก่อนก็คือการย้อนกลับไปที่จุดกำเนิดว่าทำไมมนุษย์เพศชายจึงใช้กำปั้นและพลังกายเข้าต่อสู้กัน โดยเรื่องนี้ไม่ได้เพิ่งเกิดขึ้นกับมนุษย์สมัยใหม่หรือ Modern Human เท่านั้น เพราะแม้แต่ในยุคที่มนุษย์ยังอาศัยอยู่ในถ้ำก็ไม่แตกต่างกัน
Photo : myspace.com
“นับตั้งแต่อดีตในยุคมนุษย์ถ้ำ มนุษย์เพศชายก็เริ่มมีการวิวาทโดยการชกต่อยกัน หรือวิวาทกันแล้ว โดยจุดเริ่มต้นมาจากเพื่อใช้ในการตัดสินว่ามนุษย์เพศชายคนไหนจะแข็งแกร่งพอที่จะมีสิทธิ์ได้สืบพันธุ์กับมนุษย์เพศหญิง หลักการเดียวกับกับสัตว์ประเภทอื่นๆ ที่ตัวที่แข็งแกร่งที่สุดจะกลายเป็นจ่าฝูง”
“เหตุผลเหล่านี้ทำให้วิวัฒนาการของมนุษย์เพศชายกับมนุษย์เพศหญิงมีความแตกต่างกันมากขึ้นเรื่อยๆ มนุษย์เพศชายจะมีความแข็งแกร่งทางด้านพลังกายที่มากขึ้น ในขณะที่เพศหญิงจะไม่ค่อยปรากฎวิวัฒนาการในส่วนนี้เท่าไรนัก ส่งผลให้ในปัจจุบันมนุษย์เพศชายมีความแข็งแกร่งในแง่ของมวลกล้ามเนื้อมากกว่ามนุษย์เพศหญิงถึง 162% เลยทีเดียว”
“แน่นอนว่ารูปแบบการต่อสู้แบบดั้งเดิมที่สุดและไม่เคยเปลี่ยนแปลงไปเลยก็คือการขว้างหมัดเข้าใส่กันนี่แหละ” ศาสตราจารย์ เดวิด แครีเออร์ ผู้เชี่ยวชาญเรื่องวิวัฒนาการมนุษย์แห่ง University of Utah กล่าว
และหลังจากนั้นต่อให้สังคมมนุษย์จะเปลี่ยนแปลงไปแค่ไหน มีความศิวิไลซ์มากขึ้นสักเพียงใด แต่สิ่งเหล่านี้ก็ไม่เคยเปลี่ยนแปลงไป ตรงกันข้ามมันกลับเข้มข้นขึ้นเสียด้วยซ้ำ โดยในเรื่องนี้ จอห์น ก็อตชอล ผู้เขียนหนังสือเรื่อง The Professor in the Cage: Why Men Fight and Why We Like to Watch อธิบายเรื่องนี้ไว้ได้อย่างน่าสนใจ
Photo : www.zimbio.com
“ไม่ใช่เรื่องแปลกหรอกที่คุณจะรู้สึกแย่กับตัวเองในตอนที่คุณขับรถอยู่บนถนนแล้วมีคันข้างๆ เปิดกระจกชูนิ้วกลางใส่คุณ แต่คุณไม่มีความกล้าพอที่จะลงไปเอาเรื่อง ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม คุณอาจจะไม่อยากมีปัญหาถึงขั้นขึ้นโรงขึ้นศาล ดังนั้นคุณจึงแกล้งทำเป็นมองไม่เห็นแล้วขับผ่านไป หรือไม่ก็แค่บีบแตรไล่”
“ที่คุณรู้สึกแย่ก็เพราะมนุษย์เพศชายทุกคนนั้นมีศักดิ์ศรีฝังลึกอยู่ในระดับสัญชาตญาณ ความรู้สึกเหล่านี้ติดตัวมาตั้งแต่สมัยโบราณที่ยังต้องใช้กำลังแย่งชิงเพื่อเป็นจ่าฝูง ดังนั้นจึงเป็นเรื่องธรรมดาที่คุณจะรู้สึกว่าศักดิ์ศรีในส่วนนั้นโดนเหียยดหยาม โดยเฉพาะจากมนุษย์เพศชายด้วยกันเอง”
“ยิ่งสังคมพัฒนาไปเท่าไร มนุษย์ก็ยิ่งเชื่อมโยงกับสิ่งต่างๆ มากขึ้น มีสิ่งที่หวงแหนอยากปกป้องมากขึ้น มีศักดิ์ศรีมากขึ้น เพียงแต่วิธีการแสดงออกยังคงเดิม คือการใช้กำลังเขวี้ยงหมัดใส่กัน”
จากคำอธิบายตามหลักวิทยาศาสตร์เหล่านี้ทำให้เราเห็นภาพได้อย่างชัดเจนว่าทำไมผู้ชายจึงมักทะเลาะกันและจบด้วยการวิวาทใช้กำลังอยู่เสมอ นั่นก็เพราะคำสั้นๆ แต่มีความหมายลึกซึ้งในหลากหลายบริบทอย่าง “ศักดิ์ศรี” ซึ่งคำๆ นี้ก็เป็นคำเดียวกับสิ่งที่ตัวละคร ฮานายามะ คาโอรุ ยึดถืออย่างเคร่งครัดเท่าชีวิตของเขา โดยมีจุดเริ่มต้นมาจากเหตุการณ์หนึ่งในอดีตอันแสนไกล….
จุดเริ่มต้นของศักดิ์ศรีที่แบกรับ
ในค่ำคืนที่ดูเหมือนคืนธรรมดาทั่วไป ครอบครัวขุนนางครอบครัว​หนึ่งได้ให้ที่พักพิงอาศัย พร้อมการเลี้ยงดูปูเสื่ออย่างดีแก่นักเดินทางร่อนเร่ปริศนาผู้หนึ่ง ทุกอย่างดูเหมือนจะดำเนินไปอย่างปกติ เพียงแต่ว่าในค่ำคืนเดียวกันนั้นเอง ครอบครัวนี้โดนกลุ่มนักฆ่าบุกเข้ามาในบ้าน ก่อนจะลงมือสังหารสมาชิกครอบครัวทุกคนอย่างเลือดเย็น
Photo : mangapark.net
ทั่วทั้งบ้านเปรอะเปื้อนไปด้วยคราบเลือด แต่ก่อนที่กลุ่มนักฆ่าจะกลับไป พวกเขาได้พบกับชายเร่ร่อนปริศนากำลังยืนแบกระฆังขนาดใหญ่เท่าตัวเองไว้บริเวณหลัง เมื่อเห็นเช่นนั้นกลุ่มนักฆ่าก็ไม่รอช้าในการลงมือจัดการปลิดชีพชายเร่ร่อน พวกเขาระดมการโจมตีทุกชนิด ทั้ง เตะ ต่อย ใช้มีดแทง ใช้ปืนยิง เรียกว่ากระหน่ำลงไปไม่ยั้ง แต่ปรากฎว่าชายเร่ร่อนคนดังกล่าวกลับยืนแบกระฆังไว้อย่างสงบนิ่ง ไม่ไหวติง ไม่เคลื่อนไหว และถึงแม้ว่าเขาจะทนพิษบาดแผลไม่ไหว เสียชีวิตไปเพราะการโจมตี เขาก็ไม่ยอมล้ม ยังคงยืนแบกระฆังไว้อย่างตระหง่าน จนสุดท้ายก็เป็นฝ่ายนักฆ่าที่ถอยทัพกลับไปเอง
เช้าวันรุ่งขึ้น บริวารรับใช้ของบ้านดังกล่าวก็เข้ามาพบกับศพของเหล่านายจ้างที่โดนสังหารอย่างโหดเหี้ยมกระจายอยู่ทั่วทั้งบ้าน และแน่นอนว่าพวกเขาก็พบกับศพของชายเร่ร่อนด้วยเช่นกัน ซึ่งถึงแม้ว่าจะผ่านมาหลายชั่วโมงแล้ว ร่างของชายเร่ร่อนก็ยังคงยืนหยัดแบกระฆังน้ำหนักหลายร้อยกิโลกรัมเอาไว้ ทั้งๆ ที่ไร้ซึ่งลมหายใจไปแล้ว
เมื่อเหล่าคนรับใช้ยกระฆังออกจากหลังชายเร่ร่อน ก็พบว่าภายใต้ระฆังขนาดยักษ์นั้นมี "ฮานายามะ ยากิชิ" ลูกชายคนเล็กสุดของตระกูลหลบซ่อนตัวอยู่ ซึ่งเด็กน้อย ยากิชิ ที่รอดชีวิตมาได้ราวปาฏิหารย์ผู้นี้ต่อมาก็ได้กลายเป็นบรรพบุรุษต้นตระกูลฮานายามะ และสืบสายเลือดมาจน ฮานายามะ คาโอรุ ถือกำเนิดขึ้น
ดังนั้นชายเร่ร่อนผู้แบกระฆังจึงกลายเป็นผู้มีพระคุณที่รักษาสายเลือดของตระกูลฮานายามะเอาไว้ให้ยังดำรงอยู่ โดยที่ทุกคนในตระกูลรู้จักกันในนามตำนาน "ชายผู้ยืนหยัด" และไม่ใช่แค่เรื่องราวของเขานั้นที่ถูกเล่าขานสืบทอดกันมา เกียรติภูมิของเขาก็เช่นกัน ดังนั้นผู้ชายในตระกูลฮานายามะทุกคนจึงมีสิ่งหนึ่งที่ต่างก็ยึดถือไว้เหมือนกันคือ
"จงยืนหยัดและอย่าล้มลง ถึงแม้จะต้องตายก็ตาม"
ขอพิทักษ์ไว้ด้วยกำปั้น
นอกจากเรื่องราวของชายผู้ยืนหยัดแล้ว การที่ ฮายามาะ คาโอรุ เติบโตขึ้นมาในตระกูลยากูซ่าทรงอิทธิพล โดนหมายมั่นปั้นมือให้เป็นผู้สืบทอดแก๊งฮานายามะในฐานะรุ่นที่ 2 มาตั้งแต่จำความได้ และเมื่อ ฮานายามะ เคย์โซ ผู้เป็นพ่อด่วนจากไป ทำให้ คาโอรุ ต้องขึ้นมาแบกรับหน้าที่ต่อในขณะที่อายุได้เพียง 15 ปีเท่านั้น นอกจากนั้นการที่เขาเหลือแค่แม่ที่ป่วยเป็นโรงมะเร็งเป็นคนในครอบครัวเพียงคนเดียว ยิ่งทำให้ศักดิ์ศรีที่ คาโอรุ ต้องแบกรับยิ่งมีมากขึ้นไปอีก
Photo : matome.naver.jp
ตั้งแต่จำความได้ ฮานายามะ คาโอรุ ไม่เคยฝึกฝนศิลปะการต่อสู้ หรือแม้แต่ในการต่อสู้จริง ที่ยากูซ่ามักจะใช้อาวุธอย่างปืนหรือดาบเข้าห้ำหั่นกัน เขาก็ไม่เคยทำเช่นนั้น มีเพียงกำปั้นและพลังร่างกายเท่านั้นที่ คาโอรุ ใช้เพื่อปกป้องศักดิ์ศรี รวมถึงเพื่อแสดงออกถึงการเป็นผู้แข็งแกร่งอย่างแท้จริง โดยมีหลายเหตุการณ์ที่ปรากฏตามท้องเรื่องสะท้อนสิ่งเหล่านี้ออกมาอย่างชัดเจน
ครั้งแรกคือในตอนที่ คาโอรุ อายุครบ 15 ปี และได้ขึ้นเป็นผู้นำของแก๊งยากูซ่า ตามธรรมเนียมของตระกูล คาโอรุ ก็ได้สักรูปของ "ชายผู้ยืนหยัด" ประทับลงไปเต็มแผ่นหลัง อย่างไรก็ตามเมื่อ คาโอรุ มองรอยสักตัวเอง เขากลับไม่รู้สึกพอใจกับมันเท่าไรนัก
Photo : まんが人気考究.com
เพื่อลบล้างความรู้สึกที่อยู่ในใจ คาโอรุ จึงทำการลุยเดี่ยว ตัวเปล่าไร้ซึ่งอาวุธ มีเพียงกำปั้นสองข้างเท่านั้น ไปยังฐานที่มั่นของแก๊งยากูซ่าคู่อริ ซึ่งเป็นแก๊งเดียวกันกับที่สังหารพ่อของเขา ไม่มีใครรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นที่นั่นบ้าง แต่เมื่อ คิซากิ ลูกน้องคนสนิทของ คาโอรุ ตามไปถึง เขาก็ได้พบกับร่างของยากูซ่ามากมายนอนจมกองเลือดอยู่ และเมื่อเดินลึกเข้าไปเรื่อยๆ จนถึงห้องของหัวหน้าแก๊ง คิซากิ ก็ได้เจอ คาโอรุ ในสภาพสวมผ้าเตี่ยวตัวเดียวยืนหยัดอย่างตระหง่าน แผ่นหลังที่เคยมีเพียงรอยสัก ตอนนี้ปรากฏรอยแผลมากมายจากการถูกโจมตีด้วยอาวุธนานาชนิดทับลงไปอีกชั้นหนึ่ง โดยเบื้องล่างมีร่างของยากูซ่าหลายชีวิตล้มระเนระนาดอยู่
การกระทำในครั้งนี้น่าจะมี 2 เหตุผลที่แฝงอยู่ หนึ่งคือการรักษาศักดิ์ศรีของผู้เป็นพ่อด้วยการล้างแค้นให้ และอีกเหตุผลคือการแสดงออกถึงความแข็งแกร่งของตัวเอง ว่าในตอนนี้เขาพร้อมแล้วที่จะเป็นผู้นำแก๊ง เหมือนกับสัตว์ป่าที่พร้อมจะเป็นจ่าฝูง ปกครองทุกคน
Photo : bibi-star.jp
อีกหนึ่งเหตุการณ์เกิดขึ้นหลังจากที่ คาโอรุ ดำรงตำแหน่งเป็นหัวหน้าแก๊งได้สักพักหนึ่งแล้ว เขาก็ได้เข้าร่วมประลอง "ศึกการต่อสู้ใต้ดิน" ซึ่งเป็นรายการแข่งขันประชันฝีมือการต่อสู้สุดยิ่งใหญ่ ที่ไม่มีกติกาจำกัด สามารถทำได้ทุกอย่างยกเว้นใช้อาวุธ จัดขึ้นโดย "มิตสึนาริ โทกุงาวะ" ชายชราร่างเล็กผู้คลั่งไคล้การต่อสู้เป็นชีวิตจิตใจ และมีอำนาจไม่ต่างอะไรจากนายกรัฐมนตรี ดังนั้นด้วยอิทธิพลของ โทกุงาวะ จึงทำให้ศึกการต่อสู้ใต้ดินครั้งนี้มีเหล่ายอดฝีมือจากทั่วทุกมุมโลกจำนวน 32 คนมารวมตัวกัน
ฮานายามะ ชนะผ่านการต่อสู้รอบแรกไปแบบสบายๆ แต่ในรอบที่ 2 เขาต้องเจอกับกระดูกชิ้นโตอย่าง "โอโรจิ คาซึมิ" ลูกชายบุญธรรมของ "โอโรจิ โดปโปะ" เจ้าของฉายา "โอโรจิกินคน" ปรมาจารย์คาราเต้ที่เก่งกาจที่สุดในประเทศญี่ปุ่น โดยโดปโปะเคยบอกเองเลยว่า คาซึมิ นั้นมีทั้งพรสวรรค์และร่างกายที่ยอดเยี่ยมที่สุดสำหรับการเป็นนักคาราเต้
เมื่อการต่อสู้เริ่มต้นขึ้น คาโอรุ ก็ทำให้ทุกคนต้องทึ่ง เมื่อคนที่ขึ้นชื่อว่ามีดีแค่พละกำลัง ไร้ซึ่งศิลปะการต่อสู้กลับโชว์เทคนิคศิลปะต่อสู้สุดแพรวพราว จน คาซึมิ ที่เป็นยอดฝีมือก็แทบแย่เหมือนกัน อย่างไรก็ตามด้วยความชำนาญในศิลปะการต่อสู้ที่มีมากกว่า สุดท้าย คาซึมิ ก็สามารถพลิกสถานการณ์ได้ โดยการใช้ท่าไม้ตาย "Mach Punch" ซึ่งเป็นการปล่อยหมัดตรงความเร็วเสียงออกไป
คาโอรุ ไม่พยายามแม้จะหลบหมัดที่ คาซึมิ ปล่อยออกมา เขาใช้ร่างกายตัวเองรับหมัดอันหนักดหน่วงนั้นครั้งแล้วครั้งเล่า ถึงจะเสี่ยงต่อความตายแค่ไหนแต่เขาก็ยังยืนหยัด ไม่ยอมล้ม
Photo : blog.goo.ne.jp
สุดท้าย คาโอรุ ก็หมดสติ ไม่สามารถสู้ต่อได้ โดยที่เขายังคงยืนหยัด ผายมือทั้งสองออกไปอย่างสง่าผ่าเผย เหมือนกับรอยสักผู้ยืนหยัดแบกระฆังบนแผ่นหลังของเขา ถึงแม้ว่ากรรมการจะประกาศชื่อ โอโรจิ คาซึมิ เป็นผู้ชนะ แต่ตัวของ คาซึมิ นั้นกลับคิดว่าเขาคือผู้แพ้ คาโอรุ ต่างหากละที่เอาชนะเขาได้ นี่คือชายผู้มีจิตใจแข็งแกร่ง พร้อมจะต่อสู้เพื่อรักษาศักดิ์ศรีทั้งของตัวเอง ทั้งสิ่งที่เขาแบกรับไว้ด้วยพลังหมัดเพียงอย่างเดียว และมีจิตใจที่ปราศจากความกลัวโดยสิ้นเชิง
เหตุการณ์สุดท้ายที่เราหยิบยกมาพูดถึงเกิดขึ้นในภาค New Grappler Baki: In Search of Our Strongest Hero เป็นตอนที่ ฮันมะ บากิ กำลังออกเดทอย่างโรแมนติกหวานซึ้งกับ คาซึเอะ แฟนสาวของเขาอยู่ในสวนสาธารณะยามค่ำคืน ทันใดนั้น "สเป็ค" หนึ่งในนักโทษแหกคุกก็พุ่งเข้ามาหวังจะทำร้ายทั้งคู่ แต่ก่อนที่ สเป็ค จะถึงตัวคู่หนุ่มสาว ก็เป็น คาโอรุ ที่โผล่มาคว้าคอ สเป็ค ได้ทันท่วงที
Photo : blog.goo.ne.jp
หลังจากนั้นหนึ่งในการต่อสู้ที่ดุเดือดที่สุดเท่าที่มังงะเรื่องนี้เคยมีมาก็เริ่มต้นขึ้น คาโอรุ มาพร้อมกับอารมณ์โกรธที่ สเป็ค จะทำร้ายคนที่เขารัก เขาพร้อมจะปกป้อง และไม่ยอมให้ใครมาทำลายช่วงเวลาดีๆ ของ บากิ เด็ดขาด ส่วน สเป็ค นั้นขึ้นชื่อว่าเป็นนักโทษประหาร ย่อมมีความบ้าดีเดือดในสายเลือดอยู่แล้ว
"เหมือนได้เห็นการต่อสู้ของปีศาจ 2 ตน" หนึ่งในพยานผู้เห็นเหตุการณ์กล่าว
ถึงแม้ว่า คาโอรุ จะได้รับบาดเจ็บอย่างสาหัส ถึงขั้นที่เนื้อตรงกระพุ้งแก้มทั้งสองข้างกระเด็นหลุดออกไปเพราะแรงระเบิดของกระสุนปืนที่ สเป็ค จับยัดเข้าไปในปาก แต่สุดท้ายด้วยเกียรติภูมิของผู้ยืนหยัด และความแข็งแกร่งราวปีศาจ คาโอรุ ก็เป็นฝ่ายได้รับชัยชนะ เป็นการชนะอย่างสง่าผ่าเผย
Photo : gensun.org
ถ้าถามว่าอะไรคือเหตุผลที่ทำให้ ฮานายามะ คาโอรุ ทุ่มเทถึงขั้นยอมเสี่ยงชีวิตในการต่อสู้ครั้งนี้ คำตอบก็ไม่ยากเลย นั่นก็เพราะ ฮันมะ บากิ คือคนที่เขารักเหมือนน้องชายแท้ๆ คนหนึ่ง เป็นศักดิ์ศรีที่พี่ชายคนนี้ต้องแบกรับเอาไว้เช่นกัน คาโอรุ จึงไม่ลังเลเลยที่จะใช้กำปั้นรวมถึงพละกำลังร่างกายที่มีโจมตีเข้าใส่ สเป็ค
จากเรื่องราวทั้งหมดที่กล่าวมา น่าจะทำให้เห็นภาพชัดเจนแล้วว่าตัวละคร ฮานายามะ คาโอรุ นี่แหละคือภาพสะท้อนที่ชัดเจนที่สุดของการเป็นมนุษย์เพศชายที่ใช้สัญชาตญาณที่มีมาตั้งแต่โบราณ ถ่ายทอดมันออกไปผ่านกำปั้นเพื่อพิทักษ์รักษาไว้ซึ่งศักดิ์ศรี โดยไม่มีเรื่องของศิลปะการต่อสู้หรืออาวุธเข้ามาเจือปน
ก่อนจะจบบทความนี้ ขอทิ้งท้ายด้วยประโยคหนึ่งของ คาโอรุ ที่บ่งบอกตัวตนของเขาได้อย่างชัดเจนที่สุด
"จะเป็นตอนที่ฉันหลับ ป่วย หรือมีเซ็กส์อยู่บนเตียง เชิญโจมตีฉันก่อนได้ตามสบายเลย และฉันสัญญาว่าจะไม่หลบมัน"
บทความโดย เพรียวพันธ์​ แสน​ลาวัณย์
แหล่งอ้างอิง:
โฆษณา